บทที่ 664 ร่างเปลือย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 664 ร่างเปลือย

มีเพียงเท่านี้เองหรือ?

เมื่อได้ยินคำอธิบายของนักพรตใหญ่หลงเยว่ หลินเป่ยเฉินก็ต้องหัวเราะในลำคอ

แต่จากประสบการณ์ของเขาที่เคยดูซีรีส์แนวกำลังภายในและอ่านนิยายมาเป็นจำนวนมาก นี่ก็หมายความว่าเยว่เว่ยหยางต้องถูกจองจำอยู่ในลักษณะที่ไม่ธรรมดาแน่นอน

มันคือกฎธรรมชาติ

ระหว่างที่พูดคุยกันนี้ ทั้งสองคนก็มาถึงใจกลางวิหารฝั่งตะวันตกโดยไม่รู้ตัว

เนื่องจากแปลงโฉมด้วยแอปเมจิก คาเมร่า ใบหน้าของหญิงชราและเด็กหนุ่มจึงกลายเป็นคนอื่น พวกเขาจึงสามารถเดินผ่านเวรยามที่เฝ้าสะพานข้ามลำธารเล็กๆ ได้อย่างราบรื่น

“วิชาการแปลงโฉมของเจ้าช่างมหัศจรรย์พันลึกนัก ถือว่าเปิดหูเปิดตาคนแก่อย่างข้าจริงๆ”

นักพรตใหญ่หลงเยว่อดชื่นชมออกมาไม่ได้

เด็กหนุ่มผู้นี้นำความประหลาดใจมาสู่นางได้เสมอ

หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้มรับตอบกลับไป “เพราะว่าข้าคืออัจฉริยะไงล่ะขอรับ”

มีเพียงแต่อัจฉริยะเท่านั้น ถึงทำเรื่องเหนือธรรมดาได้สำเร็จ

นักพรตใหญ่หลงเยว่ยิ้มและไม่พูดอะไร

ด้วยวิชาการแปลงโฉมชนิดนี้ แผนการขั้นต่อไปของพวกเขาจึงสะดวกมากขึ้น

หญิงชราคุ้นเคยกับพื้นที่ทุกตารางนิ้วในวิหาร เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากวิชาการแปลงโฉม นางจึงสามารถสวมรอยเป็นบุคคลอื่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีผู้ใดสามารถจับพิรุธได้เด็ดขาด

ดังนั้น พวกเขาจึงผ่านเวรยามเฝ้าประตูได้อย่างง่ายดาย

วิหารทางฝั่งตะวันตกก็ไม่ต่างจากวิหารฝั่งอื่นๆ

วิหารหลักของพื้นที่เขตนี้มีความเก่าแก่โบราณ ห้องโถงใหญ่มีเพดานสูงแหงนมองคอตั้งบ่า พื้นที่ด้านในก็กว้างใหญ่ รวมแล้วเท่ากับสนามฟุตบอลหลายสิบสนามรวมกัน

ที่นี่มีเวรยามคุ้มกันอย่างแน่นหนา

ทุกคนล้วนเป็นนักบวชที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย

นั่นหมายความว่าการรักษาความปลอดภัยในวิหารแห่งนี้ กลุ่มนักบวชจะไม่หลับไม่นอน ไม่ขับถ่าย ไม่ฝึกวิชา ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากยืนเฝ้าอยู่ตามจุดที่ตนเองได้รับมอบหมาย

และด้วยความที่เวรยามแต่ละคนมีระดับพลังสูงล้ำ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเดินลาดตระเวนเหมือนเวรยามทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ นักพรตใหญ่หลงเยว่กับหลินเป่ยเฉินจึงแฝงตัวเข้าสู่ด้านในวิหารได้โดยไม่มีอุปสรรค

ในขณะที่เวรยามคุ้มกันด้านนอกอย่างแน่นหนา

แต่ภายในวิหารกลับไม่มีผู้ใดอยู่เลย

แสงไฟสลัว

มีเพียงความว่างเปล่าและความโดดเดี่ยว

ไม่มีแม้แต่สายลมพัดผ่าน

นั่นคงเป็นเพราะว่าพื้นที่ภายในวิหารได้สร้างค่ายอาคมเอาไว้จำนวนมาก และค่ายอาคมเหล่านี้มีอายุนับร้อยปี ถ้าไม่เข้าใจพลังของมันอย่างแท้จริง ผู้คนก็อาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป

แต่ผู้ที่นำทางเด็กหนุ่มในขณะนี้คือนักพรตใหญ่หลงเยว่

นางอุทิศเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตให้แก่วิหารประจำเมืองเจาฮุย

หญ้าทุกต้น ไม้กระดานทุกแผ่น อิฐทุกก้อน ระบบกลไกที่ฝังเอาไว้บนผนังและพื้นหิน เพียงหญิงชรายกมือโบกสะบัด ทุกอย่างก็จะสลายคลายพิษสงลงไปโดยทันที

หลินเป่ยเฉินเดินตามหลังนักพรตใหญ่หลงเยว่ไปไม่ห่าง ขณะนี้ นางกำลังเดินนำไปสู่พื้นที่ทางด้านหลังวิหาร ไม่ว่าเดินผ่านไปตรงจุดไหน หลินเป่ยเฉินก็จะพบเห็นค่ายอาคมเปล่งประกายเป็นสีเงินและสีทองระยิบระยับ พวกมันแทบไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และจะเปล่งประกายเป็นเวลาพริบตาเดียวเท่านั้น ทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ความเป็นปกติอีกครั้ง

ให้ตายสิ

น่ากลัวชะมัด

โชคดีที่ครั้งนี้เขามากับท่านป้าหลงเยว่

ไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้หลินเป่ยเฉินสามารถบุกเข้ามาลอบสังหารโจวติงป๋อได้สำเร็จ แต่สุดท้ายเขาก็คงต้องติดกับดักอยู่ในค่ายอาคมเหล่านี้ ไม่สามารถกลับสู่โลกภายนอกได้อีก

พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ

ทางเดินยังคงเต็มไปด้วยค่ายอาคมจำนวนมาก

นอกจากนี้ สองข้างทางยังยืนไว้ด้วยรูปปั้นแกะสลักที่เหมือนกับซ่อนกลไกบางอย่างเอาไว้

แต่กลไกของพวกมันยังไม่ทันได้ทำงาน ดวงตาของรูปปั้นหินแกะสลักเป็นสีแดงวูบ ทว่า ก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพียงนักพรตใหญ่หลงเยว่ยกมือโบกสะบัด รูปปั้นหินทุกตัวก็กลับมาอยู่ในความสงบดังเดิม

บัดนี้ สีหน้าของนักพรตใหญ่หลงเยว่บอกชัดถึงความระมัดระวังตัว

นางไม่อยากทำให้บรรดาเวรยามที่ด้านนอกรู้ตัวว่ามีผู้บุกรุก โดยเฉพาะกลุ่มนักบวชที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ รวมไปถึงข้าทาสบริวารของมือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อ ดังนั้น หญิงชราจึงลดความเร็วฝีเท้าลงเล็กน้อย

โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยความราบรื่น

หนึ่งก้านธูปต่อมา

หญิงชราและเด็กหนุ่มก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูทรงกลมบานหนึ่ง

ฝั่งซ้ายและขวาของประตู เป็นที่ตั้งรูปปั้นเทพีกระบี่ที่ถูกแกะสลักด้วยเหล็กมิธริล

ขนาดเท่ากับตัวคน

สวมใส่ชุดเกราะ ใบหน้าปิดบังอยู่ภายใต้หมวกเหล็ก จึงมองไม่เห็นว่าสีหน้าของรูปปั้นโลหะนี้เป็นอย่างไร

แต่ทรวดทรงองค์เอวนั้นเหล่าช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน อกเป็นอก เอวเป็นเอว ขาเรียวยาว อกอวบอูม น่าขย้ำ…

เอ๋?

หลินเป่ยเฉินจ้องมองรูปปั้นทั้งสองตัวนี้อย่างไม่อาจละสายตาได้

ทำไมถึงเหมือนคนจริงๆ จังเลยแฮะ

เหมือนมากเกินไปแล้ว

และ…ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเห็นพวกมันมาก่อน?

“สำรวมหน่อย”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ส่งเสียงกระซิบ

หญิงชราเห็นหลินเป่ยเฉินจ้องมองรูปปั้นไม่วางตา จึงเข้าใจดีว่าเด็กหนุ่มจอมเสเพลคงคิดอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยเข้าท่าอยู่ในหัว

“หา? อ๋อ”

หลินเป่ยเฉินรีบถอนสายตากลับมาทันที

“ด้านหลังประตูบานนี้คือค่ายอาคมเทวะจำพราก ร่างของเยว่เว่ยหยางถูกจองจำอยู่ในสระน้ำ”

นักพรตใหญ่หลงเยว่มองหน้าเด็กหนุ่มด้วยแววตาคาดโทษ “ข้าจะพาเจ้าเข้าไป แต่เจ้าต้องปิดตาตนเอง ห้ามมองอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว ห้ามเดินไปไหนมาไหน และห้ามส่งเสียงพูดแม้แต่คำเดียว เข้าใจหรือไม่!”

หืม?

ต้องปิดตาด้วยหรือ?

หรือนักพรตใหญ่หลงเยว่กลัวว่าบรรดานักบวชสาวที่อยู่หลังประตู เมื่อสบตากับเขาแล้ว ก็จะเกิดความหวั่นไหวในจิตใจขึ้นมา

เขามันหล่อขนาดนั้นเลยหรือ?

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มขณะหยิบแว่นแดดออกมา

นักพรตใหญ่หลงเยว่หันกลับมาดูและพบว่าเด็กหนุ่มนำวัตถุสีดำบางอย่างขึ้นทาบไว้ที่ดวงตาของตนเอง ดังนั้น นางจึงหันหน้ากลับไปบริกรรมคาถางึมงำโดยไม่สงสัยอะไรแม้แต่น้อย

แล้วแสงสว่างสีขาวก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากเสื้อคลุมสีดำของหญิงชรา

ไม่ต่างจากแสงของดวงจันทร์ที่กำลังลอยตัวขึ้นจากขอบฟ้า

หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้าง

นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นนักพรตใหญ่หลงเยว่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยตาของตนเอง

เด็กหนุ่มมีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น

เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังยืนอยู่หน้าดวงอาทิตย์ที่ร้อนผ่าว ถ้าเดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้อีกนิด ผิวของเขาก็จะต้องไหม้เกรียมแน่ๆ

แข็งแกร่งเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสับสนเล็กน้อย

หญิงชราท่าทางใจดีผู้นี้ ปิดบังฝีมือที่แท้จริงของนางตลอดมาเลยหรือ?

เมื่อเขาลองคิดดูดีๆ

หลินเป่ยเฉินก็พบว่าในบรรดายอดฝีมือที่เขาเคยพบเจอมานั้น ยังไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้กับนักพรตใหญ่หลงเยว่เลยแม้แต่คนเดียว

ให้ตายสิ

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเหมือนแข้งขาจะอ่อนแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน

นักพรตใหญ่หลงเยว่มีความแข็งแกร่งขนาดนี้ ก็ยังต้องพลาดท่าเสียทีให้แก่มือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อและต้องยอมถูกถอดออกจากตำแหน่ง ไปทำความสะอาดห้องน้ำ ขนย้ายถังบรรจุอุจจาระอยู่นานหลายเดือน…

แล้วตัวจริงของโจวติงป๋อจะมีความแข็งแกร่งในระดับไหนกันนะ?

ถ้าเขาเปลี่ยนใจตอนนี้ มันจะสายเกินไปหรือไม่?

ไม่น่าทำอวดเก่งเลยเรา

ทำไมเขาถึงไม่เชื่อฟังนักพรตใหญ่หลงเยว่นะ ถ้าก่อนหน้านี้ยอมลงจากภูเขาไปตามคำแนะนำของนาง ป่านนี้ก็คงได้กลับไปนอนทอดหุ่ยสบายใจอยู่ในค่ายที่พักของตนเองแล้ว

หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ

ทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงใจร้อนขนาดนี้

คิดจะลอบสังหารหัวหน้านักบวชประจำวิหารอย่างนั้นหรือ?

ช่างไม่ดูโลกแห่งความเป็นจริงเอาเสียเลย

มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ

หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสำนึกเสียใจ

แต่ในทันใดนั้น บานประตูสีขาวเบื้องหน้าเขาก็ค่อยๆ แง้มเปิดออก

บังเกิดแสงสว่างส่องออกมาจากด้านหลังบานประตู

ในเวลาเดียวกันนี้ เด็กหนุ่มได้ยินเหมือนเสียงน้ำตกดังออกมาจากด้านใน

หลินเป่ยเฉินกำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไป

นักพรตใหญ่หลงเยว่ส่งเสียงพูดขึ้นว่า “ตามข้ามา”

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ

แม่งเอ๊ย

ลืมตัวซะได้

ตอนนี้เขาต้องแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงนำกระบี่เงินเล่มหนึ่งออกมาใช้แทนไม้เท้าคลำพื้นเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

แต่เดินได้เพียงสองก้าวเท่านั้น ดวงตาของเขาก็แทบจะทะลุแว่นดำออกมา

หลังประตูเป็นสระน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

กว้างใหญ่

ออกแบบอย่างวิจิตรตระการตา

ในสระน้ำตกแต่งด้วยรูปปั้นสัตว์นานาชนิด น้ำพุพุ่งออกมาจากปากของพวกมันเป็นสีสันแตกต่างกันไป

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หลินเป่ยเฉินตาโตถึงขนาดนี้

เหตุผลที่แท้จริงก็คือร่างขาวเนียนของใครบางคน ที่กำลังนั่งหันหลังอยู่บนแท่นดอกบัวยักษ์ใจกลางสระน้ำ

ร่างเปลือย

เป็นร่างผู้หญิง

ยังคงเป็นเด็กสาวอยู่ด้วยซ้ำ

ดูจากสีผม และรูปร่างของนางแล้วนั้น…

หืม?

ดูเหมือนจะเป็นเยว่เว่ยหยางไม่ผิดแน่

อะเฮ้ย อะเฮ้ย อะเฮ้ย!