บทที่ 665 โดนหลอกใช่หรือไม่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

เลือดกำเดาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

หลินเป่ยเฉินต้องรีบยกมือขวาขึ้นปาดโลหิตเหนือริมฝีปาก

ใบหน้าแดงก่ำ

อาการออกแล้วสิเรา

หลินเป่ยเฉินไม่นึกเลยว่าตนเองจะเป็นไก่อ่อนถึงขนาดนี้ เพียงเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเด็กสาว เลือดกำเดาก็ไหลออกมาเสียแล้วหรือ?

เสียชาติเกิดคนเสเพลชะมัด

เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบเลือดกำเดาโดยไม่กวาดสายตามองไปที่ไหนอีก พร้อมกันนั้นก็ต้องพึมพำออกมาว่า “เฮ้อ เหตุไฉนที่นี่จึงร้อนขนาดนี้? ร้อนในชนิดที่ว่าเลือดกำเดาข้าไหลออกมาแล้ว… คงเป็นเพราะหลายวันที่ผ่านมา ข้านอนน้อยเกินไปแน่ๆ ท่านป้าขอรับ เรามาถึงสระน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือยัง ข้าขอถอดที่ปิดตาได้หรือไม่?”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ซึ่งยืนมองหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัยอยู่ด้านข้าง กลับมามีสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง

“ไม่ได้ ที่นี่คือเขตศักดิ์สิทธิ์ของวิหาร มีเพียงสตรีเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ตามกฎของวิหารเราแล้ว บุรุษจะก้าวเท้าเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบ

“แล้วถ้ามีบุรุษแอบเข้ามาล่ะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบเสียงเรียบ “ก่อนอื่น ส่วนกลางของร่างกายบุรุษก็จะถูกจับสับเป็นพันๆ ชิ้น ส่วนดวงวิญญาณก็ต้องถูกจองจำอยู่ที่นี่ตลอดไป”

หลินเป่ยเฉินเสียวหว่างขาขึ้นมาโดยทันที

เขาถึงกับยืนหนีบขาโดยไม่รู้ตัว

“ถ้าอย่างนั้น… ท่านป้าพาข้าเข้ามาที่นี่ทำไมล่ะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย

ในฐานะผู้ที่ทำตามกฎระเบียบของวิหารอย่างเคร่งครัด นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่มีทางละเมิดกฎโดยไม่มีเหตุผลเด็ดขาด

หรือว่าจะเป็นเพราะ…

เมื่อเรื่องราวทุกอย่างจบลง นางก็ตั้งใจจะตอนเขา และแผดเผาดวงวิญญาณให้ตายทั้งเป็น?

ในระหว่างที่คิดด้วยความระแวงอยู่นั้น

หญิงชราก็เอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูเด็กหนุ่มว่า

“เจ้าคือข้อยกเว้น”

นักพรตใหญ่หลงเยว่อธิบายด้วยความอดทน “เจ้าคือผู้ที่ถูกเลือก วิญญาณของเทพีกระบี่เคยสถิตอยู่ในตัวเจ้าหลายต่อหลายครั้ง เจ้าจึงมีสถานะแตกต่างจากคนทั่วไป เมื่อเจ้าปิดตา ก็เท่ากับเจ้ามองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็น ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้เข้ามาที่นี่ จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดกฎ”

“จริงหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

โชคดีไป

อย่างนี้เขาก็ไม่ต้องถูกจับตอนแล้ว

เมื่อพูดคุยมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่กล้าสอดส่ายสายตาไปที่ไหนอีก

เขากลัวว่านักพรตใหญ่หลงเยว่จะจับพิรุธได้

หลินเป่ยเฉินไม่กล้าขยับสายตาไปไหนแล้วด้วยซ้ำ

เขาได้แต่จ้องมองไปที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเยว่เว่ยหยางผู้นั่งอยู่บนแท่นดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์

ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่พยายามสะกดจิตตัวเองว่า ไอ้น้องชาย อย่าเพิ่งผงาดขึ้นมาตอนนี้นะเว้ย อยู่นิ่งๆ ไปก่อน อย่าแสดงตัวออกมาเด็ดขาด…

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

ในไม่ช้า เป้ากางเกงของหลินเป่ยเฉินก็โด่เด้งขึ้นมาอย่างชัดเจน

โชคดีที่นักพรตใหญ่หลงเยว่เป็นนักบวชผู้มีคุณธรรมสูงส่ง เมื่อนางไม่ได้สงสัยในตัวหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป หญิงชราจึงไม่ได้สังเกตว่าเป้ากางเกงของหลินเป่ยเฉินได้กลายเป็นกระโจมขนาดย่อมขึ้นมาแล้ว

“ท่านป้าขอรับ ที่นี่คือที่ไหน”

เด็กหนุ่มแสดงละครตบตาต่อไป และพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อหาทางรอด “ทำไมข้าถึงได้ยินเสียงน้ำ?”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบกลับมา สีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราอยู่ในค่ายอาคมเทวะจำพราก ที่นี่มีสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์คือสายน้ำจากน้ำพุ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะช่วยประทานพลังให้แก่เยว่เว่ยหยาง มันจะทำให้วิญญาณของนางผ่านการทดสอบอันโหดร้ายของเทพเจ้าได้สำเร็จ”

“หืม”

หลินเป่ยเฉินยิ่งเสียงสั่นมากกว่าเดิม “ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะทำสิ่งใดต่อไปขอรับ?”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบว่า “พวกเราจะรอ”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

นักพรตใหญ่หลงเยว่กล่าวเสริม “เราจะรอให้วิญญาณของเยว่เว่ยหยางกลับเข้าร่าง เมื่อเราได้ลูกแก้ววิเศษกลับคืนมา เราก็จะสามารถควบคุมวิหารประจำเมืองแห่งนี้ได้อีกครั้ง”

หลินเป่ยเฉินได้รับฟังคำตอบก็รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย

“แล้วเราต้องรอจนถึงเมื่อไหร่ขอรับ?”

ถ้าให้รออยู่ในสระน้ำแห่งนี้เป็นเดือนๆ เขาจะไม่ปอดบวมตายเอาหรือ?

อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินมีภารกิจต้องสร้างสถานศึกษา

ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตในนครเจาฮุย ถ้าเขาไม่อยู่คอยคุ้มกันค่ายที่พัก รับรองว่าทุกคนคงใช้ชีวิตไม่สงบสุขแน่นอน

นั่นหมายความว่าผู้คนจากเมืองหยุนเมิ่งต้องได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของเขา

นักพรตใหญ่หลงเยว่หันมาชำเลืองมองหน้าเด็กหนุ่มและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าคำนวณดูจากเวลาแล้ว อีกไม่เกินสองชั่วยาม วิญญาณของเยว่เว่ยหยางก็จะกลับเข้าร่างในที่สุด”

สองชั่วยามอย่างนั้นหรือ?

พอไหวอยู่แฮะ

ใช่ว่าจะทนรอไม่ได้สักหน่อย

จากนั้น… เวลาสองชั่วยามก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก

แต่วิญญาณของเยว่เว่ยหยางยังไม่กลับเข้าร่าง

สีหน้าของนักพรตใหญ่หลงเยว่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ดวงตาของนางจ้องมองสลับกันระหว่างหลินเป่ยเฉินกับเยว่เว่ยหยางตลอดเวลา

สุดท้าย หญิงชราก็เหมือนกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว

นางลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล วิญญาณของเยว่เว่ยหยางสมควรกลับร่างได้แล้ว… หลินเป่ยเฉิน ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะขอร้องเจ้า เจ้าจงคิดดูให้ดีก่อนให้คำตอบ”

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ

“ท่านป้าอยากจะขอร้องอะไรหรือขอรับ?”

เขาถามด้วยความลังเล

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบด้วยสีหน้าวิตกกังวล “เจ้าต้องเป็นผู้ช่วยนำวิญญาณของเยว่เว่ยหยางกลับมา แต่การจะทำอย่างนั้นได้ เจ้าต้องสละบางอย่างของตัวเองเล็กน้อย แต่ข้าขอรับปากว่าชีวิตของเจ้าจะไม่ตกอยู่ในอันตรายแน่นอน เจ้าจะยินดีทำหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต?

แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

ตราบใดที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต มีอะไรบ้างที่เขาจะทำไม่ได้?

“ยินดีขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตอบ น้ำเสียงหนักแน่น “ท่านป้าบอกออกมาได้เลย ขอแค่สามารถช่วยเหลือเยว่เว่ยหยางได้ ข้ายินดีทำทุกอย่าง”

นักพรตใหญ่หลงเยว่พยักหน้าด้วยความพอใจ “ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เจ้าจงทำตามที่ข้าสั่งโดยห้ามตั้งคำถามเด็ดขาด ขอให้จงระลึกอยู่เสมอว่าท่านป้าของเจ้าคนนี้ไม่มีทางทำอันตรายเจ้าแน่นอน”

หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ “รับทราบขอรับ”

ทว่า หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็กล่าวเสริมว่า “แต่ท่านป้าขอรับ ข้าต้องทำสิ่งใด ช่วยบอกให้ชัดเจนได้หรือไม่ พูดกำกวมเช่นนี้ข้าชักกลัวขึ้นมาชอบกล”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบว่า “ไม่ต้องห่วง นี่ไม่ใช่เรื่องอันตราย”

หลังหยุดชะงักด้วยความลังเลเล็กน้อย

หญิงชราก็กล่าวต่อ “เอาล่ะ ในเมื่อบัดนี้เจ้าสวมใส่ที่ปิดตา คงไม่สามารถมองเห็นทางเดินได้ถนัด ข้าจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นำทางเจ้าก็แล้วกัน ขอให้เดินตามพลังเหล่านั้นไป อย่าได้ย้อนกลับมาเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

นักพรตใหญ่หลงเยว่ค่อยๆ ถอยกลับไปยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าอย่างแช่มช้า

นิ้วมือของนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์สีขาวก็รวมตัวกันเป็นเหมือนเส้นด้าย ลอยข้ามผ่านหลินเป่ยเฉิน ตรงเข้าไปหาเยว่เว่ยหยางผู้นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนแท่นดอกบัวกลางสระน้ำ

เข้าไปใกล้มากขึ้น

เข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นผิวพรรณที่ขาวเนียนปราศจากตำหนิภายใต้เส้นผมสีดำยาวสลวยของเยว่เว่ยหยางได้อย่างชัดเจน ซึ่งเพียงจ้องมองก็ทำให้หัวใจเต้นแรงแทบทะลุหน้าอกออกมาแล้ว

ให้ตายสิ

ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย

ทำไมเขาถึงไม่ปิดตาตัวเองจริงๆ นะ?

ถึงหลินเป่ยเฉินจะไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีศรีสังคม แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเห็นร่างเปลือยของเยว่เว่ยหยางก็ชวนให้รู้สึกอึดอัดอยู่ดี

หลินเป่ยเฉินไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เพราะกลัวว่านักพรตใหญ่หลงเยว่จะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

เด็กหนุ่มถึงกับหลับตาลง ไม่ยอมมองสิ่งใดทั้งนั้น

แล้วเส้นด้ายสีขาวก็รัดพันข้อมือของเขา ก่อนจะดึงหลินเป่ยเฉินให้เดินขึ้นบันไดไปบนแท่นดอกบัวอย่างเชื่องช้า

หลินเป่ยเฉินขยับเท้าก้าวเดิน แล้วแขนของเขาก็กางออกโดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้น รู้ตัวอีกที เด็กหนุ่มก็พบว่าตนเองกำลังกอดเยว่เว่ยหยางผู้เปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมอก

หืม?

สัมผัสอ่อนนุ่ม อบอุ่นและเด้งดึ๋งสู้มือเช่นนี้

นี่มัน…

หลินเป่ยเฉินยืนตัวแข็งทื่อ

นักพรตใหญ่หลงเยว่ควบคุมร่างกายเขาให้มากอดร่างเปลือยของเยว่เว่ยหยางเนี่ยนะ?

นี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่?

เด็กหนุ่มกำลังจะหันหน้ากลับไปถาม

แต่ในจังหวะนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยวนอยู่เหนือสระน้ำก็พุ่งเข้ามาในร่างของเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองคน

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนกับว่าในร่างกายมีกระแสความเย็นและกระแสความร้อนกำลังตีกันปั่นป่วนชุลมุน

เยว่เว่ยหยางส่งเสียงครางในลำคอและหันกลับมากอดเขาแนบแน่น

ในเวลาเดียวกันนี้

แอ๊ด…

ได้ยินเสียงบานประตูเลื่อนปิด

ปรากฏว่านักพรตใหญ่หลงเยว่ถอยออกไปอยู่นอกประตูและปิดประตูลงแล้ว

ในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ขณะนี้ จึงเหลือหลินเป่ยเฉินกับเยว่เว่ยหยางอยู่เพียงสองคน

แต่เยว่เว่ยหยางมีร่างกายที่ร้อนผ่าว นางโอบรัดลำตัวของหลินเป่ยเฉินราวกับเป็นนางพญางูขาว

นี่เขาโดนหลอกอย่างนั้นหรือ?

นักพรตใหญ่หลงเยว่หลอกเขามาบูชายัญเยว่เว่ยหยางหรืออย่างไร?

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความตกตะลึง

และในจังหวะต่อมา ริมฝีปากสีชมพูของเยว่เว่ยหยางก็ประทับลงมาที่ลำคอของเขา…