ภาคที่ 5 บทที่ 32 กับดัก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 32 กับดัก

ฉินอู่ยืนเงียบ ๆ ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ภายในลานบ้าน

ในฐานะที่เป็นหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของตระกูลจู เขาไม่จำเป็นจะต้องขยับเคลื่อนไหวเว้นเสียแต่ว่าเจ้านายจะสั่งการ

มนุษย์ผู้ที่สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนเองย่อมจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

แต่ในขณะนั้น จู่ ๆ เขาก็ขยับตัวด้วยตัวเอง

เขาเดินตรงไปที่ห้องของจูเซียนหลิงก่อนจะคว้าหยิบของ 2-3 ชิ้นแล้วกลับหลังเดินจากออกไป

เพราะเขาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยคุณหนูรองจึงไม่มีใครสนใจเขาเลย พวกเขาต่างก็คิดแค่ว่าที่อีกฝ่ายขยับด้วยคำสั่งจากจูเซียนหลิง ยังไงซะมันก็ยังมีพลังจิตที่เชื่อมโยงระหว่างเจ้านายกับข้ารับใช้อยู่ ตราบใดที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาไม่ไกลเกินไป ผู้ควบคุมก็สามารถออกคำสั่งผู้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมได้โดยตรง และนั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิด

ฉินอู่เดินออกจากตระกูลจูไปทั้ง ๆ อย่างนั้น

ไม่มีใครพยายามจะหยุดเขา

ครู่ต่อมาจูอวิ๋นเยี่ยนและคนอื่น ๆ ก็มาถึงลานบ้านของจูเซียนหลิง เมื่อพวกเขาเห็นว่ามันว่างเปล่าสีหน้าของคุณหนูรองก็ดูน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย “หากไม่มีคำสั่งของข้า มันไม่มีทางที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้”

ซูเฉินเหลือบมองไปยังประตูของห้องที่เปิดอยู่ “ข้าเกรงว่ามันคงจะเป็นมากเกินกว่าการเคลื่อนไหวโดยไม่ปราศจากคำสั่งของท่านแล้วล่ะ”

จูเซียนหลิงชะงัก นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องของนางก่อนจะทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น “มันขโมยเอาหินนำทางกับกริชสังหารวิญญาณของข้าไปด้วย เป็นไปได้อย่างไร… มันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน ?”

เมื่อได้รับรู้ว่า จู่ ๆ ข้ารับใช้ที่สมควรทำตามสั่งของตนกลับตื่นรู้และขยับด้วยตัวเองได้ จูเซียนหลิงจึงรู้สึกสะเทือนใจอยู่พอสมควร

ซูเฉินยังคงกล่าวต่อไป “คุณหนูรอง ท่านควรจะมีความสุขกับมันนะ เพราะอย่างน้อยที่สุดเรื่องนี้ก็ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ท่าน”

ขณะที่พูด เขาก็หันมองไปทางจูอวิ๋นเยี่ยน “ท่านหัวหน้าตระกูลพอจะรู้จักวิชาที่สามารถทำลายวิชาควบคุมวิญญาณของตระกูลจูได้บ้างหรือไม่ ?”

สีหน้าของจูอวิ๋นเยี่ยนดูน่าเกลียดขึ้นทันตา “วิชาควบคุมวิญญาณของตระกูลจูนั้นไม่ใช่วิชาที่มีฤทธิ์อยู่ตลอดไป แต่ก็ไม่ง่ายที่จะถอนเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันไม่มีทางที่เจ้าของการควบคุมจะไม่รู้ตัวว่าวิชาของตนได้ถูกทำลายลง เซียนหลิง เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าการควบคุมหุ่นเชิดของเจ้าถูกทำลายไปแล้ว ?”

จูเซียนหลิงที่ยังคงตะลึงงัน ตอบกลับอย่างสับสน “ข้าไม่รู้จริง ๆ ข้ายังคงสัมผัสได้ถึงจิตเชื่อมต่อระหว่างมันกับข้าอยู่เลย มันไม่ได้ถูกทำลายลง แต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดข้าถึงไม่สามารถควบคุมมันได้”

“เจ้าได้ลองเรียกมันดูหรือยัง ?”

จูเซียนหลิงทำตามในทันที จากนั้นนางก็ตอบกลับด้วยใบหน้าซีดเซียว “ข้าสัมผัสได้ถึงตัวตนของมัน แต่มันเมินเฉยต่อคำสั่งของข้า”

“ท่านยังคงสัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้อยู่งั้นหรือ ?” ซูเฉินถามอย่างรวดเร็ว

หลังได้ยินคำถามของชายหนุ่ม สมาชิกของตระกูลก็พากันตระหนักขึ้นได้ในทันใด

เห็นได้ชัดว่าการควบคุมวิญญาณของฉินอู่ถูกทำลายโดยผู้เชี่ยวชาญบางคน ไม่เพียงแค่ทำลายมันแต่ยังคงสามารถรักษาจิตเชื่อมต่อกับเจ้าของเดิมกับหุ่นเชิดเอาไว้ เพื่อไม่ให้เจ้าของเดิมตรวจพบว่ามีบางอย่างผิดปกติได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อได้เปรียบนี้ได้กลับกลายเป็นกับระเบิดย้อนเล่นงานผู้ทำลายการควบคุมเสียแล้ว ตราบใดที่จูเซียนหลิงสามารถไล่ตามสัมผัสของจิตเชื่อมต่อไป นางก็จะสามารถค้นหาและจับตัวผู้กระทำความผิดได้

จูอวิ๋นเยี่ยนตอบสนองขึ้นอย่างรวดเร็ว “มันอยู่ที่ไหน ?”

“ออกไปนอกเมืองแล้ว” จูเซียนหลิงตอบ

“ตามไป !” จูอวิ๋นเยี่ยนตะโกนเสียงดัง

ผู้อาวุโสของตระกูลจูทั้งหมดบินขึ้นไปในอากาศในเวลากัน พร้อมกับพาจูเซียนหลิงไปด้วย

ซูเฉินยังคงอยู่ในลานบ้านไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ขณะที่จูเซียนเหยาพยายามจะลากเขาออกไป “ซูเฉิน !”

“ไม่ต้องรีบร้อน” ซูเฉินกล่าว “ยังมีอีกเรื่องที่ต้องจัดการก่อน”

“เรื่องอะไร ?” จูเซียนเหยาไม่เข้าใจ

ซูเฉินเรียกแท่นบูชาและไม้เท้าออกมา

“เจ้ารีบร้อนไปรายงานมากจนเกินไป เจ้าลืมแล้วหรือว่าข้าตั้งใจจะทำนายอยู่ 2 เรื่อง ?”

ในที่สุดจูเซียนเหยาก็จำได้ว่าซูเฉินยังมีแผนที่จะทำนายอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือสาเหตุที่ตระกูลหรงเต็มใจที่จะสละผลประโยชน์ทั้งหมดของพวกเขาเพื่อจัดการกับตระกูลจู

แต่ทำไมเขาถึงเลือกที่จะมาทำการบวงสรวงเอาตอนนี้กัน ?

จูเซียนเหยาเฝ้าดูซูเฉินที่กำลังจัดวางเครื่องบรรณาการลงบนแท่นบูชาอย่างใกล้ชิด

เมื่อเทียบกับการทำนายครั้งก่อนแล้ว ของที่ใช้เป็นค่าชดเชยที่ซูเฉินวางไว้บนแท่นบูชาในครั้งนี้มีราคากว่ามาก เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับคำทำนายนี้มากเพียงใด

ในเวลาเดียวกัน ซูเฉินก็พูดขึ้น “ความจริงที่ว่าข้ารับใช้ของจุเซียนหลิงถูกควบคุมโดยผู้ที่สามารถทำลายการควบคุมวิญญาณออกจากหุ่นเชิด และยังมีวิธีที่ป้องกันไม่ให้เจ้าของหุ่นรับรู้ถึงความผิดปกติได้ด้วย หมายความว่ามันไม่ใช่วิธีการทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน หรือก็คือคู่ต่อสู้ของเราย่อมไม่ใช่คนธรรมดา หากมองในมุมนี้ก็เท่ากับว่าเราสามารถตัดความน่าจะเป็นหนึ่งอย่างออกจากผลลัพธ์มากมายได้ ข้าหวังว่าจำนวนของสิ่งที่ต้องคาดเดาที่ลดลงนี้จะช่วยให้เราค้นหาคำตอบได้ เอาล่ะ… มาเริ่มกันเถอะ ข้าอยากรู้ความลับเบื้องหลังการกระทำของตระกูลหรง”

พริบตาหลังคำพูดของซูเฉินจบลง บรรดาเครื่องเซ่นเครื่องบรรณาการลงบนแท่นบูชาก็เริ่มหายไปในอากาศ ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่

อย่างไรก็ตาม คำทำนายที่ชายหนุ่มรอคอยกลับไม่ปรากฏขึ้น

ท้องฟ้าว่างเปล่าและไม่มีอะไรเลย

จูเซียนเหยาสับสน “นี่คือ…”

“มันล้มเหลว” ซูเฉินตอบ

ล้มเหลว ?

จูเซียนเหยารู้สึกคล้ายจะลมจับ

ผลึกต้นกำเนิดเจ้าอสูรกายและทรัพยากรเสริมจำนวนมากได้หายไปอย่างลึกลับ แล้วมันก็ถูกแทนที่ด้วยความล้มเหลว ?

หญิงสาวจ้องมองไปทางชายหนุ่มด้วยสายตาว่างเปล่า

ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “นี่แหละคือไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด มันแค่เจ้าอารมณ์นิดหน่อย เมื่อเจ้าใช้มันบ่อยขึ้นเดี๋ยวเจ้าก็จะชินไปเอง”

เขาไม่ใส่ใจความล้มเหลวนี้เลยสักนิด

“ถ้าเช่นนั้น… เจ้าจะลองทำนายอีกครั้งไหม ?” จูเซียนเหยาถามอย่างลังเล

“ลองอีกครั้ง ?” ซูเฉินเอียงศีรษะและคิด ก่อนจะส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็น เจ้ารู้หรือไม่ว่าความล้มเหลวก็นับเป็นคำตอบในอีกรูปแบบหนึ่งได้เช่นกัน แม้ว่ามันจะไม่อาจบอกความจริงกับเจ้าได้ แต่อย่างน้อยมันก็สามารถบอกได้ว่าเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในระดับใด ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเจ้าจะเจอปัญหาใหญ่แล้ว”

การแสดงออกของจูเซียนเหยาเปลี่ยนไปอย่างมาก “ไม่ดีแล้ว ท่านแม่ !”

ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมซู่เฉินถึงเลือกมาทำนายเอาในเวลาแบบนี้

———————

เงาคนมากมายพุ่งฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วสูง ทิ้งเส้นขาวเอาไว้บนพื้นฟ้าด้านหลัง เมื่อออกห่างจากเมืองมาได้ 30 ลี้ พวกเขาก็หยุดลง

จากตำแหน่งนั้น พวกเขาสามารถสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบได้จากมุมสูง พวกเขาพบตัวคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วอยู่บนพื้น

“เป็นมัน ฉินอู่ !” จูอวิ๋นเฟิงตะโกนขึ้น

“แล้วเราจะรออะไรกันอีก ?” จูอวิ๋นฟานที่อยู่ด้านข้างเอื้อมมือออกไป และกวาดกรงเล็บพลังเข้าใส่ผู้ที่วิ่งอยู่ด้านล่าง

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณแล้วการโจมตีของเขาจึงทรงพลังยิ่ง พื้นที่ด้านล่างหลายสิบลี้ตกอยู่ภายใต้กรงเล็บของเขา ไม่ว่าเป้าหมายจะเคลื่อนไหวอย่างไร มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลบหนีจากการจับกุมนี้

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าฉินอู่จะไม่มีเจตนาที่จะหลบหนี เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนที่จะหยุดอยู่กับที่ปล่อยให้กรงเล็บโจมตีใส่ตน

ในขณะที่กรงเล็บนี้กำลังจะคว้าจับตัวฉินอู่เอาไว้ ในที่สุดจูอวิ๋นเยี่ยนก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าของนางเปลี่ยนไป “อวิ๋นฟานระวัง !”

วินาทีต่อมา ก็มีแสงสีดำสนิทสาดส่องขึ้น

แสงนี้ไร้สีสันใด ๆ มันพุ่งขึ้นไปในอากาศราวกับเงาที่ว่างเปล่า แต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่แข็งแกร่งอย่างมาก

นั่นคือพลังของสสารมืดที่เข้มข้นและทรงพลัง

จูอวิ๋นฟานรีบชักมือของเขากลับมาขณะที่เขาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด แผลลึกปรากฏอยู่บนมือของตนตั้งแต่เมื่อไรเขาเองก็ไม่ทราบ เลือดในบาดแผลกลายเป็นสีดำสนิท แขนของเขาเริ่มเน่าเปื่อยราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างกัดกร่อน มันลามไปทั่วทั้งฝ่ามือและแขนอย่างรวดเร็ว

จูอวิ๋นฟานยกดาบขึ้นอย่างเร่งรีบและตัดแขนซ้ายของตนทิ้งโดยไร้ซึ่งความลังเล เพียงชั่วครู่แขนที่ถูกตัดไปก็งอกขึ้นกลับมาใหม่อย่างรวดเร็ว

ทว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย บาดแผลยังคงอยู่และขยายตัวต่อไปไม่หยุด

พิษความมืดชนิดนี้สามารถแทรกซึมลึกเข้าไปในกระดูก ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดมันออกง่าย ๆ

ร่างกายของจูอวิ๋นฟานเริ่มส่งเสียงประหลาดออกมา ขณะที่ตำหนักเซียนเริ่มปรากฏขึ้นทีละหลัง ในเวลาเดียวกันนั้นประหนึ่งสวรรค์และปฐพีตอบรับกับเสียงบทสวดแปลก ๆ จนสั่นพ้อง พิษสีดำที่กำลังกัดกร่อนก็ได้หยุดการรุกคืบลง

“ตายจริง ! เพียงแค่หุ่นเชิดเงาดาด ๆ ตัวเดียว ก็มากพอจะบังคับให้ผู้อาวุโสทั้ง 3 ต้องเรียกตำหนักเซียนออกมาเชียวหรือ ? ลงมือเสียเอิกเกริกแต่กลับมีความสามารถเพียงแค่นี้ ?”

ร่าง ๆ หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเยาะเย้ยถากถางพวกเขา นางคือสตรีที่แต่งกายด้วยชุดของราชวงศ์

นางยืนอยู่ในเงาของฉินอู่ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นตัวนางเลยจนกระทั่งนางลงมือโจมตี แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณก็ไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของนางเลยแม้แต่น้อย

มันคือวิชาซ่อนเงาของตระกูลหรง ตราบใดที่มีความมืดอยู่แม้จะเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถใช้มันเพื่อลบตัวตนให้หายไปได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้น จึงไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีความสามารถเท่ากันจะเท่าเทียมกัน เพราะมันยังรวมถึงความแตกต่างด้านความเชี่ยวชาญและความชำนาญด้วย

ในแง่ของความเชี่ยวชาญและความชำนาญในวิชาซ่อนเงาของซูเฉินนั้น แย่กว่าสตรีนางนี้อย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็ยังมีพื้นที่ให้เขาได้พัฒนาอีกมาก

“หรงเซียงไฉ นางเพศยา ! เป็นเจ้าเองงั้นรึ !?” จูอวิ๋นฟานสบถสาปแช่งด้วยความโกรธ

สตรีผู้ถูกต่อว่าดูไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย นางหัวเราะคิกคักแล้วพูดตอบ “โอ้ ไม่ใช่แค่ข้าหรอกนะ”

“ระวัง !” จูอวิ๋นเฟิงตะโกนร้องตะโกนเสียงดังขณะที่เขาฟาดผ่ามือไปทางด้านหลังของจูอวิ๋นฟาน

ไม่มีใครอยู่ที่นั่น แต่จู่ ๆ พื้นที่บริเวณนั้นก็เริ่มบิดเบี้ยว จากนั้นร่างของคนผู้หนึ่งก็ออกมาจากช่องว่างและตั้งรับการโจมตีของจูอวิ๋นเฟิงเอาไว้

ตอนนี้พวกเขาอยู่กันกลางอากาศย่อมไม่มีเงาอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายปกปิดตัวเองได้อย่างไร

ในเวลาเดียวกัน พื้นที่รอบด้านหลายจุดก็เริ่มบิดเบี้ยว ก่อนจะมีเงาคนจากที่ไหนก็ไม่รู้ก้าวออกมา แรงกดดันจากความผันผวนของพลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาลพัดกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง

เมื่อเมฆลมสงบลง ผู้คนจำนวนมากก็ปรากฏตัวอยู่กลางอากาศร่วมกับเหล่าคนของตระกูลจูแล้ว

“หรงเซียงเสิ่ง หรงเซียงเยว่ หรงเซียงหลี่ หรงเซียงจ้าน หรงเซียงฮวา ? ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้าหนูสกปรกที่ชอบซ่อนตัวงั้นรึ !” จูอวิ๋นเยี่ยนตะโกน

ตระกูลหรงมีสายเลือดที่สามารถควบคุมพลังของสสารมืดได้ พวกเขาจึงทั้งรักและชื่นชอบในการลอบโจมตี นี่คือสาเหตุที่ตระกูลจูเรียกพวกเขาว่าหนูสกปรก

หรงเซียงเสิ่งหัวเราะ “แค่หุ่นเชิดตัวเดียว พวกเจ้าก็ยกโขยงกำลังพลกันมาแล้ว ? ตระกูลจูชอบที่จะสร้างเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่งั้นหรือ ?”

หรงเซียงเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวว่า “คิดจริง ๆ หรือว่าจะหลบซ่อนจากสายตาเราได้ ?”

ตัวตนของฉินอู่ไม่ได้มีค่าพอให้ผู้อาวุโสทั้ง 5 ของตระกูลจูต้องมาเสียเวลา แต่ถ้าหุ่นเชิดนั้นเป็นกับดัก ‘ล่อเหยื่อ’ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตระกูลจูไม่ได้โง่ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะลงมือพร้อมกันและเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ผู้อาวุโสทั้ง 6 ของตระกูลหรงมาปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ

จูอวิ๋นเยี่ยนกล่าววว่า “ดูเหมือนว่าการต่อสู้ระหว่าง 2 ตระกูล ในครั้งนี้คงจะมีอะไรคืบหน้าขึ้นมาบ้าง”

ทันทีที่นางพูดจบ ร่างของคน 8 คนก็ได้ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ

พวกเขา 4 คนอยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณ ส่วนอีก 4 อยู่ในขั้นปลายสุดของด่านสู่พิสดาร ทว่าการแสดงออกของพวกเขานั้นกลับดูหม่นหมองและไร้ซึ่งชีวิต หนึ่งในนั้นที่ดูคล้ายกับหรงเซียงเสิ่งกับคนอื่น ๆ ยิ่งนัก

“เซียงเฉียน !” หรงเซียงเสิ่งตะโกนขึ้นเสียงดังเมื่อเขาเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังของจูอวิ๋นเยี่ยน ดวงตาของเขาที่จับจ้องนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ความเกลียดชังระหว่างตระกูลจูกับตระกูลหรง ไม่ใช่แค่ความบาดหมางที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความขัดแย้งที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตอีกด้วย

ใช่ คนผู้นี้คือหนึ่งในเชลยจากตระกูลหรงที่ถูกจูอวิ๋นเยี่ยนควบคุมวิญญาณเอาไว้

เดิมทีตระกูลหรงมีผู้อาวุโสอยู่ทั้งหมด 7 คน แต่เนื่องจากอุบัติเหตุวิญญาณ หนึ่งในนั้นจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจูอวิ๋นเยี่ยน ทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้โดยรวมของพวกเขาลดลงอย่างมาก และจูอวิ๋นเยี่ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าตระกูล

จูอวิ๋นเยี่ยนในยามนี้มีพลังมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน หรงเซียงเฉียนผู้ซึ่งติดอยู่ในด่านสู่พิสดารนั้นล้าสมัยไปนานแล้ว

เหตุผลที่นางยังคงเก็บเขาไว้เป็นหุ่นเชิด ก็เพราะนางยังสามารถใช้เขาเป็นเครื่องยั่วยุและสั่งสอนตระกูลหรงได้

สำหรับตระกูลหรงแล้ว นี่เป็นความทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์ที่พวกเขาถูกบังคับให้ต้องทน

ช่างน่าเสียดายที่หรงเซียงเฉียนอยู่ในมือของจูอวิ๋นเยี่ยน พวกเขาจึงไม่อาจใช้วิธีการทำลายการควบคุมวิญญาณ เพื่อปลดปล่อยฉินอู่กับหรงเซียงเฉียนได้

แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญมากนัก เพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ ความทุกข์ทรมานของพี่น้องทั้ง 6 ก็จะสิ้นสุดลง

หรงเซียงเสิ่งจ้องมองจูอวิ๋นเยี่ยนอย่างดุร้าย “นี่คือการลงโทษสำหรับบาปของเจ้า ! ชดใช้มาด้วยความตายซะ ! พี่น้อง โจมตี !”

พริบตาต่อมาผู้อาวุโสทั้ง 6 ของตระกูลหรงก็ได้กระโจนเข้าใส่เสาหลักทั้ง 5 ของตระกูลจูในพลัน !!