บทที่ 33 คำตอบ
สำหรับเรื่องความแข็งแกร่งในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวแล้ว ตระกูลหรงนับว่าเชี่ยวชาญกว่าตระกูลจูอยู่มาก
โชคดีที่ตระกูลจูไม่เคยพึ่งพาความสามารถในการต่อสู้เพื่อเอาชนะ
พวกเขาพึ่งพาปริมาณ !
ความสามารถในการควบคุมทาสอันทรงพลังของพวกเขาถือเป็นไพ่ตายที่คงไม่มีใครคาดเดาได้ หุ่นเชิดด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 4 เพียงอย่างเดียวก็สร้างความแตกต่างด้านจำนวนได้แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงระดับพลังของพวกมันที่เทียบเท่ากับ 3 ใน 6 จากกลุ่มของคู่ต่อสู้อีก
แม้แต่หุ่นเชิดอีก 4 ที่อยู่ด่านสู่พิสดารก็ไม่ได้เป็นแค่โล่เนื้อ หุ่นเชิดแต่ละตัวก็มีวิธีการใช้งานเฉพาะต่างกันไปตามความสามารถของพวกมัน
หนึ่งในนั้นคือหรงเซียงเฉียน ไม่เพียงแต่จะสามารถเอามาใช้ยั่วยุตระกูลหรง ทว่ายังสามารถใช้เป็นโล่ได้อีกด้วย ด้วยสถานะของเขา เมื่อใดก็ตามที่จูอวิ๋นเยี่ยนต้องเผชิญกับการโจมตีที่ทรงพลัง นางก็สามารถเอาเขามาขวางรับแทนได้ หรงเซียงเสิ่งกับคนอื่น ๆ ไม่ต้องการที่จะเปื้อนเลือดของพี่น้องสายเลือดเดียวกันกับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงหยุดการโจมตีลงกลางคัน และสบถด่าสาปแช่งอย่างโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลา
หุ่นเชิดผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอีก 3 คนที่เหลือก็มีหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน คนหนึ่งครอบครองสายเลือดของอสูรเงาสะท้อน มันเป็นสัตว์อสูรที่ปลดปล่อยแสงเจิดจ้าและขจัดเงามืดโดยรอบออกไปได้เกือบทั้งหมด นี่เป็นวิธีตอบโต้ที่ดีที่สุดในการจัดการกับทักษะตันกำเนิดประเภทความมืดของตระกูลหรง อีกคนหนึ่งมีสายเลือดด้วงน้ำมรกต มันเด่นในเรื่องการฟื้นฟูที่ช่วยให้ผู้ครองสายเลือดไม่ตายง่าย ๆ แม้จะบาดเจ็บสาหัสอยู่ก็ตาม ส่วนคนสุดท้ายนั้นมีสายเลือดของรุ้งปีศาจ เจ้ารุ้งปีศาจนี้แต่เดิมเป็นราชันอสูรที่รับใช้จักรพรรดิอสูรจิ้งจอกร้อยเล่ห์ ด้วยเหตุนี้ทักษะต้นกำเนิดโดยกำเนิดที่สายเลือดนี้มี จึงล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิชาลวงเสน่ห์
ก่อนที่ซูเฉินจะค้นคว้าวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของสายเลือดให้สำเร็จ ตระกูลจูได้อาศัยรุ้งปีศาจนี้เพื่อเสริมสร้างความสามารถของพวกเขา
น่าเสียดายที่สายเลือดรุ้งปีศาจหาตัวได้ยากเกินไป จนถึงตอนนี้จูอวิ๋นเยี่ยนก็ยังตามหามาได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
การต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบได้เริ่มต้นขึ้น ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทั้ง 4 หรงเซียงเฉียนเป็นเพียงคนเดียวที่พุ่งออกไปข้างหน้า ในขณะที่อีก 3 คนยังคงอยู่ข้างหลัง ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ 9 คนกับด่านสู่พิสดารอีก 1 คน เข้าปะทะกับผู้อาวุโสทั้งหกของตระกูลหรง ส่งผลให้เกิดการนองเลือดขึ้น แม้ว่าตระกูลหรงจะมีเพียง 6 คน พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย หมอกดำเริ่มแผ่กระจายตัวออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาแต่ละคน
สีดำและสีแดงเข้าผสมพัวพันกันอย่างบ้าคลั่ง ย้อมเปลี่ยนท้องฟ้าให้ปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงและดำ
แม้แต่ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ ก็ยังสามารถมองเห็นพลังงานที่ปั่นป่วนที่ก่อตัวกันอยู่เหนือหัวของตนได้
การต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณนับ 10 คน สามารถเรียกได้ว่าเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง คลื่นพลังงานรุนแรงปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วราวกับพายุกลางทะเลก็มิปาน แม้แต่ภูเขาที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังสั่นสะเทือนจนหินบนยอดเขาบางส่วนถล่มลงมา เพราะพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ในอากาศ เมืองที่อยู่บนพื้นดินด้านล่างจึงสามารถเปิดใช้งานค่ายกลป้องกันได้ทัน มิฉะนั้นแล้วคลื่นกระแทกจากการต่อสู้อาจทำให้เมืองนภาลัยราบ ราบเป็นหน้ากลองสมชื่อไปแล้ว
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือหรงเซียงเสิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้นำตระกูลหรงท่านนี้อยู่ในขั้นปลายสุดของด่านผลาญจิตวิญญาณ และสร้างตำหนักเซียนครบทั้ง 8 หลังแล้ว
เขาใช้เครื่องมือต้นกำเนิดที่ไม่เหมือนใครซึ่งรู้จักกันในชื่อ เงาทราย
เงาทรายนี้ถูกขัดเกลาด้วยพลังงานความมืดบริสุทธิ์ และหลอมผสมกับโลหะชนิดพิเศษ มันสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณ์ได้มากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นมีดสั้น ดาบ หอก แส้ แม้กระทั่งโล่หรือชุดเกราะมันก็เป็นได้ ภายใต้การควบคุมของหรงเซียงเสิ่งเงาทรายปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปมาอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้มันได้แปรสภาพเป็นโซ่ยาวพุ่งออกไปเบื้องหน้าราวกับงู ทุกการเคลื่อนไหวคมชัดดุร้ายประหนึ่งคมมีด
ทว่าตระกูลจูก็ยังคงครองความได้เปรียบไว้ได้อยู่
เมื่ออาศัยความได้เปรียบในเรื่องของจำนวน ตระกูลจูย่อมเหนือกว่าในการสู้กับแบบตัวต่อตัวอยู่แล้ว หากตระกูลหรงเป็นตระกูลนักฆ่า ถ้างั้นตระกูลจูก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นตระกูลนักอัญเชิญ
ตระกูลจูนับเป็นศัตรูตามธรรมชาติของตระกูลหรง
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่พวกเขาได้รับวิธีปรับปรุงสายเลือดมาจากซูเฉินแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นไปอีก 2 ปีที่ผ่านมาพวกเขาจงใจปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับมาโดยตลอด และตอนนี้พวกเขาได้เปิดเผยมันออกมาทั้งหมดแล้ว
ตระกูลหรงถูกพวกเขากดดันจนเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
จนกระทั่งจังหวะที่ปล่อยคลื่นพลังออกมากดดันและตะโกนขึ้น “หรงเซียงเสิ่งตายเสียเถอะ !”
แรงกดดันที่รุนแรงสาดคลุมไปทั่วราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
ทว่าหรงเซียงเสิ่งกลับหัวเราะขึ้น
เงาทรายก่อตัวขึ้นเป็นโล่ปกป้องพวกเขาเอาไว้จากการโจมตีของอีกฝ่าย “ข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่เจ้าคิดว่าข้าจะลอบโจมตีเจ้าเพื่อเริ่มการต่อสู้ที่ข้าจะเป็นฝ่ายแพ้ ? ลงมือ !”
ลำแสงสีขาว 3 เส้นพุ่งข้ามเส้นขอบฟ้าเข้าปะทะกับจูอวิ๋นเยี่ยน จูอวิ๋นฟานและจูอวิ๋นอวี้ในทันใด
แสงสีขาวนั้นรวดเร็วมากอย่างกับสายฟ้า จากนั้นหมอกสีขาวก็ปรากฏขึ้น มันลอยขึ้นมาและเข้าผสมกับแสงสีดำ แสงขาวดำที่ตัดกันนั้นแฝงไปด้วยจิตสังหารที่เฉียบคมจนสัมผัสได้
“เฉียนชูจง เฉียนชูหยง เฉียนชูเหวิน !” จูอวิ๋นฟานตะโกนด้วยความตกใจ
คนของกวางพิสุทธิ์ตระกูลเฉียนได้ปรากฏตัวแล้ว !
ไม่ใช่ว่าข่าวบอกว่าคนของตระกูลเฉียนจะมาถึงในอีก 2-3 วันหรอกหรือ ?
บัณฑิตในชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าคือเฉียนชูจงจากตระกูลเฉียน “เทพธิดาจู ไม่ได้เจอกันนานนับตั้งแต่คราสุดท้ายที่ได้พบกัน ข้าหวังว่าท่านจะสบายดี”
“เฉียนชูจง คนจากตระกูลเฉียนมีเพียงพวกท่าน 3 คนงั้นหรือ ?” จูอวิ๋นเยี่ยนถามขึ้น
“อันที่จริงท่านดูไม่แปลกใจเท่าไหร่เลยนะที่เห็นเราที่นี่ ดูเหมือนว่าข่าวรั่วไหลออกไปแล้วจริง ๆ สินะ การตัดสินใจที่จะโต้กลับอย่างเด็ดขาดของผู้นำตระกูลหรง ช่างเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้ว ช่างน่าสงสาร”
แม้เขาจะกล่าวเช่นนั้น แต่มือของเขากลับมีหมอกสีขาวสว่างถักทอขึ้นเป็นก้อนแสง
สิ่งที่กวางพิสุทธิ์ควบเมฆาเก่งที่สุดคือการควบคุมเมฆหมอกและการต่อสู้กลางอากาศ ทักษะต้นกำเนิดโดยกำเนิดที่สายเลือดนี้มอบให้กับตระกูลเฉียน คือความสามารถในการเหาะเหินเดินอยู่บนอากาศได้โดยไม่ต้องเปลืองพลังงาน การเคลื่อนตัวไปตามสายลมอย่างคล่องแคล่วทำให้คาดเดาได้ยาก
ในขณะที่เฉียนชูจงเตรียมจะลงมือ เสียงร้องโหยหวนของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้นจากเมฆแสง แม้ว่าพวกมันจะก่อตัวขึ้นจากก้อนเมฆ แต่พวกมันแต่ละตัวก็แสดงออกถึงลักษณะเด่นของตนได้อย่างชัดเจนไม่แพ้ของจริง พวกมันทั้งหมดจึงทรงพลังยิ่ง
จูอวิ๋นเยี่ยนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบลูกศรสีทองออกมาแล้วยิงขึ้นไปในอากาศ เมฆแห่งแสงอันไร้ขอบเขตถูกลูกศรแยกออก สัตว์อสูรที่ก่อตัวขึ้นภายในเมฆก็หายไปในความว่างเปล่า
ทว่าพริบตาต่อมาเมฆและหมอกก็กลับมารวมตัวกัน และกลายเป็นนกอินทรีปีกทองขนาดใหญ่และพุ่งเข้าโจมตีต่อไป
หมอกพันภาพลวงตาของตระกูลเฉียนนั้นจะทรงพลังพอ ๆ กับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเป้าหมาย ยิ่งอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากเท่าไร หมอกก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่อินทรีปีกทองปรากฏตัว พยัคฆ์เพลิงเทา อสูรทะลวงเกราะและสัตว์อสูรแทบทุกชนิดไล่ไปตั้งแต่ระดับต่ำ กลาง สูง และในที่สุดแม้แต่สัตว์อสูรระดับเจ้าอสูรก็เริ่มออกมาทีละตัว ส่วนศรสีทองที่จูอวิ๋นเยี่ยนยิงออกไปก็ค่อย ๆ มีประสิทธิภาพน้อยลงเรื่อย ๆ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้งสามจากกวางพิสุทธิ์ตระกูลเฉียนปรากฏตัวขึ้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทันที จากการต่อสู้ที่ฝ่ายเดียวได้เปรียบเริ่มสมดุลอีกครั้ง ไม่เพียงแค่นั้น ตระกูลหรงยังค่อย ๆ ดึงเอาความได้เปรียบไปทางฝั่งของตนเองด้วย
ในที่สุดจูอวิ๋นเยี่ยนก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ถึงกองกำลังส่วนใหญ่ของตระกูลจะยังมาไม่ถึง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสมาชิกของตระกูลคนไหนล่วงหน้ามาที่นี่ก่อน
สามพี่น้องจากตระกูลเฉียนนั้นได้มาถึงก่อนกำหนด แต่เพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับตระกูลจูได้ แม้ว่าพวกเขาจะรวมกำลังกับตระกูลหรงก็ตาม ดังนั้นแผนเดิมของพวกเขาจึงเป็นการเฝ้ารอให้กองกำลังหลักมาถึงเสียก่อนแล้วค่อยลงมือ
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของซูเฉินทำให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปเร็วขึ้น หรงเซียงเสิ่งนั้นเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ หลังจากที่เขารู้ว่าบันทึกบัญชีของตนถูกล่วงข้อมูล เขาก็เข้าใจในทันทีว่าข่าวเรื่องนี้อาจรั่วไหลออกไปแล้ว ดังนั้นหรงเซียงเสิ่งจึงใช้จิตเชื่อมต่อสั่งการให้ฉินอู่ไปตรวจสอบและยืนยันว่าข่าวได้รั่วไหลออกไปจริง ๆ จากนั้นเขาก็สั่งให้ฉินอู่ถอยกลับทันทีและล่อศัตรูตามมาโจมตี ในขณะเดียวกันก็ทำการจัดเตรียมกับดักเพื่อเปลี่ยนความเสียเปรียบของพวกเขาให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้พวกเขาสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะมีโอกาสตอบโต้ได้ทัน
แต่น่าเสียดายที่เวลาเตรียมตัวไม่มากพอกับดักนี้จึงค่อนข้างหละหลวม จึงมีเพียงจูอวิ๋นฟานเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของตระกูลหรงคือการล่อพวกผู้อาวุโสของตระกูลจูออกมาจากเขตของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่อาจใช้คนในตระกูลจูเป็นไพ่ตายได้
แม้ว่าตระกูลหรงจะไม่สามารถกำจัดตระกูลจูได้ แต่พวกเขาก็ยังคงเล่นงานอีกฝ่ายหนัก ๆ ได้
นี่เป็นกลวิธีที่พวกเขาคิดขึ้นมาอย่างละเอียด เพราะไม่มีอะไรอื่นที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว
ในตอนนี้ถึงทั้ง 2 ฝ่ายต่อสู้กันอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์ก็ค่อย ๆ หยุดชะงักลง จนจูอวิ๋นเยี่ยนเริ่มกังวล
แม้ว่าตระกูลจูจะมีไพ่ตายอยู่ แต่ไพ่พวกนั้นก็ตั้งอยู่รอบ ๆ คฤหาสน์ตระกูลจู อีกทั้งมีไว้เพื่อป้องกันเป็นหลัก เนื่องจากพวกเขาออกล่าหุ่นเชิดมา จึงไม่อาจใช้ไพ่พวกนั้นได้ และยากที่จะจัดการกับพันธมิตร 2 ตระกูล
ถึงตระกูลจูจะมีบรรพบุรุษที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่ แต่ตระกูลหรงเองก็มีไพ่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเช่นกัน สถานการณ์ในตอนนี้อยู่ในภาวะชะงักงันอย่างสมบูรณ์ การจะทำลายสมดุลนั้นเป็นเรื่องยากทีเดียว
ตระกูลหรงก็ไม่อยากจะทำเช่นนี้เช่นกัน ถ้าเป็นไปได้พวกเขาอยากจะรอให้กองกำลังของตระกูลเฉียนมากกันครบเสียก่อน ทว่าเพราะข้อมูลได้รั่วไหลออกไปแล้ว ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ หากพวกเขาปล่อยให้อีกฝ่ายเตรียมการรับมือจนพร้อม มันก็น่าจะสายเกินไปแล้ว
ก็เหมือนสงครามส่วนใหญ่ สิ่งต่าง ๆ จะบานปลายจนกว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องต่อสู้แล้วสูญเสียความเยือกเย็นไปทีละน้อย
การต่อสู้ของระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้จูเซียนเหยากับซูเฉินกำลังเร่งรีบตรงไปยังที่เกิดเหตุ
สีหน้าของจูเซียนเหยาน่าเกลียดขึ้นทันควันเมื่อนางเห็นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณจำนวนมากปะทะกันอยู่บนท้องฟ้า
ไม่มีทางที่นางจะเข้าไปแทรกในการต่อสู้ระดับนี้ได้เลย ทำได้เพียงมองระยะไกลเท่านั้น แค่จะเข้าไปใกล้ก็เป็นเรื่องยากแล้ว
แต่ซูเฉินเฝ้าดูการต่อสู้บนท้องฟ้าอย่างความสนใจ ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยไหวพริบ ในขณะที่คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพลังต้นกำเนิด ระหว่างอากาศกับฝ่ามือของผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดไปด้วย
โอกาสในการชมการต่อสู้ของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังนั้นไม่ได้มีมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้พัวพันกันของผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณมากกว่า 10 คนเช่นนี้
หลังจากใช้งานซ้ำ ๆ มาตลอดหลายปีเนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉินมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ จนการสังเกตการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงของพลังต้นกำเนิดกลายเป็นเรื่องง่าย ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มดูมีความสุขมากที่มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์พิเศษเช่นนี้
เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ จูเซียนเหยาจึงถามขึ้นว่า “ซูเฉิน เจ้าไปช่วยท่านแม่ของข้าได้หรือไม่ ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ในการต่อสู้ระดับนี้ หากข้าเข้าไปข้าก็คงทำได้แค่ลดแรงกดดันให้นางชั่วครู่เท่านั้น”
หากคู่ต่อสู้เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณทั่วไป อย่างน้อยซูเฉินก็พอจะป้องกันตัวเองได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เชี่ยวชาญตรงหน้าของเขาล้วนแล้วแต่เป็นด่านผลาญจิตวิญญาณที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณทั่วไปมาก
ย้อนกลับไปในสมัยนั้นที่อาสิบเอ็ดที่กวาดล้างตระกูลใหญ่ทั้ง 6 เพียงลำพัง นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังของผู้เชี่ยวชาญสายเลือดจักรพรรดิอสูรได้อย่างดี
แม้แต่ซูเฉินก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้นได้
จูเซียนเหยารู้สึกผิดหวังอย่างมากเมื่อได้ยินคำตอบ
“อย่างไรก็ตาม ข้าอาจไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเพื่อยุติการต่อสู้นี้… ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะชนะโดยไม่ต้องต่อสู้เลย” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาลูบคาง
จูเซียนเหยาสับสน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายและยังคงเฝ้าสังเกตสนามรบที่อยู่ไกลออกไปอย่างต่อเนื่อง
“ดูจากการเปลี่ยนแปลงของพลังต้นกำเนิดแล้ว เห็นได้ชัดว่าตระกูลหรงนั้นไม่ใช่ผู้ที่ทำลายการควบคุมวิญญาณของฉินอู่ ผู้มาใหม่จากตระกูลเฉียนทั้ง 3 เองก็ดูเหมือนจะไม่มีสายเลือดที่มีพลังจิตสูง เช่นนั้นแล้วใครเป็นคนแย่งชิงการควบคุมฉินอู่ไปจากจูเซียนหลิงกัน ? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทำมันได้อย่างไรโดยที่เจ้านายอย่างจูเซียนหลิงยังไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ? ไม่… ต้องไม่ใช่วิธีง่าย ๆ เป็นแน่ นอกจากนี้ หากตระกูลหรงยังมีผู้เชี่ยวชาญคนอื่นคอยช่วยอยู่อีก เหตุใดคนผู้นั้นถึงยังไม่โผล่หน้าออกมาอีก ? หรือจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ? หรือยังไม่เหมาะที่จะเผยตัวตน… ไม่เหมาะที่จะเผยตัวตน… คำตอบที่แม้แต่ของระดับผลึกต้นกำเนิดเจ้าอสูรกายก็ใช้แลกเปลี่ยนไม่ได้… หรือมันจะเป็น…?!”
ขณะที่ซูเฉินคร่ำครวญและครุ่นคิด ดวงตาของเขาเริ่มเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ
จูเซียนเหยาเข้าใจท่าทีเช่นนี้ของชายหนุ่มอยู่บ้าง บางทีเขาอาจค้นพบบางสิ่งบางอย่างเข้าแล้ว “เจ้ามีความคิดอะไรบ้าง ?”
“ยังไม่แน่ใจ แต่ข้าอยากจะลองบวงสรวงดูอีกครั้ง” ซูเฉินตอบ
เมื่อกล่าวจบเขาก็ดึงไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดออกมาในทันใด
ค่าชดเชยยังคงเป็นผลึกต้นกำเนิดเจ้าอสูรกายเช่นคราก่อนแต่คราวนี้ เขาได้ลบตัวแปรจำนวนมากทิ้งไป ด้วยเหตุนี้ผลลัพธ์ของความเป็นไปได้จึงตีกรอบแคบลงอย่างมาก
หลังควันรอบแท่นบูชาจางลง ในที่สุดภาพทำนายก็ปรากฏขึ้น
ร่างกายของเขาก็สั่นเทาขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ในภาพนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและคำรามเสียงดัง “ตระกูลหรง ช่างกล้าเสียนี่กระไร ! เจ้ากล้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเผ่าพันธุ์และทรยศต่อมนุษยชาติงั้นรึ !?”