GGS:บทที่ 913 การขายของแบบปิระมิด

 

กวงหยวนได้ขับรถมาส่งซูจิ้งยังบันไดขึ้นตึกของลูกพี่ลูกน้องของเขา ซูจิ้งได้หยิบกู่เจิ้งและกระเป๋าของขวัญของเขาไปด้วย

เขาขึ้นไปชั้นห้าและทำการกดกริ่งประตูบานหนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพักก็ได้มีสาวสวยเปิดประตูออกมา เธออยู่ในชุดเสื้อทีเชริตและกางเกงขาสั้นที่ดูลำลองสุดๆ เธอมีลักยิ้มที่แก้มข้างขวาเวลาที่เธอยิ้มหวานออกมา

ต่อให้ใบหน้าของเธอในตอนนี้จะเศร้าแค่ไหน แต่ตอนนี้เธอกับยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นเมื่อเห็นซูจิ้ง คนๆนี้คือเย่หลินเป็นลูกสาวคนโตของน้องชายของแม่ของเขา และแน่นอนว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกคนหนึ่งด้วย เธอมีอายุมากกว่าซูจิ้งหนึ่งปี

“อาจิ้ง นายมาด้วยเหรอ รีบเข้ามาเลยนะ” เย่หลินยิ้มรับอย่างอบอุ่น และกวงหยวนเองก็ได้ถูกเชิญเข้ามาด้วยเช่นเดียวกัน

“อาจิ้งมาเหรอ” หญิงชราอายุค่อนข้างมากได้เดินออกจากครัว เมื่อเธอเห็นซูจิ้งก็ได้ยิ้มออกมาทันที

“คุณย่า” ซูจิ้งรีบทำความเคารพทันที

“นี่จริงๆเลยน้า… หลังจากวันตรุษจีนก็ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย แต่ย่าเองก็ไม่ได้คิดถึงเท่าไหร่หรอกนะเพราะย่าเห็นออกทีวีแทบจะทุกวัน ถึงย่าจะรู้ว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงกำลังสร้างตัว แต่ก็ไม่ควรจะทำอะไรเกินตัวไปนะ ควรใส่ใจสุขภาพตัวเองให้มากๆเข้าไว้” ย่าของซูจิ้งพูดพลางใช้มือแตะๆสำรวจร่างกายหลานรักของตน

“ผมยังสุขภาพดีอยู่นา…ย่าก็เห็นนี่” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพลางวางกระเป๋าของฝากของเขา เมื่อวางเสร็จแล้วซูจิ้งพูดออกมา “คุณย่า ลูกพีชลูกใหญ่และอร่อยดีนา… คุณย่ารีบกินให้หมดดีกว่านะ ทิ้งไว้นานเดี๋ยวจะเน่าซะก่อน”

 

“โอ้ ลูกพีชลูกบะเร่อ” คุณย่าแสดงท่าตื่นตาออกมาโดยไม่ได้แกล้งแต่อย่างใด แม้แต่กวงหยวนและเย่หลินเองก็ตกใจเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าลูกพีชนี้ใหญ่พอๆกับลูกวอลเล่ย์บอลได้เลย เรียกได้ว่าใหญ่มาก

เย่หลินเองรู้สึกได้เลยว่าลูกพีชนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน นี่ย่อมไม่ต้องพูดถึงข่าวลือสารพัดของเขา โดยเฉพาะเมื่อตอนเทศกาลฤดใบไม้ผลิที่ซูจิ้งนำทั้งชา น้ำผึ้ง ผงเสริมความงาม และของต่างๆที่ล้วนแล้วมีสรรพคุณมหัศจรรย์พันลึก

ต่อให้ของที่นำมาเป็นของธรรมดาก็ตามแต่เมื่อมาจากซูจิ้งของเหล่านั้นล้วนไม่ธรรมดา แน่นอนว่าลูกพีชนี้เองก็สมควรมีอะไรพิเศษอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่ต้องอธิบายอะไรออกมาเธอก็เชื่อว่านี่ย่อมเป็นของขวัญล้ำค่า

 

“แล้วคุณอาคุณน้ากับปิงน้อยล่ะ” ซูจิ้งถามออกมา

“อยู่ในห้องน่ะ” เย่หลินตอบพลางถอนหายใจ

“ย่าก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้การขายแบบปิระมิดอะไรนั่นมันคืออะไร ถ้ามันเป็นเรื่องไม่ได้ต่อให้ได้เงินเยอะยังไงก็คือไม่ดี อาจิ้ง เธอช่วยคุยกับปิงน้อยหน่อยได้ไม๊ว่าให้เขาเลิกทำได้แล้ว ทำให้เขาตาสว่างทีเถอะ”

คนสูงอายุแบบย่าซูจิ้งนั้นย่อมไม่รู้เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายอยู่แล้ว แต่คุณย่านั้นน่าจะฟังเย่าหลินกับคนอื่นๆพูดให้ฟังและจับใจความได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีจึงมีท่าทีแบบนี้ออกมา

“อย่าห่วงเลยครับคุณย่า ย่าก็รู้นี่ว่าผมเป็นคนดังเลยนา… ให้ผมจัดการเรื่องนี้เองแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างมั่นใจทำให้ย่าของเขานั้นใจชื้นขึ้นมา

 

เย่หลินได้พาซูจิ้งไปยั้งห้องๆหนึ่งและได้เปิดประตูออกมา ในห้องนั้นมีคู่ชายหญิงวัยกลางคนกำลังพูดเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุประมาณยี่สิบต้นๆ ชายหนุ่มคนนั้นมัวแต่ก้มหน้าก้มตาไม่รับรู้สิ่งใด แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่แปลกหูจึงได้หันหลังกลับมากันทุกคน

 

“อาจิ้ง หลานมาที่นี่พอดีเลย มานี่สิ มาช่วยพูดกับปิงน้อยหน่อย” น้าของซูจิ้งพูดออกมา

“เขาบอกว่าเราสองคนเรียนมาน้อยเลยไม่เข้าใจ อาจิ้ง เธอเรียนมาสูงยังไงก็เธอน่าจะคุยกับเขาได้ดีกว่าพวกเรานะ” อาของซูจิ้งพูดออกมา

“อาจิ้งอย่าไปฟังพวกเขานะ ฉันไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่ายซะหน่อย โครงร่างพีระมิดที่ฉันวาดให้พ่อแม่ดูนั้นมันมีสินค้าก็จริงแต่ที่ฉันลงทุนไปนั้นไม่ได้มีสินค้าแบบนั้นซะหน่อย

เขาเรียกว่าเป็นการขายตรงเป็นการขายจากโรงงานส่งถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านภาครัฐต่างหาก ไม่สิจะบอกว่าไม่ผ่านก็ไม่ได้เพียงแค่ทำเหมือนไม่ผ่านรัฐเฉยๆน่ะ” เย่ปิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจในทุกคำพูดของตน

 

“หืมมมม แล้วนายจะไปได้อะไรหากมันไม่มีสินค้าล่ะ” ซูจิ้งไม่ได้ยียวนแต่อย่างใด เขาถามอย่างสงสัยจริงๆพลางยิ้มออกมา

“หากนายถามมาอย่างนั้นฉันก็ต้องย้อนไปเล่าตามตารางนี้ก่อนว่าเรานั้นสามารถหาเงินได้จากหลายช่องทางทีเดียว

ช่องทางแรกจากการขนส่ง หากเรานั้นสามารถพัฒนาช่องทางการขนส่งให้ดีล่ะก็เราจะทำให้ค่าขนส่งนั้นถูกกว่าธรรมดาได้และนั่นย่อมทำให้เราได้กำไร จากการขนส่งนี้เราสามารถหากำไรได้จากค่าขนส่ง ค่าอาหาร และค่าที่พักของผู้ขนส่ง

 

ช่องทางที่สองเรื่องของการพัฒนาจุดกระจายสินค้า หากเราทำจุดกระจายสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกข้าได้ล่ะก็เราสามารถหาเงินได้จากจุดนี้จำนวนมาก

และแน่นอนว่ากำไรที่เราได้จะมาจากคนที่ทำหน้าที่กระจายสินค้าในจุดนี้

หากเราสามารถพัฒนาคนของเราให้มีความรู้ความเข้าใจในสินค้าและหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการกระจายสินค้าได้จริง ฉันได้คำนวนต้นทุนที่ต้องใช้ต่อคนแล้วว่าทั้งสายการขายสินค้านี้จะต้องลงทุนต่อหนึ่งคนนั้นเพียงคนละ 69,800 หยวนเท่านั้นเอง

 

และฉันเองก็เล็งไว้ประมาณ 9 ที่น่ะ แล้วก็นะในสองปี เพียงสองปีเท่านั้นฉันสามารถถอนทุนที่จะลงไป 14.4 ล้านหยวนได้ แค่สองปีเองนะ

นายอาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตอนแรกฉันเองก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างว่าล่ะ มันเป็นการลงทุนแนวใหม่ที่ภาครัฐพยายามซ่อนเรื่องนี้เอาไว้จึงไม่ค่อยมีคนรู้นัก

แน่นอนว่าในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้และเฉพาะคนที่รู้เรื่องนี้เท่านั้นที่จะเป็นคนรวยได้”

 

เย่ปิงพูดออกมาเป็นฉากๆประหนึ่งดังกำลังหาแนวร่วม

ซูจิ้งพยกหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาเข้าใจได้เลยว่าเย่ปิงนั้นถูกล้างสมองโดยธุรกิจเครือข่ายนี้เรียบร้อยแล้ว ธุรกิจเครือข่ายนั้นเป็นธุรกิจที่ใช้ความละโมบของคนเป็นตัวหากำไร

และแน่นอนว่าทุกๆที่ในโลกนั้นล้วนแล้วแต่มีธุรกิจแบบนี้แอบแฝงอยู่ คอยหลอกเหล่าผู้หิวกระหายในเงินตราอย่างหัวชนฝามาเข้าร่วม ต่อให้คุณเรียนสูงมาขนาดไหนก็อย่าคิดว่าจะไม่โดนหลอก นั่นก็เพราะว่าความละโมบสามารถบดบังสติปัญญาได้อย่างง่ายดาย

 

ข้อมูลของบริษัทลูกโซ่อย่างMLMนั้นสามารถหาดูได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ตและสามารถผมเห็นได้ตามข่าวอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนหลงเชื่อโดนโกงได้อยู่ทุกปี

รวมถึงเหล่านักศึกษาที่พึ่งจะเรียนจบมาก็ไม่เว้น เพียงแค่คุณก้าวเท้าเข้ามาก็ถือได้ว่าโดนโกงตั้งแต่แรกแล้ว และยิ่งคุณอยู่ในวงจรมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งถูกโกงมากขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งของวงจรลึกขึ้นจนยากจะถอนตัวออกจากวงจรอุบาทนี้ได้

บางคนนั้นชวนเพื่อนมาร่วมลงทุนจนล่มจมไปทั้งคู่ก็มี คนที่ไม่ถูกโกงนั่นก็คือคนที่แทบจะตัดเพื่อนที่ตอแยให้ร่วมลงทุนนั่นเอง

และเมื่อคนเหล่านี้หาผู้ร่วมลงทุนที่เรียกว่าลูกข่ายไม่ได้ก็จะถูกดีดออกจากวงจรอย่างไม่ไยดีเพราะขาดความสามารถในการหาเงินให้บริษัทได้แล้ว

 

อาของซูจิ้งนั้นเปิดบริษัทเล็กๆทำธุรกิจเกี่ยวเครื่องหนังอย่างรองเท้าและกระเป๋า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีมากแต่ถือได้ว่ามั่นคงพอจะเลี้ยงลูกของเขาจนจบได้อย่างไม่ยากลำบาก

หลังจากเย่ปิงเรียนจบตอนป.ตรีนั้นเขาตั้งเป้าไว้ว่าจะไม่สืบทอดกิจการของอาของเขา แต่ด้วยการที่เป็นเด็กจบใหม่และไร้ประสบการณ์ทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะได้งานที่ได้เงินเดือนสูง

และด้วยการที่เขานั้นเป็นคนที่หยิ่งและใจร้อนเป็นทุนเดิมทำให้เขาเป็นคนเลือกงานและกลายเป็นคนที่ดูไม่เอาไหน และเมื่อถูกถามเรื่องงานก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่

ด้วยนิสัยแบบนี้ต่อให้เย่ปิงเป็นเงียบๆและน่ารักยังไงก็ตาม แต่เมื่ออารมณ์พลุ่งพล่านก็จะกลายเป็นคนโง่ได้ในทันที

 

“อาไม่เข้าใจจริงๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และที่ไม่เข้าใจที่สุดก็คือมันจะไปมีเรื่องดีๆอยู่ในโลกอย่างการลงทุนหกหมื่นกว่าหยวนแล้วได้เงินกว่า10ล้านหยวนในสองปีได้ยังไง เมื่อมีคนโง่ซื้อสินค้าเหรอ” อาของซูจิ้งในตอนนี้เองก็โกรธจนอยากจะตบลูกของตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น

“ผมบอกพ่อไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่ามันทำได้แต่พ่อไม่เข้าใจเองต่างหาก นี่เป็นการทำธุรกิจแนวใหม่ที่มีรัฐแอบสนับสนุนอย่างลับๆ พวกเราพัฒนาระบบที่เรียกว่าห้าระดับสามขั้นตอนขึ้นมา ระบบนี้มีอยู่ทุกที่เลยนะแม้แต่บนแบงค์100น่ะ” เย่ปิงพูดออกมาพลางเอาแบงค์ร้อยหยวนขึ้นมาทำการอธิบาย

 

“นายมันกู่ไม่กลับแล้ว ลองหัดเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตบ้างได้ไม๊ ไอ้บริษัทที่เรียกว่าMLMมันเป็นแชร์ลูกโซ่อย่างหนึ่ง ต่อให้นายจะลงทุนไปเท่าไหร่นานไปหลายสิบปีก็ไม่มีวันได้เงินกลับมาหรอก เมื่อไหร่นายจะเชื่อเนี่ย”

เย่หลินตอนนี้เริ่มหมดความอดทนจนโกรธชนิดที่ว่าหากมีเหล็กอยู่ในมือตอนนี้เธอจะเอามาฟาดหน้าน้องของเธอให้ตาสว่างสักที

ทั้งอาและน้าของซูจิ้งเองก็มีอารมณ์ไม่ต่างกัน ซูจิ้งมองไปที่ทุกคนพลางแอบส่งสัญญาณทางใบหน้าให้พวกเขาหยุดพูด ตอนนี้เย่ปิงนั้นดูกลายเป็นคนโง่ที่ไม่ฟังคำคนอื่นอีกต่อไป

 

คนที่ถูกล้างสมองโดยธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่นั้นเป็นแบบนี้กันทุกคน พวกเขานั้นในใจของเขาเชื่อมั่นในวิถีทางที่บริษัทอย่างMLMฝังเอาไว้แบบลึกสุดใจ ต่อให้พูดยังไงก็ยากที่จะฉุดขึ้นมาจากวงจร

กวงหยวนเองที่เห็นเหตุการณ์ก็ถึงกับต้องส่ายหน้าให้ พลางคิดไปว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังหนุ่มเกินจนโดนล่อลวงจากระบบเครือข่ายปิระมิดลูกโซ่ล่อลวงเอาได้

แต่เขาเองกลับไม่เคยคิดว่าก่อนหน้านี้ตัวเองยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบแบบนี้มาก่อนตอนอยู่ในนิกายเมตตาฯที่ล้างสมองเขาให้มีสภาพไม่ต่างกัน

แล้วการที่เขามาบูชาซูจิ้งแบบนี้จะไม่ถือว่าเป็นการล้างสมองได้อย่างไร คราวนี้ต้องถือว่าเป็นโชคดีของหยวนกวงที่เลือกบูชาได้ถูกคน นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นไม่ได้เลวชาติขนาดที่ว่าโกงคนที่ไม่สมควรโกงอย่างแน่นอน

ซูจิ้งไม่ได้พูดสิ่งใดกับเย่ปิงต่อ เขาได้หยิบกูจิ้งออกมาก่อนจะนั่งลงกับพื้นในท่าเตรียมพร้อมเล่นกู่จิ้ง ฉากนี้ทำให้ทั้งอา น้า และเย่หลินยืนงงไปเล็กน้อย

ถึงแม้ทุกคนจะได้ยินข่าวลือมาเหมือนกันว่าเพลงของซูจิ้งนั้นทำให้จิตใจของผู้คนสงบ แต่กับคนสมองตายด้านทางปัญญาแบบนี้เพลงของเขาจะช่วยได้ด้วยหรือ