GGS:บทที่ 914 หาสิ่งซ่อนเร้น

 

ซูจิ้งในตอนนี้สามารถใช้ความสามารถของเม็ดหินสีน้ำเงินให้เย่ปิงออกจากวงจรหากำไรจากปิระมิดอุบาทนี่ได้อย่างงายดาย แต่เขานั้นไม่สามารถทำแบบนี้ได้ตลอดไป

ถึงแม้เขาจะสามารถทำให้จิตใจคนสั่นคลอนได้อย่างง่ายๆอยู่แล้ว ต่อให้คนนั้นโดนล้างสมองแบบฝังลึกขนาดไหนก็ตาม

ด้วยการที่เย่ปิงนั้นเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อราวกับศาสนาประจำใจอย่างโง่งมเช่นนี้ การใช้พลังจากเม็ดหินสีน้ำเงินนั้นต่อให้ทำให้ฟังได้ในตอนนี้แต่ในอนาคตแล้วมีโอกาสหวนกลับไปอย่างแน่นอน จึงไม่ถือว่าเป็นการหลุดออกมาจากวงจรอุบาทนี้ได้อย่างแท้จริง

 

ซูจิ้งจึงเลือกที่จะใช้การเล่นกู่จิ้งบรรเลงเพลงเพื่อกล่อมเกลาจิตใจแทน บทเพลงแรกที่ซูจิ้งเล่นนั้นมีชื่อเพลงว่า “กว่าจะเป็นทองบริสุทธิ์” ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณ

นี่เป็นเพลงที่ส่งพลังงานอันบริสุทธิ์ออกมาอย่างมหาศาล และมีผลในการชำระล้างความคิดด้านลบในจิตใจ ด้วยการที่ซูจิ้งในตอนนี้มีระดับพลังวิญญาณและความรู้ความเข้าใจในศิลปะแห่งศิลป์มากขึ้นในทุกๆวันที่ผ่านมา ส่งผลให้บทเพลงนี้ทรงพลังมากกว่าเดิม แม้แต่ซูจิ้งก็ยังรู้สึกได้เลยว่าอีกเพียงนิดเดียวเขาก็เล่นได้พอจะเทียบกับ ราชาแห่งพิณที่เป็นตัวเอกในห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณได้แล้ว

 

ในตอนที่ซูจิ้งเล่นเพลงอยู่นั้น ไม่เพียงแต่เย่ปิงเท่านั้น ทุกคนที่นั่นไม่ว่าจะเป็นย่าของซูจิ้ง อา น้า และเย่หลิน รวมถึงกวนหยวนเองต่างก็ได้รับการชำระล้างจิตใจ ความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายในจิตใจมลายหายสิ้นในทีเดียว

เมื่อจบเพลง เย่ปิงมีท่าทีสงบลงจนเห็นได้ชัดและคนอื่นๆเองก็ดูสงบนิ่งไม่ต่างกัน เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งจึงได้เล่นเพลง “จงเชื่ออย่างมีเหตุผล” ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ซูจิ้งได้เรียนรู้มาจากห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณเช่นเดียวกัน

แน่นอนว่าการเล่นในครั้งนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนเช่นเดียวกัน ทุกๆคนที่ได้ยินแม้แต่เพื่อนบ้านของบ้านอาของเขาเองที่เผอิญได้ยินต่างก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียวในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจ

 

หลังจากซูจิ้งเล่นเพลงนี้จบลง ดูเหมือนว่าเย่ปิงเองจะสงบใจได้สมบูรณ์แล้ว นี่จะทำให้ขั้นตอนต่อไปของเขาทำได้ง่ายยิ่งขึ้น

ความจริงแล้วไอ้ระบบวงจรปิระมิดอุบาทนี่นั้นมีช่องโหว่าอยู่เต็มไปหมด ตราบใดที่คนฟังนั้นมีสติสมบูรณ์และอารมณ์ที่สงบเมื่อฟังคำอธิบายก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเย็น และง่ายที่จะตัดใจออกมา

เอาจริงๆไอ้ระบบปิระมิดอะไรนี่ก็แทบไม่ได้ต่างจากที่ออกมาแฉกันในอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่น้อย เอาจริงๆก็เหมือนกันแทบจะทุกกระเบียดนิ้วจนคล้ายกับเม็ดถั่วเลยทีเดียว

หากลองเอามาเทียบกันแล้วยังมองไม่ออกว่าธุรกิจนี้เป็นการหลอกลวง สมควรที่สมองจะมีปัญหาเป็นแน่แท้

 

หลังจากเย่ปิงได้คุยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นซูจิ้ง เย่หลิน พ่อ แม่ และย่าของเขา แม้แต่เอาข้อมูลในเน็ตมาให้ดูกันจะจะ จนตอนนี้เขานั้นรู้สึกละอายใจจนยากจะแทรกแผ่นดินหนีเรียบร้อยแล้ว

ตอนแรกเขาเองก็มีความคิดที่ปฏิเสธแบบหัวชนฝาอยู่เหมือนกัน แต่ตัวเขานั้นก็เจอช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดในแนวคิดนี้นั่นก็คือเขานั้นไม่มีเงินมากพอ

เป็นครั้งแรกเลยที่เขาต้องกลับมาขอเงินที่บ้านสาเหตุก็เพราะวงจรปิรามิตอุบาทนี้ ตอนแรกพ่อแม่ของเขาก็ให้ไปอยู่เหมือนกัน แต่พอซักไซ้ไล่เรียงดูจึงพบว่ามันแปลกๆเลยไม่ยอมให้เงินไปต่อและบอกเขาว่าเขานั้นจะโดนหลอกเงินอย่างแน่นอน

 

ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะไม่ยอมเสียเวลามานั่งคำนวนดูว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาผู้นี้จะโดนไปเท่าไหร่ แต่เขานั้นรู้แค่ว่าบริษัทMLMนั้นได้โกงญาติของเขา แค่นี้เขาก็เตรียมล้างผลาญบริษัทนี้เรียบร้อยแล้ว

“เฮ้ ปิงน้อย พาฉันไปบริษัทMLMนี่หน่อยสิ แล้วก็พาฉันเข้าเป็นสมาชิกด้วยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา

“หลานอย่าลืมนะว่าต่อให้เรื่องนี้เป็นตำรวจก็ยังทำอะไรได้ยากเลย” อาของเขาพูดออกมา

“ใช่แล้วล่ะ แล้วนายไปจะไม่เป็นอันตรายเหรอ” น้าของซูจิ้งถามออกมาอย่างเป็นกังวล

“อย่ากังวลเลยครับ ผมจัดการได้ อีกอย่างผมไม่มีทางปล่อยให้ปิงน้อยเจ็บตัวหรอกน่า ไอ้พวกตำบอนพวกนั้นเกือบทำให้ปิงน้อยต้องเจ็บปวดไปชั่วชีวิตเลยนะ หากไม่เอาคืนเลยก็ดีเกินไปสำหรับพวกมัน หากปล่อยพวกนี้ไปเดี๋ยวก็ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก” ซูจิ้งพูดออกมา

 

“งั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ” น้าและอาของซูจิ้งต่างก็คิดว่าซูจิ้งในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้ว ไม่เพียงความสามารถที่ก้าวไกลกว่าแต่ก่อน แถมเขาเองในตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นคนมีอำนาจคนหนึ่ง หากว่าเขาสามารถกวาดล้างธุรกิจเครือข่ายอย่างMLMแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี

 

“ฉันจะเผยแพร่เรื่องนี้แบบสตรีมเลยเพื่อจะให้ทุกคนรู้ว่าธุรกิจเครือข่ายอย่างMLMเป็นอันตรายแค่ไหน” เย่หลินพูดออกมา

“หืม เว็บไหนที่คุณจะสตรีมหรือครับ” เมื่อได้ฟังว่าจะมีการสตรีมแล้ว ในฐานะที่กวงหยวนผู้นี้เป็นหัวหน้าของช่องสตรีมชาร์คลีฟเนตเวิรค์ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“ชาร์คทีวีค่ะ” เย่หลินพูดออกมา

“โอ้…” กวงหยวนถึงกับสายตาเป็นประกายในทันที ก่อนหน้านี้เขานั้นอยากจะหาโอกาสเสนอตัวรับใช้ซูจิ้งอยู่แล้ว ยิ่งเขาได้ยินแบบนี้แล้วยิ่งเข้าทางเขาไปกันใหญ่

ด้วยคนระดับซูจิ้งนั้นแน่นอนว่าทั้งเงินทองและเส้นสายของเขานั้นล้วนไร้ความหมาย แต่ในที่สุดเขาก็พบหนทองที่จะสร้างความดีความชอบได้สักที

ในครั้งนี้หากเขานั้นดูแลครอบครัวของเย่หลินในเรื่องนี้หรือทำให้เย่หลินพึงพอใจได้ แน่นอนว่าอย่างน้อยๆซูจิ้งก็คงจะจดจำเขาได้ในฐานะที่มีประโยชน์ด้านนี้อยู่บ้าง เพราะดูๆไปแล้วซูจิ้งนั้นเป็นคนที่รักและดูแลญาติพี่น้องและมิตรสหายอย่างดียิ่ง

“งั้นก็ไปกันเลยดีกว่า” ซูจิ้งเองก็พอรู้อยู่บ้างว่าเย่หลินนั้นมีช่องสตรีมอยู่บนชาร์คทีวีแต่เธอเองก็ทำเป็นงานอดิเรกเท่านั้น

ด้วยอุปนิสัยของเธอ รอยยิ้มอันแสนละไม และทักษะในการพูดและขายของกระจุกกระจิกนั้น ทำให้เธอเป็นที่นิยมระดับหนึ่งและสร้างรายได้พอสมควรเลยทีเดียว

เขาเองก็พอจะเห็นท่าทางของกวงหยวนแล้วและพอจะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้หยุดกวงหยวนแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่าเขานั้นไม่อยากจะเตะตัดขาชายคนนี้ไปซะทุกเรื่อง อย่างน้อยก็เหลือช่องทางให้กวงหยวนสร้างความดีความชอบบ้างก็ดีไม่น้อย

 

ซูจิ้ง เย่ปิง และกวงหยวนได้ตรงไปยังบริษัทลูกของธุรกิจเครือข่ายMLMซึ่งอยู่ใกล้ๆ เมื่อตอนที่เขาไปถึงนั้น ดูเหมือนว่าบริษัทลูกนี้จะย้ายออกไปแล้ว

เมื่อสอบถามคนแถวๆนั้นดูก็พบว่าบริษัทเหมือนจะได้กำไรพอสมควรจึงย้ายเพื่อทำการขยับขยาย แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าย้ายไปที่ไหน

เย่ปิงจึงได้โทรหาเพื่อนของเขาคนที่แนะนำให้เข้าร่วมกับMLM หลังจากคุยได้สองสามประโยคก็ดูเหมือนกับว่าบริษัทจะไหวตัวเรื่องเย่ปิงที่ถูกขังไว้ที่บ้านเป็นเวลาสองวันจึงย้ายที่เพื่อตัดปัญหา

 

“เอาไงล่ะเนี่ย นายยังจะตามเรื่องนี้ต่อรึเปล่า” เย่ปิงถามพลางถอนหายใจ

“แน่นอนสิ” ซูจิ้งพูดออกมา ตอนนี้เขาพยายามนึกวิธีค้นหาบริษัทเครือข่ายMLMนี้ยังไงดี เขาเชื่อว่าปกติบริษัทพวกนี้ไม่สมควรจะย้ายได้เร็วขนาดนี้ หากเขาคิดไม่ผิดแถวๆนี้เองสมควรจะมีบริษัทย่อยหรือสาขารองอะไรพวกนั้นเพราะยังซะถือได้ว่าบริษัทเครือข่ายนี้ใหญ่พอสมควรเลย

นั่นก็เพราะว่าคนของบริษัทนี้กระจายอยู่แทบจะทุกหัวมุมซอย หรือไปอยู่ในจุดท่องเที่ยวอย่างพิพิธภัณธ์หรือสนามกีฬาที่มีคนพลุกพล่าน

ในที่พวกนั้นพวกเขาจะใช้การล่อลวงที่เรียกว่าการสอนเรื่องการหาเงินอย่างง่าย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาหาคนของMLMได้ไม่ยากนัก และนั่นเองพวกเขาก็พบบริษัทลูกของMLMที่อยู่ประจำเขตนี้

แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้หุนหันแต่อย่างใด เขาเองก็กำลังประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อซูจิ้งดูเบอร์ก็พบว่าเป็นเบอร์ที่เขานั้นไม่รู้จักแต่เขาก็ยอมรับสาย

เมื่อซูจิ้งรับสาย เสียงของคนแปลกหน้าได้พูดออกมาว่า “สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์คุณซูรึเปล่า”

“ใช่ แล้วคุณเป็นใคร” ซูจิ้งถามออกมา”

“ผมชื่อผู่หุยครับ ผมเป็นปรมาจารย์อาวุโสสูงสุดของกลุ่มเมตตาและโชคนำพา ผมได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของคุณได้เข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายMLM ผมว่าผมพอจะช่วยเรื่องนี้ได้ครับ”

 

“หืม! คุณรู้ได้ยังไงว่าลูกพี่ลูกน้องของผมนั้นเข้าร่วมกับMLM และคุณจะช่วยผมได้ยังไง” ซูจิ้งถึงกับต้องถามกลับไปในทันทีพลางขมวดคิ้วไปด้วย เขานั้นรู้สึกได้ในทันทีเลยว่าสายที่โทรเข้ามานี่มีความไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน

“เพราะว่าผมเป็นหนึ่งในผู้นำของบริษัทMLMสาขาย่อยหรือก็คือเป็นหนึ่งในแม่ข่ายของบริษัทที่ลูกพี่ลูกน้องของคุณเข้าร่วมครับ”

เมื่อซูจิ้งได้ยินดังนั้นเขาถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกในทันที เขาเองก็ตะขิดตะขวงใจมาก่อนหน้านี้แล้วว่ากลุ่มศาสนาอย่างกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานั้นได้หลอกเงินมากมายของเหล่าสาวกไปจนเกิดปัญหากับตัวสาวกเองแต่ทำไมผู้นำนิกายไม่ได้ดูฟุ้งเฟ้อเลิศหรูแต่กลับดูอยู่ในศีลในธรรมและแสวงหาความสงบอย่างแท้จริงได้

 

ไม่คิดเลยว่าจริงๆแล้วปรมาจารย์ชั้นสูงสุดของนิกายกลับกลายเป็นหนึ่งในแม่ข่ายของธุรกิจเครือข่ายแบบนี้

“ผู่หุยเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจเครือข่ายMLMงั้นเหรอ” เมื่อกวงหยวนได้ยินเรื่องนี้ถึงกับหน้าตาไม่สู้ดีเลยทีเดียว ผู่หุยเองก็นับได้ว่าเป็นสาวกที่ศรัทธาในนิกายนี้แทบจะหมดใจ และถือได้ว่าเป็นสาวกอันดับหนึ่งของนิกายเลยก็ว่าได้

การที่สาวกอันดับหนึ่งนั้นมีเบื้องหลังอีกอย่างหนึ่งคือการเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจเครือข่ายMLMแบบนี้และยังใช้วิธีเดียวการเดียวกันนี้ในการบริหารนิกายนี่ทำให้เขานึกคำด่าไม่ถูกเลยจริงๆ

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ผู่หุ่ยเองก็เหมือนจะไม่ต่างกับเขา เขานั้นละทิ้งความมืดในใจและได้รับคำตอบจากสิ่งที่เขาแสวงหาจากการคำพูดของซูจิ้งในงานเสวนาพระพุทธศาสนาที่ผ่านมา พร้อมทั้งรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ก่อไว้จึงได้เสนอตัวช่วยเองแบบนี้

ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “มันเป็นเรื่องที่ดีหากคุณต้องการจะช่วยจริงๆ นำลูกข่ายของนายทุกคนมาหาฉันซะ”

“ได้ครับ” ผู่หุยรีบรับคำในทันที

ด้วยการที่เขานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงของMLMแน่นอนว่าตัวเขาต้องมีลูกข่ายจำนวนมากเป็นแน่ ในคืนนั้นได้มีการจัดงานประชุมเสวนาของบริษัทขึ้นโดยสมาชิกส่วนใหญ่ได้เข้าร่วมด้วย

ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังของเม็ดหินสีน้ำเงินและได้ทำการชำระล้างจิตใจพวกเขาด้วยคำพูด แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้อยากทำแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่การที่จะปล่อยให้มีคนถูกหลอกลวงโดยธุรกิจเครือข่ายMLMแบบนี้สู้เขานำคนพวกนี้มาเป็นสาวกซะยังดีกว่า