ตอนที่ 1277 แสงสว่าง โดย Ink Stone_Fantasy

“เอ่อ ไม่ต้องกลัว นี่ไม่ใช่เลือดข้า” นาน่าถอดเสื้อคลุมออกโดยมีเบลคอยช่วย “เมื่อกี้มีคนเจ็บถูกเครื่องบดทับแขนจนขาด ตรงนั้นก็เลยวุ่นวายนิดหน่อย”

“งะ งั้นเหรอ…”

“ใช่ มา ขอข้าดูแผลเจ้าหน่อย”

ออร่ารุนแรงมาก อีกฝ่ายอายุเท่ากับตัวเองจริงๆ เหรอ…

โมโม่กลืนน้ำลาย ก่อนจะถอดผ้าปิดตาออกอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหานาน่า

“อืม คล้ายๆ กับที่พี่เวนดี้บอกเลย พลังเวทมนตร์ที่เหลืออยู่น่าจะพอใช้” หลังสาวน้อยตรวจดูบาดแผลเสร็จก็เทยาให้เธอแก้วนึง จากนั้นจึงเอามือตบเตียงที่อยู่ข้างๆ “ดื่มเสร็จแล้วขึ้นมานอนบนนี้ ประมาณ 10 นาทีก็น่าจะเสร็จแล้ว”

โมโม่ดื่มยาลงไป ก่อนจะลืมตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบมีดเล่มเล็กๆ ขึ้นมา

“ฝ่า ฝ่าบาท…เวนดี้….” เธอมองไปทางทั้งสองคนเหมือนจะขอความช่วยเหลือ เสียงของเธอเหมือนกำลังจะร้องไห้

“พอแล้ว นาน่า” เวนดี้ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “เจ้าให้เวลาพี่น้องแม่มดที่เพิ่งเข้ามาใหม่ค่อยๆ ปรับตัวหน่อยไม่ได้หรือไง?”

“เอ๋ นี่มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ” นาน่าถามอย่างแปลกใจ “ถ้าไม่เปิดแผลเก่าออก แล้วทำลายแผลที่มันสมานตัวทั้งหมดก่อน การรักษามันก็จะไม่ได้ผลนี่นา”

“มันก็ใช่ แต่เจ้าก็คุยเล่นกับนางก่อนก็ได้นี่นา…”

“อย่างนั้น…คุยเรื่องคนไข้ก่อนหน้านี้แล้วกัน? ข้ารู้สึกว่าตอนที่ตัดแขนขาทิ้ง ใช้เลื่อยมันจะง่ายกว่าใช้ขวาน”

“ไม่ ข้าไม่ได้หมายถึงให้คุยแบบนี้….”

“ถูกต้อง” โรแลนด์เองก็พูดแทรกขึ้นมา “เพราะเลื่อยมันจะทำให้หน้าตัดของบาดแผลมีความเรียบ แต่ถ้าเป็นกระดูกใหญ่ๆ เหมือนกระดูกที่ขา อยากจะตัดก็คงต้องเปลืองแรงอย่างมากใช่ไหมล่ะ?”

“กระดูกธรรมดาก็เหนื่อยเหมือนกันเพคะ พยาบาลพวกนั้นแรงก็ไม่ได้เยอะกว่าหม่อมฉันเท่าไร ถ้ามีพี่อันนาคอยช่วยล่ะก็ หม่อมฉันคงจะสบายขึ้นเยอะเลยเพคะ”

“ข้าลืมนึกไปเลย แต่ปัญหานี้ก็แก้ไม่ยาก เดี๋ยวกลับไปข้าไปออกแบบเลื่อยไฟฟ้าให้เจ้าซักอันเป็นไง? รับรองไม่มีอะไรที่ตัดไม่ขาด”

“ฝ่าบาท! อย่าตรัสเรื่องนี้ได้ไหมเพคะ!”

“อะแฮ่มๆ ขอโทษที พอพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีข้าก็อดไม่ได้..”

เสียงฟังดูเลือนลางขึ้นมา

โมโม่หันหน้าไป ก่อนจะเห็นภาพนาน่า ฝ่าบาทและเวนดี้เหมือนกำลังคุยอะไรกันอยู่ แถมนาน่าก็ยังเหวี่ยงมีดในมือไปมาตลอด เหมือนพยายามจะลองทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของเธอ

ตัด? เลื่อย? ขวาน?

ขอโทษด้วยนะ…เปลือกตาของเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ…ไทเลน หลังรักษาเสร็จแล้ว ข้าอาจจะมองไม่เห็นหน้าเจ้าแล้วก็ได้

….

“เอ่อ นางหลับไปแล้ว” โรแลนด์พลันสังเกตเห็นโมโม่ที่อยู่บนเตียงเหมือนจะหลับลงไปแล้ว

นาน่ายกมีดผ่าตัดในมือขึ้นมา ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ทั้งสองคน “อย่างนั้นหม่อมฉันเริ่มเลยนะเพคะ”

เธอกรีดมีดลงไปรอบๆ เบ้าตาอย่างช่ำชอง ก่อนจะกรีดเปิดบาดแผลเก่าที่น่าเกลียดออกและตัดผิวหนังที่เสียออก เลือดสดๆ ไหลออกมา ก่อนจะซึมไปบนผ้าก๊อตที่ถูกวางรองเอาไว้ ตลอดทั้งขั้นตอนแขนของเธอแทบจะไม่ได้ขยับเลย มีเพียงแต่นิ้วมือและข้อมือที่เคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ ขั้นตอนนี้ไม่เหมือนกับการรักษา เพราะมันไม่สามารถใช้พลังเวทมนตร์ในการทำให้สำเร็จได้ ทุกอย่างคือสิ่งที่ได้มาจากการฝึกฝนของนาน่า

“สุดยอด…” เวนดี้พูดเสียงเบาๆ

“จำเป็นต้องทำน่ะ” นาน่ามุ่ยปาก “ตอนที่อยู่ในหน่วยปฐมพยาบาลของกองทัพ ข้ามีเวลารักษาทหารแต่ละคนแค่ประมาณครึ่งนาที ถ้าไม่จัดการบาดแผลให้เสร็จเรียบร้อยในเวลาสั้นๆ ข้าอาจจะช่วยคนเจ็บที่เหลือไม่ทัน”

เธอถึงได้ติดนิสัยทำอะไรเร็วๆ งั้นเหรอ…โรแลนด์อดทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ “เมื่อก่อนเจ้าแค่เห็นเลือดก็จะเป็นลมแล้ว แล้วก็ยังมีไก่พวกนั้น…”

“ฝ่าบาท!” นาน่ากรอกตาใส่เขา “ห้ามตรัสถึงเรื่องตอนนั้นอีกเพคะ! แถมคนที่ผิดก็คือพระองค์นั่นแหละ”

“ก็ได้ๆ” โรแลนด์ยกมือยอมแพ้

“ยิ่งไปกว่านั้น…” สาวน้อยชะงักไปเล็กน้อย “หม่อมฉันคิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเพคะ อย่างน้อยถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว หม่อมฉันก็ถือว่าแข็งแกร่งขึ้น…ใช่ไหมเพคะ?”

มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ตัวเธอในตอนนี้เหมือนจะซ้อนทับกับภาพตัวเธอที่อยู่ในความทรงจำ

โรแลนด์ยื่นมือออกไปลูบหัวเธอ “แน่นอน”

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ดวงตาของโมโม่ก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“เฟิร์นหลับใหลหนึ่งชามน่าจะออกฤทธิ์ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ปริมาณแค่นี้ไม่ส่งผลอะไรต่อแม่มดนัก หลังจากนี้ก็แค่รอนางตื่นขึ้นมาเองก็พอ” นาน่ามองไปทางเวนดี้

“ลำบากเจ้าหน่อยนะ” อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

“เออใช่ พลังเวทมนตร์ของเจ้าเหลืออยู่เท่าไร?” โรแลนด์แสร้งทำเป็นพูดโดยไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา “พอจะตรวจให้ข้าได้หรือเปล่า?”

เวนดี้หน้าเปลี่ยนสีทันที ส่วนนาน่าก็คว้าแขนของเขาเอาไว้

“พระองค์บาดเจ็บหรือเพคะ?”

“เปล่า…ข้าแค่รู้สึกว่าช่วงนี้คัดจมูกบ่อยน่ะ”

“อย่างนั้นพระองค์ก็ควรจะไปหาลิลลี่ถึงจะถูกเพคะ” นาน่าดึงมือกลับไป “ตรวจดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเพคะ”

“ข้าก็ว่างั้นเหมือนกัน” โรแลนด์เบือนหน้าหลบสายของเวนดี้เล็กน้อย

ดูเหมือนความสามารถของนาน่าจะไม่ได้รักษาได้ทุกอย่าง…เขาคิดในใจ ไม่รู้ว่าเธอไม่สามารถรักษา ‘โรคที่หลบซ่อน’ ที่มองไม่เห็นเหล่านั้นได้หรือว่าอาการไม่สบายที่เป็นสีแดงนั้นไม่ได้จัดว่าเป็นอาการบาดเจ็บอย่างหนึ่ง

เอาเป็นว่าค่อยๆ คิดไปก่อนแล้วกัน …..

ในตอนที่โมโม่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอคือท้องฟ้าสีแดงยามเย็น ก้อนเมฆที่ซ้อนทับกันเปลี่ยนจากสีทองกลายเป็นสีม่วง แล้วก็ค่อยๆ ลอยห่างออกไป หูของเธอได้ยินเสียงซ่าของสายลมที่พัดผ่านต้นหญ้า บางครั้งเธอจะมองเห็นใบหญ้าที่ลอยขึ้นมาปลิวผ่านหน้าของเธอไป

ทุกอย่างดูเงียบและสงบ

ที่แท้ตัวเธอก็ยังมีชีวิตอยู่…

เธอคิดในใจ

แต่ไม่นานโมโม่ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ภาพในดวงตาของเธอเหมือนจะกว้างขึ้นมามากกว่าเดิม ภาพที่ดูเลือนลางเวลามองออกไปไกลๆ ดูชัดเจนขึ้นมาถนัดตา เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเห็นไทเลนกำลังก้มหน้ายิ้มให้เธอ “เจ้าตื่นแล้วเหรอ?”

ในเวลานี้โมโม่ถึงได้สังเกตเห็นว่าตัวเองนอนหนุนตักเพื่อนของเธออยู่ แต่ที่ๆ ทั้งสองคนอยู่ก็คือสนามหญ้าด้านหน้าตึกแม่มด

“ข้า…หลับไปนานเท่าไร? เวนดี้ล่ะ?”

“นางส่งเจ้าให้ข้า เสร็จแล้วก็ไป” ไทเลนยักไหล่ “เจ้าน่าจะหลับไปตลอดทั้งช่วงบ่ายมั้ง ถึงแม้เวนดี้จะบอกว่าเจ้าจะตื่นภายในสองชั่วโมง ต่อถึงจะนอนเกินกว่าสองชั่วโมงก็ไม่ต้องกังวล นี่เป็นอาการที่เจอได้บ่อยๆ หลังจากที่พลังเวทมนตร์ฟื้นฟู ถ้าตื่นขึ้นมาเองร่างกายจะปรับตัวได้ดีกว่า เป็นยังไงบ้าง ดวงตาใหม่….มองเห็นหรือเปล่า?”

โมโม่ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะมองดูรอบๆ ซ้ำไปซ้ำมา หลังจากที่เธอถูกควักลูกตาไป เธอก็นึกว่าดวงตาของเธอครึ่งหนึ่งจะต้องตกอยู่ในความมืดไปตลอดเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่เธอได้มองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

“ทำยังไงดี ไทเลน…” เธอพูดงึมงำขึ้นมา

“ทำยังไงอะไร?”

“ก็ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราจะตอบแทนพวกนางยังไง…”

ไทเลนงุนงง จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าจากที่เวนดี้บอกมา ขอเพียงพวกเราตั้งใจทำงาน นั่นก็น่าจะเป็นการตอบแทนอย่างหนึ่งละมั้ง เออใช่ ตอนที่เจ้าหลับอยู่ เวนดี้ได้มอบหมายงานให้ข้าทำแล้ว เหมือนจะต้องไปช่วยงานเรื่องการแพทย์และการรักษาของเกรย์คาสเซิลกับนาน่า ไพน์ที่รักษาเจ้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ขยี้จมูกเล็กน้อยคล้ายว่าเขินนิดหน่อย “ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าตัวเองจะไปรักษาอะไรได้…”

“แต่ว่าความสามารถของข้า…” โมโม่กำหมัดแน่น

“พี่เวนดี้ก็มีพูดถึงเจ้านะ”

เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ “จริงเหรอ?”

“อื้อ!” ไทเลนพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังเป็นคนตรัสออกมาเองด้วย พระองค์อยากจะให้เจ้าเข้าไปทำงานในสำนักบริหาร เพื่อร่วมมือกับเลดี้บุ๊คในการทำงานเพื่ออาณาจักร”

“เอ๋!?” โมโม่แทบจะไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง “ข้าก็ได้ด้วยเหรอ?”

“คำถามนี้เจ้าต้องถามตัวเองแล้วล่ะ” ไทเลนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเอามาผลักเธอเบาๆ “แม้แต่เรื่องของตัวข้าเองข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเลย แต่ว่า….ขอเพียงค่อยๆ เรียนรู้ไป ยังไงซักวันก็ต้องเข้าใจแน่”

“ข้าไม่มั่นใจเหมือนอย่างเจ้าน่ะสิ…” โมโม่บ่นงึมงำพร้อมกับเอนตัวไปด้านหลัง “เจ้าว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ไหม? เหมือนกับบ้านอย่างนั้น…”

“ความจริงแล้วข้าเองก็ถามคำถามนี้กับเวนดี้เหมือนกัน”

“หืม?”

ครั้งนี้ด้านหลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะมีเสียงตอบของเพื่อนเธอดังขึ้นมา

“นางบอกว่าได้แน่นอน เพราะว่าตอนนี้ที่นี่มันคือบ้านของพวกเราแล้ว”

………………………………………………………