บทที่ 840 การผจญภัยชวนขนหัวลุก

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

แซมมี่เคลื่อนไหวราวกับชิ้นส่วนเครื่องจักรขึ้นสนิม แขนและขาของเขาดูงุ่มง่าม แต่กลับรวดเร็วมาก เขาเดินไปถึงประตูห้องพักและเปิดมันออก จากนั้นเขาก็เดินไปยังโถงทางเดินมืดทึบ ซึ่งมีโคมไฟสลัวรางติดอยู่เพียงส่วนหนึ่ง

“ไปกันเถอะ” คาร์ลเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวออกไปราวกับเสือดำ

ดอนนี่มีความคิดผุดขึ้นในใจมากมาย เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่เขาย่อมไม่ปล่อยให้สหายตนเดินออกไปเช่นนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามคาร์ลไป

แซมมี่ที่ยังหลับตาสนิท เดินไปถึงบันไดแล้วก็กระโดดลงไปทีละขั้น ทว่า การกระโดดของเขากลับไม่ส่งเสียงใดเลย ราวกับว่าแต่ละขั้นบันไดนั้นกลายเป็นกองนุ่น

ดอนนี่หวาดกลัวจนตัวแข็งเมื่อเห็นเช่นนั้น เขากล่าวกับคาร์ลเสียงแผ่ว “ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีสติอยู่นะ เขาคงทำตามสัญชาตญาณบางอย่าง ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงไปใช้ลิฟต์”

ห้องพักของพวกเขาตั้งอยู่บนชั้นสองของหอคอยแห่งชีวิต และที่แห่งนี้ก็มี ลิฟต์ติดตั้งไว้ทุกชั้น จึงแทบไม่มีใครใช้บันได ด้วยเหตุนี้ โคมไฟเวทมนต์หลายดวงจึงหยุดทำงานไป แต่ก็ไม่มีใครสนใจ

คาร์ลเฝ้ามองแซมมี่กระโดดลงบันไดไปจนหายลับก็ยังมุมหนึ่ง

“บางทีเขาอาจจะไม่อยากใช้ลิฟต์ก็ได้…”

คาร์ลไม่ได้พูดออกมา แต่ดอนนี่กลับได้ยินเสียงเขาในหัวตนเองโดยตรง

ดอนนี่สะดุ้งเล็กน้อย

“เราสื่อสารผ่านทางกระแสจิตได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกมา…” คาร์ลกล่าว

ดอนนี่คาดว่ามันคงเป็นเพราะอุปกรณ์เวทมนต์บางอย่างที่คาร์ลสวมอยู่ แต่ก็ไม่แปลกใจอะไร เมื่อนึกถึงปูมหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างมากของคาร์ล

“เดี๋ยวนะ” ดอนนี่เอ่ยตอบ เขามึนงงขณะถามกลับไป “เจ้าบอกว่าเขาไม่อยากทำ เช่นนั้น เจ้าหมายความว่าแซมมี่ถูกผู้อื่นควบคุมอยู่รึ”

“ข้าก็ไม่มั่นใจนัก บางทีอาจมีบางสิ่งกำลังเรียกเขาอยู่ หรืออาจจะเหมือนอย่างที่เจ้าพูดไว้ เขาอาจกำลังทำตามสัญชาตญาณของเขา” คาร์ลหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับเริ่มเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ตรงบันไดมีโคมไฟเวทมนต์อยู่สองดวง แต่หนึ่งดวงพังไปแล้ว ในขณะที่อีกดวงทำงานเพียงครึ่งเดียว ทั้งยังไม่เสถียรเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นไฟที่กระพริบติดๆ ดับๆ ดอนนี่จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “เราควรจะไปบอกผู้ดูแลนะ พวกเขาจะได้จัดการเรื่องนี้”

ดอนนี่กำลังพูดถึงนักเวทผู้พิทักษ์ประจำหอคอยแห่งนี้

ภายใต้แสงไฟที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ ใบหน้าที่แสนดูดีของคาร์ลบัดนี้จึงดูขมึงถึงเล็กน้อย “ไม่จำเป็นหรอก หากว่าแซมมี่แค่เดินละเมอเป็นพิเศษเพราะวิญญาณของเขา เราสองคนก็น่าจะรับมือไหว การเรียกผู้ดูแลมาจะทำให้เขาตกใจ แต่หากว่ามีใครสักคนควบคุมเขาอยู่จริงๆ ในวิทยาลัยเวทมนต์ไฮด์เลอร์ สถานที่อันมีเกราะป้องกันเมืองปกคลุมไว้โดยสมบูรณ์ เราย่อมไม่มีทางเป็นอะไร เพราะผู้ดูแลสามารถไปถึงจุดเกิดเหตุได้ทันที ตราบใดที่เกราะป้องกันเมืองถูกกระตุ้นใช้เพราะเวทมนต์ใดก็ตาม”

หลังผ่านการพัฒนามาหลายปี ระบบทางการแพทย์ในศาสตร์มืดก็ได้ระบุชื่อโรคจำเพาะหลายๆ โรคที่ในอดีตเคยถูกมองว่าร้ายแรงมาก

คาร์ลหันกลับมามองดอนนี่ ดวงตาสีม่วงเหลือบเงินของเขาดูทั้งประหม่าและตื่นเต้น “เจ้าไม่อยากจะผจญภัยงั้นหรือ ฉลเจ้าไม่อยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองรึ บางทีแซมมี่กำลังจะมุ่งหน้าไปหาขุมทรัพย์ล้ำค่าหรือที่ใดสักแห่งที่มีพลังอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่…”

เสียงทรงเสน่ห์ของเขาดังก้องในหัวของดอนนี่ แม้ว่าจะเป็นคำพูดยาวเหยียดเกินความจำเป็นเหมือนปกติ แต่สิ่งที่เขาพูดกับดอนนี่ดูจะมีพลังซึ่งยากเกินต้านทานที่สามารถกระตุ้นความปรารถนาในหัวใจดอนนี่ได้ เขาพยักหน้าโดยไม่รู้ตัวและเดินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับคาร์ล

มีใครสักคนกำลังร้องเรียกแซมมี่งั้นหรือ

เหมือนกับข้าน่ะรึ

ดอนนี่คิดกับตัวเองในใจ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด ทั้งสองเดินออกจากหอคอยแห่งชีวิตไปราวกับว่าเขาถูกคาร์ลควบคุมอยู่

แม้ว่าในโลกแห่งวิญญาณจะไม่มีความแตกต่างระหว่างกลางวันกับกลางคืน เพราะพื้นที่แห่งนี้มีเพียงสีดำ ขาว และเทา แต่ก็ยังมีบางพื้นที่ที่สว่างกว่าและมืดกว่าที่อื่น เพื่อให้เหล่าผู้ฝึกใช้มนตราหลับได้สนิทในยามค่ำคืน หลังเดินออกจากหอคอยแห่งชีวิต ดอนนี่ก็รู้สึกว่าบริเวณรอบๆ นั้นค่อนข้างมืดและเงียบสงัด และเขาก็มองเห็นเพียงชั้นล่างของหอคอยเวทมนต์ทั้งหลาย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสะพานเชื่อมบนท้องฟ้าที่ดูเหมือนใยแมงมุมที่ยึดโยงไปมา ท้องฟ้าดู ‘ไร้ชีวิต’ เพราะมันไม่มีทั้งดวงจันทร์สีเงินและดวงดาว

อากาศยามราตรีนั้นหนาวเหน็บ สายลมพัดพามาทำให้ดอนนี่หนาวเยือก เขามองไปรอบๆ แต่นอกจากพวกเขาแล้ว เขาก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดอีก

“ห้ามคลาดกับเขา” คาร์ลเอ่ยเตือน

ดอนนี่พยักหน้ารับด้วยความวิตกกังวล แต่เขาก็ยังรับรู้ถึงความตื่นเต้นในน้ำเสียงของคาร์ลได้

ท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิด คนทั้งสาม หนึ่งเดินนำ สองเดินตาม ต่างเดินผ่านหอคอยเวทมนต์ทั้งหลาย และในที่สุดก็มาถึงประตูหน้าวิทยาลัย

ทั้งวิทยาลัยเวทมนต์ไฮด์เลอร์เป็นเหมือนกับเมืองที่อัดแน่นด้วยหอคอยเวทมนต์สูงชัน และตัดขาดจากภายนอกด้วยกำแพงสูงใหญ่ ประตูหน้าที่ว่านี้ แท้จริงแล้ว เป็นเพียงจอแสงที่มีความสูงหลายเมตรและกว้างไม่เกินสิบเมตร ซึ่งบนนั้นมีลวดลายเวทมนต์จำนวนนับไม่ถ้วน ที่หลั่งไหลวนเวียนดุจสายน้ำ และแผ่กลิ่นอายแห่งความตายออกมาอย่างรุนแรง

“เขาจะออกไปงั้นหรือ” ดอนนี่ถามคาร์ลผ่านทางกระแสจิต ตอนนี้แซมมี่ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว

“อาจจะ บางที คงใช่…เราจะได้เห็นเรื่องน่าสนใจแน่นอน ตราบใดที่เราตามเขาไป ครั้งหนึ่ง ข้าเคยขอให้พี่ชายไปสำรวจหลุมศพโบราณกับข้าตอนเที่ยงคืน…” คาร์ลพูดด้วยความตื่นเต้น แต่เรื่องเล่าอันยาวเหยียดของเขากลับไม่ทำให้เขาเสียสมาธิจากการจ้องมองแซมมี่อย่างจดจ่อ

ด้วยรู้สึกแปลกๆ ดอนนี่จึงเอ่ยขึ้น “แต่แซมมี่ออกประตูไปไม่ได้ มันถูกปิดไปแล้ว เราควรจะลองปลุกเขาหรือไม่ก็รอจนกว่าเขาจะกลับไปที่หอพักด้วยตัวเอง…”

ก่อนที่ดอนนี่จะพูดจบประโยค เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าแซมมี่ยื่นมือขวาออกไปทาบกับจอประตู จากนั้นผิวจอบนประตูก็ส่งระลอกคลื่นออกจากรอบๆ มือแซมมี่ แล้ววินาทีต่อมา แซมมี่ก็ถูกแสงสว่างกลืนกิน

“เขา…เขาออกไปได้!” ดอนนี่ละล่ำละลักโพล่งออกมา

เกิดอะไรขึ้นกับเกราะป้องกันเมือง แล้วที่ปรึกษาระดับสูงที่จับตามองอยู่ ณ ศูนย์ควบคุมหายไปไหนกันหมด

“ไป! มิเช่นนั้นเราจะคลาดกับเขา!” คาร์ลกระโจนตัวออกไปพร้อมกับคว้าจับมือขวาของดอนนี่

คาร์ลพุ่งตัวเข้าใส่ประตูราวกับรถไฟหัวจักรเวทมนตร์ เกรียวพลังงานบนนั้นเริ่มหดตัวลงแล้ว!

ดอนนี่ถูกคาร์ลดึงตัวไป และก็แทบจะเรียกได้ว่าเขา ‘บิน’ เข้าใส่ประตู เขาพบว่าความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคยนัก มันเหมือนกับตอนที่เขาเคยถูกวัวชนจนตัวลอยครั้งยังเป็นเด็ก

คาร์ลเปี่ยมล้นด้วยพละกำลังมากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก!

ฉับพลันนั้น ดอนนี่ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบเปียกชื้น ราวกับว่าเขาเพิ่งจุ่มตัวลงไปในน้ำ แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที จากนั้น สีสันทั้งหลายที่เขามองเห็นก็พลันเหือดหายไป เหลือเพียงสีดำ ขาว และเทาเท่านั้น

ดอนนี่มองเห็นหลุมฝังศพมากมาย ป้ายหินสีดำทั้งหมดตั้งลาดเอียง

มาสิ!

มาสิ!

มาสิ!

หัวใจดอนนี่เต้นรัวแรงแทบทะลุออกจากอก มันเหมือนกับฝันร้ายของเขาเปี๊ยบ และเขาก็ถูกบางอย่างดึงดูดเข้าหาสุสานอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในขณะที่แซมมี่เองก็เดินตรงไปยังใจกลางสุสานแห่งการหลับใหลชั่วนิรันดร์

อันตราย!

ที่แห่งนั้นคือศูนย์กลางของพิธีกรรมย้อนรอยชีวิน ที่นั่นจะต้องอันตรายมากแน่!

พวกเขาออกจากประตูเข้ามายังโลกแห่งวิญญาณที่แท้จริงแล้ว ที่ปรึกษาของพวกเขาย่อมไม่อาจรู้ได้ทันกาลหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา!

พวกเขาไม่ควรจะตามแซมมี่ไปเช่นนี้

สัญชาตญาณของดอนนี่ทำให้เขาเปล่งเสียงร้องออกมา พยายามจะเรียกความสนใจจากทางวิทยาลัย

ทว่า เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขากลับกลายเป็นความเงียบงัน ที่แห่งนี้ กระทั่งอากาศอย่างไร้ชีวิต

ที่นี่คือโลกแห่งวิญญาณ ผู้ใดก็ตามที่มีพลังต่ำกว่าระดับชั้นตำนาน จะไม่สามารถเปล่งเสียงได้เลย

เขาพยายามจะไร่ายคาถาเพื่อส่งเสียงดัง แต่ยามเผชิญหน้ากับพลังอันเชิญ ดอนนี่ก็ไม่อาจเพ่งจิตตั้งสมาธิได้เลย เขาเฝ้าฟังเสียงหัวใจตนเองเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่ความปรารถนาในใจยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“คาร์ล ข้างหน้านั้นอันตรายมาก เราต้องเรียกที่ปรึกษามา” เขาเตือนคาร์ลผ่านทางกระแสจิต

คาร์ลไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาจ้องมองแซมมี่ที่เดินอยู่เบื้องหน้าอย่างจดจ่อ

“เจ้ากลัวอะไรกัน สุสานแห่งนี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งของเกราะป้องกันเมือง…” คาร์ลบอก

ดอนนี่เล่าถึงฝันร้ายให้คาร์ลฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่คาร์ลกลับไม่ยอมรับฟัง

ดอนนี่พยายามต่อไป จนกระทั่งเขามองเห็นหลุมศพขนาดใหญ่แสนคุ้นตาในท้ายที่สุด เขาจึงทิ้งความปรารถนาในใจและตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อ

แซมมี่ไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เขาเดินผ่านประตูหลุมศพที่เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่งเข้าไปแล้ว คาร์ลชะงักไปนิด แต่เขาก็ยังตามเข้าไป

ทั้งประตู โถงทางเดิน และก้อนอิฐทั้งหลาย…พวกมันเหมือนกับภาพที่ดอนนี่เห็นในความฝัน แต่ทันทีที่พวกเขาเดินเลี้ยวตรงมุมหนึ่ง พวกเขาก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อเห็นกลุ่มมัมมี่กำลังเดินมา!

ในฝันร้าย เขาไม่เคยเห็นผู้อารักขาเลยสักตนเดียว!

ดอนนี่ใจเต้นแรงเสียจนมันแทบจะกระเด้งกระดอนออกมาจากอกได้ทุกเมื่อ เขารู้สึกสิ้นหวังทดท้ออย่างมาก พวกมัมมี่แข็งแกร่งทรงพลัง และกลุ่มที่กำลังเดินมานั้นก็มิใช่มัมมี่ธรรมดาทั่วไปเสียด้วย ดอนนี่พอจะบอกได้จากผ้าพันแผลชุ่มเมือกบนตัวพวกมัน

เขาก้าวถอยหลังจนชนเข้ากับคาร์ล ผู้ที่บัดนี้ ดวงตาสีเงินเหลือบม่วงดูค่อนข้างดุดันและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

ดอนนี่หวังเหลือเกินว่าในบรรดาอุปกรณ์เวทมนต์อันทรงพลังที่คาร์ลสวมอยู่จะปกป้องพวกเขาได้ เช่นเดียวกับพละกำลังอันเหลือเชื่อของคาร์ล

ทว่า เขากลับต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อกลุ่มมัมมี่เมินพวกเขาแล้วเดินผ่านไป

“เหตุใดกัน” ดอนนี่พึมพำด้วยความงุนงง เมื่อครู่นี้ เขาถึงกับเกร็งเส้นประสาททุกส่วนเพื่อเตรียมพร้อมร่ายเวทที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขารู้จัก แต่พวกมัมมี่กลับเดินผ่านไปราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน!

“แปลก” คาร์ลเอ่ยสั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมาก

“ใช่…แปลก ปกติแล้ว เจ้าสองคนดึงดูดความสนใจอย่างมาก” เสียงแหบแห้งคล้ายกับเป็ดดังขึ้น

“ใครน่ะ!”

เสียงนั้นเกือบจะทำให้ดอนนี่ตกใจแทบสิ้นสติ เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครตามเขามาด้วย!

เจ้าอ้วนกล่าว “ข้าอยู่กับพวกเจ้าสองคนตลอดเวลา…”

ดอนนี่หยิบสมุดเล่มเล็กที่เขาพกติดตัวตลอดออกมา และก็ได้เห็นสิ่งที่เขาเขียนเตือนตัวเองไว้

[หากเห็นจะอ้วน ให้ทำทีเป็นว่าเจ้าสองคนรู้จักกันดี เจ้าอ้วนผู้นี้คือเพื่อนร่วมห้องพักที่ชื่อโจนส์]

ดอนนี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนขณะตอบ “อย่าตามเรามาเงียบๆ แบบนี้อีกนะ…”

เจ้าอ้วนรู้สึกเสียใจหนักเค้าต่างหากที่เป็นคนโดนมองข้ามอยู่เสมอ

“ไปกันเถอะ” คาร์ลเตือนพวกเขา น้ำเสียงของเขาฟังดูวิตกกังวล แต่แท้จริงแล้ว เขาดูจะตื่นเต้นเสียยิ่งกว่า

พวกเขาเดินไปตามตามโถงทางเดิน ระหว่างนั้นพวกเขาก็บังเอิญเจอกับปีศาจที่ล่องลอยไปมา เทพอสูรมังกร-ลิช และผีดิบหน้าตาประหลาดที่สร้างจากเศษชิ้นเนื้อ แต่ไม่มีปีศาจตนใดเลยทำอะไรกับพวกเขาเลย ราวกับว่าพวกเขาอยู่กันคนละมิติ!

ที่ด้านหน้าคือห้องโถงหลัก ดอนนี่รู้จักดี เขานึกสงสัยว่าผีดิบที่น่าหวั่นเกรงที่เคยเห็นในฝันร้าย จะอยู่เบื้องหลังประตูนั้นหรือไม่ แล้วมันจะมองเห็นพวกเขาหรือเปล่า

ถึงเวลานี้ เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปเพราะพลังอัญเชิญ ส่วนคาร์ลกับโจนส์ก็ยิ่งถูกความสงสัยใคร่รู้กระตุ้น

เมื่อผลักประตูห้องโถงเข้าไป ดวงตาของดอนนี่ก็พลันเบิกโพลง!

แซมมี่ยืนอยู่หน้าโลงศพสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ และหันหน้ามาทางพวกเขา ดวงตาของเขายังคงหลับสนิท แต่รอยยิ้มบนใบหน้าเขาช่างชวนให้เลือดในกายเย็นเฉียบ

“แซมมี่!” ดอนนี่เพิ่งออกไป แต่เขาก็ไม่อาจเปล่งเสียงอะไรได้

ในตอนนั้นเอง ฝาโลงศพสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ก็ถูกผลักเปิด ควันสีดำพวยพุ่งออกมา ก่อนที่ผีดิบที่แสนน่ากลัวแต่คุ้นตาดีจะคลานออกมาจากโลงศพ!

มันสูงยิ่งกว่ายักษ์ น่าขนลุกยิ่งกว่าร่างศพ ไร้ชีวิตชีวาเสียยิ่งกว่าโลกแห่งวิญญาณ…ดวงตาของมันลืมขึ้นอย่างฉับพลัน และบัดนี้ก็มีลูกไฟสีแดงเข้มลุกโหมอยู่ กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ออกมาเต็มพื้นที่

ดอนนี่รู้สึกหนาวจนตัวชาและเขาก็รู้ว่าคาร์ลกับโจนส์เองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่แซมมี่กลับไม่ได้รับอิทธิพลแต่อย่างใด ทั้งยังกระโจนลงไปในโลงศพ

ห้องโถงเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่จะปรากฏหลุมดำมองไม่เห็นก้นบึ้ง มีบางสิ่งที่ไม่อาจแตะต้องหรือหาคำอธิบายได้ซุกซ่อนตัวอยู่ในนั้น

กลุ่มควันดำรวมตัวหนาแน่น แต่โลงศพกับผีดิบตนนั้นคอยขัดขวางไม่ให้มันออกมา

มีอะไรอยู่ในนั้นกัน

สติสัมปชัญญะของดอนนี่ค่อยๆ เลือนหายไป

“อ๊ากกกกกกกก!!!”

ดอนนี่ทะลึ่งตัวขึ้นนั่งบนเตียง เขาหอบหายใจด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี ทั้งร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรงขณะกวาดตามองไปรอบๆ และรู้สึกยินดียิ่งที่เห็นว่าเขายังอยู่ในห้องพักของตนเอง โชคดีที่มันเป็นแค่ความฝัน!

แต่ทันใดนั้น เขาก็ต้องอ้าปากสูดหายใจด้วยความหวาดผวา เมื่อพบว่าแซมมี่ คาร์ล และโจนส์ ต่างก็นั่งหอบหายใจและมีหยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก!

…………………………….