ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 71 แบบนี้ไม่ดี

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลังจากพ่ายแพ้ให้โจวตู๋ฟู ราชามารก็บาดเจ็บสาหัสและรักษาตัวอยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่าเป็นเวลาพันปี เขาต้องการอะไรถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่หานซาน ภารกิจใดที่สำคัญจนคนสำคัญอย่างราชามารต้องเสี่ยงมาด้วยตัวเอง เฉินฉางเซิงมีอะไรติดตัวอยู่ หรือว่าการมีอยู่ของเขามีความหมายใด

นี่เป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์พยายามอย่างไรก็ไม่อาจคาดคำนวณได้ ถาดดาวโชคชะตาของสวีโหย่วหรงก็ไม่อาจคำนวณได้แต่นางสามารถถามได้

นางกล้าถาม เฉินฉางเซิงก็กล้าตอบ แม้ว่านี่จะเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดก็ตาม กับนางเขาไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น อย่าว่าแต่เรื่องที่เขาได้บอกต่อนางไปแล้วตอนอยู่ในสุสานโจว หากพูดตามตรงแล้วส่วนหนึ่งของความลับเขาก็อยู่ในร่างนางเรียบร้อยแล้ว

เฉินฉางเซิงชี้ไปที่ร่างของตน  เขาไม่ได้พูดแต่ทำปากเป็นคำหนึ่งออกมา “เลือด”

สวีโหย่วหรงเข้าใจ เมื่อรวมกับบันทึกของสถานศึกษาหนานซีเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของราชามารในตอนนั้น นางก็เข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้อย่างสมบูรณ์

“หนานเค่อ?” นางก็ทำปากเช่นเดียวกัน

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

สวีโหย่วหรงมองดูเขาด้วยสายตาอันเปี่ยมด้วยความห่วงใย

ราชามารรู้ความลับของเฉินฉางเซิงซึ่งหมายความว่าเขาอาจโจมตีเฉินฉางเซิงเมื่อไรก็ได้ เขาเป็นยอดฝีมือที่ต้าลู่เกรงกลัวที่สุด และการที่ถูกยอดฝีมือเช่นนี้จับตามองอยู่ตลอดนั้นเป็นเงาที่มืดมิดถึงเพียงไหน การใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาเช่นนี้ แรงกดดันเช่นนี้จะให้ทนรับได้อย่างไร

สวีโหย่วหรงถามตัวนางเอง แต่แม้ว่าเส้นทางแห่งจิตของนางจะสว่างเจิดจ้า นางก็ยังพบว่าไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะรับมือปัญหาเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นห่วงเฉินฉางเซิงอย่างมาก ต่อให้เขาไม่ออกจากจิงตูอีกเลยและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของนิกายหลวง เขาก็ยังได้รับผลกระทบจากจิตใจที่ถูกกักขังจนส่งผลต่อการบำเพ็ญอยู่ดี

กลับกัน เฉินฉางเซิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย เขาได้ใช้ชีวิตใต้เงาเช่นนี้มาหลายปีแล้ว สิ่งที่เขาเป็นกังวลก็คือความลับเกี่ยวกับร่างกายของเขาจะมีคนรู้มากขึ้น คำพูดของศิษย์พี่อวี๋เหรินในคืนนั้นยังย้ำเตือนเขาอยู่เสมอ ไม่มีใครสามารถต้านทานการยั่วยวนนี้ได้

สวีโหย่วหรงยืนยันกับเขา “มันจะไม่เกิดขึ้น”

เฉินฉางเซิงคิดดูแล้วและเห็นด้วยกับนาง ราชามารย่อมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไป

มันก็เหมือนกับสมบัติที่จมอยู่ใต้ก้นทะเลสาบ คนที่รู้เรื่องนี้ย่อมไม่พูดออกไปแต่จะไปงมมันขึ้นมาด้วยตัวเองเงียบๆ

“เจ้าคิดว่าการที่ราชามารถปรากฏกายขึ้นบนหานซานเป็นแผนที่วางเอาไว้หรือไม่”

สวีโหย่วหรงดูเหมือนจะคิดบางอย่างยามที่นางมองไปที่ดวงตาของเขาและถามอย่างเป็นกังวล

เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วก็คิดแบบนี้เช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจหาเหตุผลได้ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้า

สวีโหย่วหรงสบตาเขาและถาม “เจ้าสำนักซางอยู่ที่ใด เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ ใต้เท้าสังฆราชต้องการจะทำอะไรกันแน่”

เฉินฉางเซิงไม่ต้องการจะตอบคำถามพวกนี้จึงเงียบงันไป

สวีโหย่วหรงก็เงียบงันไปเช่นกัน

หลังจากผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ นางก็พลันกล่าวขึ้น “บอกเรื่องนี้กับจักรพรรดินีเถอะ”

เฉินฉางเซิงมองตานางอย่างเงียบงัน

สวีโหย่วหรงจ้องตากลับโดยไม่คิดจะยอมแพ้ “หากนี่เป็นแผนของใต้เท้าสังฆราชกับเจ้าสำนักซาง ก็มีเพียงจักรพรรดินีเท่านั้นที่สามารถรับมือได้”

เฉินฉางเซิงตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าเชื่อในตัวใต้เท้าสังฆราช”

สวีโหย่วหรงตอบกลับ “แล้วเจ้าสำนักซางเล่า”

เฉินฉางเซิงไม่ตอบ เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ รินน้ำชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง

สวีโหย่วหรงมองหลังของเขา ความสงสารฉายขึ้นในดวงตานาง “ทุกคนเชื่อว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวง เป็นธรรมดาที่จะอยู่ตรงข้ามกับจักรพรรดินี แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากเจ้าเปลี่ยนมุมมอง ภาพที่เห็นก็จะเปลี่ยนไป”

เฉินฉางเซิงรู้ว่านางไม่ได้พยายามชักชวนให้เขาเชื่อในนามของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นางแค่เป็นห่วงเขาแต่เขาไม่อาจพูดอะไรได้

ก็เฉกเช่นบทสนทนาระหว่างเขากับถังซานสือลิ่วในสำนักฝึกหลวง ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง

เขาเป็นทารกที่ลอยอยู่ในแม่น้ำตอนที่อาจารย์เก็บเขามาและเลี้ยงจนโต สั่งสอนจนกลายเป็นคนที่น่านับถือ  หลังจากมาถึงจิงตูเขาก็ได้รับการดูแลจากมุขนายกเหมยลี่ซาและได้รับการให้เกียรติอย่างสูงจากใต้เท้าสังฆราช เขาได้รับสิ่งต่างๆ มากมายจากนิกายหลวง ดังนั้นเขาก็ต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ตามมา ยิ่งไปกว่านั้น…

“ข้าไม่ไว้ใจจักรพรรดินี” เขากล่าวอย่างสุขุมโดยหันหลังให้สวีโหย่วหรง พลางถือถ้วยชาไว้ในมือ

“ทำไม” สวีโหย่วหรงยืนขึ้นและถามต่อ “เพราะจักรพรรดินีเป็นหญิง มิใช่ชายเช่นนั้นหรือ”

เฉินฉางเซิงมองดูถ้วยในมือและตอบ “ไม่ แต่เป็นเพราะนางไม่ใช่คนดี”

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบัลลังก์ของต้าโจวและมรกดของนิกายหลวง พวกเขาถกเถียงกันเรื่องผู้ทรงอำนาจที่ดำรงอยู่ในโลกนี้มานานหลายปี กระนั้นพวกเขากลับพูดเรื่อง ‘ชาย’ กับ ‘หญิง’ ‘ดี’ กับ ‘เลว’ หากมีใครมาได้ยินการสนทนานี้ ย่อมคิดว่าหนุ่มสาวที่สนทนากันอยู่นี้ช่างเด็ก อ่อนต่อโลกและน่าขัน

ทว่าพวกเขากลับพูดอย่างเคร่งเครียดยิ่งนัก

สวีโหย่วหรงรู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนเช่นนี้

นางเองก็เป็นคนเช่นนี้

ในห้องเปลี่ยนเป็นเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน

นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง พวกเขาไม่เคยพูดถึงมันมาก่อนเพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ฝักฝ่าย’

“สำหรับข้า จักรพรรดินี…เป็นเหมือนกับมารดา”

เสียงของสวีโหย่วหรงดังขึ้นอีกครั้ง ค่อนข้างอ่อนจางแต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์

ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับสวีโหย่วหรง คนจำนวนมากรวมถึงเฉินฉางเซิงไม่อาจเข้าใจว่าความรักความเชื่อใจนี้เกิดขึ้นจากไหน กระทั่งตอนที่กระบี่เผานภาที่ซ่อนอยู่ในจดหมายของซูหลีทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและปะทะเข้ากับปิ่นไม้หงส์น้อยเหนือจิงตูในคืนนั้นเอง ทุกคนถึงได้เข้าใจสาเหตุที่แท้จริง กลายเป็นว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็มีสายเลือดหงส์สวรรค์เช่นกัน จากแง่มุมนี้สวีโหย่วหรงก็เป็นผู้สืบทอดของนางอย่างแท้จริง เป็นคนที่สำคัญยิ่งกว่าบุตรชายของนางเสียอีก

“แต่นางไม่ใช่คนดี” เฉินฉางเซิงจ้องเข้าไปในดวงตาสวีโหย่วหรง ก่อนกล่าวอย่างสุขุมและหนักแน่น “ข้าจึงไม่เชื่อใจนาง”

สวีโหย่วหรงถามเขาด้วยเสียงแผ่วเบา “อะไรตัดสินว่าดีหรือเลว”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า และข้าเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องการถกเถียงระหว่างดีกับเลวอย่างถ่องแท้นัก ข้ารู้เพียงแค่ว่านางสังหารผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย”

นับตั้งแต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ขึ้นสู่อำนาจเมื่อหลายศตวรรษก่อน จำนวนคนที่ตายในเงื้อมมือนางก็มากมายเกินกว่าจะนับไหว มีทั้งสมาชิกราชวงศ์ คนจากนิกายหลวง ขุนนางโลภมาก ไปจนถึงอาชญากรที่ทำผิดกฎหมาย แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าจากเหตุการณ์เหล่านี้นี้นางได้สังหารคนที่ไม่สมควรตายไปจำนวนมาก

“อาจารย์อาซูก็สังหารคนไปมาก แม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุแต่ก็มีคนบริสุทธิ์จำนวนไม่น้อยที่ตายใต้กระบี่ของเขา”

“เจตนาหรือไม่เจตนา นี่ดูเหมือนจะมีความแตกต่างกันอยู่มากทีเดียว”

“แล้วเจ้ามีหลักฐานใดถึงมั่นใจว่าจักรพรรดินีมีเจตนาสังหารคนบริสุทธิ์เหล่านั้น”

“เพราะโจวทง” เฉินฉางเซิงมองดวงตานางและกล่าว “โจวทงเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุด เขามีความสุขจากการทำเรื่องโหดเหี้ยม สนใจแต่การทรมานสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นับตั้งแต่วันที่จักรพรรดินีเริ่มใช้คนผู้นี้ ก็ไม่อาจพูดได้ว่านางไม่มีเจตนาที่จะทำเรื่องชั่วช้า”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สวีโหย่วหรงก็ตอบ “เจ้าจะเอาความผิดทั้งหมดของโจวทงไปยกให้จักรพรรดินีเช่นนั้นหรือ นี่ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง”

เฉินฉางเซิงตอบ “หากเจ้าของสุนัขไม่มัดสุนัขเอาไว้แล้วสุนัขนั้นไปกัดคนเข้า ความผิดนี้ย่อมเป็นของเจ้าของสุนัข เมื่อใช้ดาบฆ่าคนก็เป็นธรรมดาที่คนถือดาบจะเป็นคนผิด”

ทั่วทั้งโลกรู้ดีว่าโจวทงเป็นสุนัขร้ายที่จักรพรรดิเลี้ยงไว้เป็นดาบของนาง

สวีโหย่วหรงมองตาเขาและกล่าว “เจ้ายินดีปกป้องอาจารย์อาซู แต่เจ้าไม่คิดจะทำความเข้าใจจักรพรรดินี สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นแค่อคติ”

เฉินฉางเซิงตอบ “ผู้อาวุโสซูหลีสังหารคนในพรรคฉางเซิงและเมืองสวินหยางไปมากแค่ไหน ข้าไม่ได้เห็น แต่…การสังหารที่จักรพรรดินีกับโจวทงทำในจิงตูนั้นถูกบันทึกไว้ในตำราและข้าก็ได้อ่านตำราเหล่านั้น ข้ารู้ว่าตัวอักษรเหล่านั้นเขียนด้วยเลือดและน่าตกตะลึงอย่างมาก”

ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง ทั้งสองไม่พูดอะไรอยู่นาน