ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 72 คำคืนหวานฉ่ำ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ในอนาคต หากมีเรื่องเกิดขึ้นในจิงตู เจ้าจะทำอย่างไร”

สวีโหย่วหรงเดินไปที่หน้าต่าง แขนทั้งสองกอดอกเอาไว้ ดวงเนตรมองไปยังดวงดาวที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเลสาบด้านนอก น้ำเสียงแผ่วเบากว่าก่อนมาก

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าฝึกบำเพ็ญตามใจตน หากมีเรื่องเกิดขึ้น ข้าย่อมทำตามใจตัวเอง”

สวีโหย่วหรงไม่ได้หันกลับมา หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็ถามขึ้น “หากเรื่องที่เกิดขึ้นคือข้าเล่า”

เฉินฉางเซิงขบคิดคำถามนี้อย่างจริงจัง แต่ก็พบว่าไม่อาจจินตนาการภาพเช่นนั้นและไม่อาจหาคำตอบล่วงหน้าได้ “ข้าไม่รู้”

หอความลับสวรรค์ได้สร้างบ้านไว้สิบกว่าหลังด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังที่เฉินฉางเซิงอาศัยอยู่ เมื่อเปิดหน้าต่างก็จะเห็นทะเลสาบ นอกจากนี้ ภายนอกหน้าต่างก็เป็นทางเดินไม้ หากเดินไปตามทางก็จะไปถึงส่วนตื้นของทะเลสาบ ในน้ำตื้นใต้ดวงดาว มีปลาสีดำหลายตัวแหวกว่ายอยู่

สวีโหย่วหรงเดินไปตามทางเดินไม้ ถึงท่าน้ำที่ปลายทางนางก็ถอดรองเท้าและถุงเท้า เดินลงไปในน้ำตื้นอันใสกระจ่าง

ปลาสีดำเหล่านั้นไม่หวาดกลัวมนุษย์ ไม่เพียงแต่ไม่หนีไปด้วยความกลัว แต่ยังกลับเข้าล้อมนาง ว่ายอยู่รอบเท้าขาวดุจหิมะของนางช้าๆ เป็นภาพที่งดงามจับตายิ่งนัก

เฉินฉางเซิงมองดูนางในน้ำ รู้สึกดั่งว่าหลังของนางดูเดียวดายอยู่บ้าง จากนั้นก็รู้สึกสับสนขึ้นมา ตามเหตุผลแล้วนางเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์หรือเหมาชิวอวี่ย่อมไม่ปกปิดเรื่องราวกับนาง ทว่าจนกระทั่งคืนนี้ นางก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนเป็นราชามารอย่างนั้นหรือ

บทสนทนาของพวกเขาเมื่อครู่ได้สร้างอารมณ์มากมาย และเขาไม่อยากให้เรื่องเป็นไปเช่นนี้ จึงกล่าวสิ่งที่สงสัยออกมา

“เมื่อราชามารถทะลวงผ่านค่ายกลหินสวรรค์ของหานซาน ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขายังไม่หายดีดังนั้นข้าจึงไม่ได้พบกับเขา”

“เจ้าสำนักเหมาล่ะ”

“เขาเป็นแขนของสังฆราช ย่อมไม่สร้างความสะดวกสบายให้กับข้า”

สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นปัญหาเรื่องฝักฝ่าย เฉินฉางเซิงคิดว่าในเมื่อราชันย์แห่งหลิงไห่ที่เป็นตัวแทนของฝ่ายใหม่ในนิกายหลวงที่แปรพักตร์ไปอยู่กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แล้วไฉนเขาถึงไม่บอกนาง

เฉินฉางเซิงไม่ได้ถามคำถามนี้ออกไป แต่สวีโหย่วหรงก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

นางยื่นมือลงไปในน้ำ เล่นกับพวกปลาน้อยเหล่านั้น ดูผ่อนคลายในยามที่กล่าว “เขากับเทียนไห่เฉิงอู่ขอให้เสี่ยวเต๋อมาเล่นงานเจ้า ทำให้ข้าไม่พอใจข้าก็เลยไม่สนใจเขา”

เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้ทำให้นางไม่พอใจ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกยินดีมาก เขาเองก็เดินไปตามทางลงสู่ทะเลสาบตื้น

น้ำเย็นกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ ทรายสีเงินอ่อนนุ่มใต้เท้าให้ความรู้สึกสบาย

“คัมภีร์เต๋ากล่าวว่าทะเลสาบสวรรค์ก่อเกิดจากน้ำพุร้อน ทำไมน้ำนี้ถึงได้เย็นอยู่บ้าง”

“น้ำที่ใจกลางทะเลสาบจะร้อนกว่ามาก ข้าได้ยินว่าน้ำจากน้ำพุร้อนที่ร้อนที่สุดสองแห่งนั้นร้อนจนต้มไข่ได้”

“น่าสนใจมาก เจ้าอยากจะลองดูสักครั้งหรือไม่”

“เพราะว่ามันต้มไข่ได้เท่านี้น่ะหรือ”

“ใช่แล้ว ดูเหมือนจะสะดวกมาก”

“เจ้ารู้วิธีหุงข้าวทำกับข้าวหรือไม่”

“ข้ารู้…เจ้าก็ได้กินตอนอยู่ในสวนโจวไม่ใช่หรือ”

“ก็ใช่…เช่นนั้นข้าก็ควรเรียนทำกับข้าวบ้าง”

“โรงครัวที่สำนักฝึกหลวงไม่เลวเลย”

“ฝีมือของพ่อครัวจากหอเฉิงหูย่อมโดดเด่นอยู่แล้ว แต่ข้าไม่อาจจากสถานศึกษาหนานซีไปจิงตูทุกวันเพื่อกินข้าวได้”

“ครั้งนี้กระเรียนขาวมากับเจ้าด้วยหรือไม่ เจ้าอยากลองถามมันหรือไม่ว่าคิดอย่างไร”

“กระเรียนขาวชอบเจ้าเสมอมา หากมันรู้ว่าเจ้ามีความคิดเช่นนี้ มันย่อมเปลี่ยนใจเป็นแน่”

“ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย”

“อ้อ แค่พูดไปเรื่อยสินะ”

“เอ่อ ข้าจริงจังนะ”

เขากับนางยืนเคียงคู่กันในทะเลสาบด้านล่างบ้าน มองไปยังดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าราตรี พูดคุยกันจนเสียงค่อยๆ หยุดลง

พวกเขายื่นเงียบๆ เป็นเวลานานโดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว

เป็นความเงียบที่ต่างจากความเงียบในห้องก่อนหน้านี้ เป็นความเงียบที่งดงาม

เพราะไหล่ของเขากระทบกับไหล่ของนาง บางครั้งก็ห่างกันแล้วก็กลับมาชิดกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าใครขยับเข้าหาใครกันแน่

หลังจากผ่านไปนาน อาจเป็นเพราะพวกเขาเบื่อที่จะยืน ทั้งสองจึงนั่งลงบนแท่นไม้

สวีโหย่วหรงนำเอาถุงผ้าเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อและนำบางอย่างออกมาจากถุง

เฉินฉางเซิงไม่ได้สังเกต ชี้ไปที่หินดำสนิทในทะเลสาบแล้วถาม “นั่นคือหินสวรรค์อย่างนั้นหรือ”

สุ้มเสียงสวีโหย่วหรงไม่ชัดเจนอยู่บ้าง “ใช่”

เฉินฉางเซิงหันมามองนางแล้วถาม “เจ้าทำความเข้าใจหินพวกนั้นได้อย่างไรบ้าง”

เขาเองก็มีหิน หินที่สำคัญยิ่งกว่าหินสวรรค์ของหานซาน เพราะหินพวกนั้นคือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์

เป้าหมายที่เขามาร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือนั้นมิใช่เพื่อทำความเข้าใจหินสวรรค์และหาความก้าวหน้าในการบำเพ็ญตน แต่มาเพื่อพบนาง

คาดไม่ถึงว่าเขาดินทางหมื่นลี้มาได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล ทว่าพอเข้าสู่หานซานเขาก็พบกับเรื่องใหญ่ในทันที

“ยังไม่ก้าวหน้าอะไร ข้าศึกษามันไปช้าๆ”

สวีโหย่วหรงเอนร่างไปด้านหลังเล็กน้อย ใช้มือยันกายไว้กับแท่นไม้ขณะเอาเท้าเปล่าเตะน้ำ นางดูน่ารักอย่างมาก

“ข้าค่อนข้างรีบ…หลังจากได้พบกับราชามาร”

เมื่อเขาคิดถึงภาพที่เกิดขึ้นบนทางเดินภูเขา หัวใจเฉินฉางเซิงก็เต้นด้วยความกลัว

สวีโหย่วหรงเข้าใจความรู้สึกของเขา “การได้พบกับยอดฝีมือเหนือโลกแล้วรอดชีวิตมาได้ ย่อมต้องได้รับประโยชน์มาบ้าง”

เฉินฉางเซิงส่งเสียงแผ่วเบาแสดงความเห็นด้วย จากนั้นก็กล่าว “ข้าไม่คิดว่าราชามารจะน่ากลัวเพียงนี้ ไม่คิดว่าระยะห่างจะมากมายเพียงนี้”

ตอนอยู่ในเมืองสวินหยาง การโจมตีของจูลั่วนั้นถูกหวังผ้อต้านรับเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ในการเผชิญหน้ากับราชามารครั้งนี้ หลิวชิงกับเสี่ยวเต๋อนั้นดูแล้วไม่อาจต้านทานได้เลย

สวีโหย่วหรงตอบ “เป็นธรรมดาที่ราชามารจะแข็งแกร่งกว่าจูลั่วมาก ยังมีจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง หวังผ้อก็แข็งแกร่งกว่าหลิวชิงกับเสี่ยวเต๋อมาก”

เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสน คิดในใจว่าหลิวชิงเป็นมือสังหารที่อยู่ระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงสุด เสี่ยวเต๋อก็เป็นยอดฝีมืออันดับห้าบนประกาศเซียวเหยา แม้ว่าหวังผ้อจะเป็นอันดับหนึ่งบนประกาศเซียวเหยา แต่จะบอกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นมากได้อย่างไร

“หวังผ้อนั้นเป็นคนที่โดดเด่นอย่างมาก เจ้าไม่อาจใช้สามัญสำนึกทำความเข้าใจเขาได้” สวีโหย่วหรงอธิบายอย่างจริงจัง

หากคิดตามเหตุผลแล้ว เฉินฉางเซิงไม่อาจยอมรับได้ว่าหวังผ้อแข็งแกร่งกว่าหลิวชิงกับเสี่ยวเต๋อรวมกัน แต่เขาก็อยากจะยอมรับมันในแง่ของความรู้สึก

“นอกเหนือจากราชามาร เผ่ามารยังมียอดฝีมือคนอื่นอีกหรือไม่”

“ข้าได้ยินมาว่าผู้บัญชาการทหารเผ่ามารนั้นแข็งแกร่งมาก แล้วยังมีขุนพลมารเหล่านั้น เจ้าคงได้เห็นมาบ้างแล้วในทุ่งหิมะ”

เมื่อเฉินฉางเซิงคิดถึงร่างใหญ่โตราวภูเขาที่อยู่ไกลออกไปบนทุ่งหิมะ ก็ส่ายหน้าอย่างไม่ตั้งใจ

แม้แต่ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ เขาก็ยังห่างไกลจากการต่อสู้กับยอดฝีมือเช่นนั้น

“หากไม่ออกจากจิงตู ก็ยากที่จะเข้าใจได้ว่าโลกนี้มียอดฝีมือที่น่าเกรงขามมากมาย”

“เจ้าเองก็น่าเกรงขามมากแล้ว อย่างน้อยตอนที่ราชามารถอายุเท่ากับเจ้า เขาไม่มีทางเอาชนะเจ้าได้อย่างแน่นอน”

“ข้ารู้สึกว่า…คำพูดนี้ก็ใช้กับเจ้าได้เช่นกัน”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าหมายถึงตลอดมา”

“…”

“เป็นอะไรไป”

“ไม่มีอะไร”

เฉินฉางเซิงอยากจะบอกว่า น้ำเสียงของเจ้านั้นฟังรื่นหู หวานฉ่ำราวกับเจ้ากำลังกินพุทราเชื่อม

สวีโหย่วหรงพ่นบางอย่างลงไปในทะเลสาบเสียงดังจ๋อม สิ่งนั้นจมลงไปในทะเลสาบช้าๆ กระตุ้นให้พวกปลาดำว่ายไปตอดเล็มมัน

น้ำในทะเลสาบใสมาก เฉินฉางเซิงพิศดูอย่างละเอียด ก็ตระหนักว่าที่นางพ่นลงไปนั้นคือเม็ดพุทรา

ครั้นปลาดำรู้ว่ามันไม่ใช่อาหาร ก็หมดความสนใจในที่สุดและว่ายจากไป สวีโหย่วหรงรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก เตะเท้าหัวเราะอย่างร่าเริง

“เอ๋…” เห็นภาพนั้นแล้วเฉินฉางเซิงก็อดที่จะเกาหัวไม่ได้

สวีโหย่วหรงได้สติกลับมา ที่แห่งนี้ไม่ใช่ยอดเขาที่เปลี่ยวร้างสงบสุข ไม่ใช่โต๊ะไพ่นกกระจอกในหมู่บ้านเล็กๆ

ข้างกายนางมีชายหนุ่มนั่งอยู่

นางรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าว ดึงเอาถุงผ้าไหมที่นางใช้เก็บของหวานออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้เขาพร้อมกับเสียงกระซิบ “เจ้าอยากกินไหม”

ในตอนนี้ ในปากนางไม่มีเม็ดพุทราแต่น้ำเสียงของนางก็ยังคงอู้อี้ เพราะนางรู้สึกเขินอาย

นางก้มหน้าไม่มองเฉินฉางเซิงด้วยซ้ำ

เฉินฉางเซิงมองดูขนตา ผิวละเอียดอ่อน ริมฝีปากแดงเรื่อของนาง ตะลึงตะลานไปชั่วขณะหนึ่ง

เขาคิดในใจ ทำไมข้าถึงคิดออกแต่คำบรรยายธรรมดานักนะ

เขารับถุงผ้าไหมมา นำของหวานที่คล้ายกันออกมาและโยนเข้าปากไปโดยไม่มองดู

“มีอะไรหรือ” สวีโหย่วหรงเงยหน้าขึ้นมองดูเขา

เฉินฉางเซิงเป็นคนที่ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง เขากล่าวกับนางอย่างจริงจัง “เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก”

สวีโหย่วหรงรู้สึกเอียงอายจึงก้มหน้าลง ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและถามเขา “ข้าในตอนนี้กับข้าที่อยู่ในสวนโจวตอนไหนงดงามกว่ากัน”

แม้ว่านางจะเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาเช่นนี้ ก็ยังคงถามคำถามโง่เง่าออกมาเช่นเดียวกับเด็กสาวทั้งหลาย

แน่ทีเดียว คำว่า ‘โง่เง่า’ นั้นใช้บรรยายการถามคำถามของนางแต่ไม่ได้หมายความว่าคำถามนี้สามารถตอบได้อย่างง่ายดาย

ในยามที่สวีโหย่วหรงเข้าสวนโจวนั้น นางไปในฐานะศิษย์กระทรวงสิบสามชิงเหย้า นางปิดบังตัวตนและรูปลักษณ์ก็ดูธรรมดาทีเดียว

นางในตอนนี้คือคนที่ทั้งโลกต่างก็รับรู้ว่าเป็นสาวงามที่สุด

แต่หากเฉินฉางเซิงบอกไปตามตรงว่านางในตอนนี้นั้นงดงามกว่า เขาก็เท่ากับว่าตอบผิดไปแล้ว

ในความเป็นจริง นี่เป็นเหมือนกับคำถามยากเย็นชั่วกาลแห่งแม่น้ำลั่ว ยากยิ่งที่จะหาคำตอบได้ แฝงไว้ด้วยอันตรายที่สลับซับซ้อน

คำถามนี้ย่อมไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะตอบอย่างไรก็ไม่อาจทำให้นางพอใจได้

เฉินฉางเซิงไม่มีทักษะการโกหก แต่น่าอัศจรรย์ที่เขากลับเคยพิจารณาคำถามนี้อย่างจริงจังและได้บทสรุปมาตั้งนานแล้ว

“ทั้งสองต่างก็งดงาม แต่เป็นความงามที่ต่างกัน”

เขาตอบสวีโหย่วหรงอย่างจริงใจที่สุด

เป็นคำพูดจากใจ เป็นความจริง

สวีโหย่วหรงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

เขาเห็นว่านางมีความสุขก็พลอยมีความสุขอย่างมากเช่นกัน

คงดีไม่น้อยหากพวกเขาสามารถนั่งเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ มีทะเลสาบอยู่ตรงหน้า ด้านหลังมีภูเขา ดวงดาวพร่างพราวอยู่เบื้องบน

เจ้าอยู่เคียงข้างข้า

แต่เราสามารถอยู่คู่กันไปตลอดได้ละหรือ

เมฆลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง ปิดบังดวงดาวทางใต้ ทอดเงาลงบนทะเลสาบ

เงานั้นก็เกิดขึ้นในใจของเฉินฉางเซิงเช่นกัน

“ข้าปิดบังบางอย่างกับเจ้า”

“เจ้าเคยพูดมาก่อนแล้ว”

“ข้าเคยบอกมาก่อนแล้วเช่นนั้นหรือ”

“อื้อ”

“ข้าลืมไปแล้ว…เจ้าอยากรู้หรือไม่”

“ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง ข้าเองก็มีความลับของข้า นอกจากนี้ ข้าก็ไม่อยากให้เจ้ารู้ความลับของข้า ดังนั้น”

“เอ๋ ข้าพลันตระหนักว่าข้าอยากจะบอกความลับนี้กับเจ้า”

“เพราะว่าเจ้าอยากจะรู้ความลับของข้าสินะ”

“ใช่”

“เฉินฉางเซิง เจ้าไม่ใช่พวกแม่บ้านที่ชอบนินทาตามตลาด แล้วทำไมเจ้าถึงได้สนใจอยากรู้ความลับของผู้อื่น”

“อืม…อาจเป็นเพราะข้าบำเพ็ญเพียรตามใจตนละมั้ง”

……

……

สำหรับคู่รักที่รักกัน ต่อให้พูดประโยคเดิมซ้ำๆ สามร้อยรอบก็ไม่รู้สึกเบื่อ

สำหรับพวกเขา สิ่งที่พูดนั้นไม่ได้สำคัญนัก ที่สำคัญก็คือพวกเขาได้พูดคุยกัน

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนฟัง การรับฟังคำที่มีความหมายเหมือนกันหลายๆ รอบ เป็นสิ่งที่ยากจะทนรับได้ ยิ่งเป็นคำพูดหวานเลี่ยนเท่าไรก็ยิ่งทนทานได้ยากขึ้นเท่านั้น

ในตอนนั้น ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าไม่อาจทนไหว รู้สึกว่าเขากินมื้อเย็นมากเกินไปจนอยากอาเจียนออกมา เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเส้นทางข้างบ้านตรงหน้าภูเขา กระบี่เวิ่นสุ่ยวางอยู่บนเข่า มีต้นหญ้าอยู่ในปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและไม่พอใจ คิดในใจว่า ช่างเป็นคู่ที่****อย่างแท้จริง

……