เยี่ยเม่ยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ไม่ว่าง!”
เสินเซ่อเทียน “…”
เหตุใดเขาถึงชอบสตรีเยี่ยงนี้ คิดให้นางมาเป็นภรรยากัน คนที่ไม่มีเวลาเวลาย่างหมูให้ตัวเขา นับเป็นภรรยาประสาอะไร
ถูกต้อง สิ่งที่ชวนโมโหที่สุดไม่ใช่นางทำไม่เป็น แต่นางบอกว่า…นางไม่ว่าง!
เสินเซ่อเทียนเงียบไปหลายวินาที เอ่ยปากว่า “อย่างนั้นไม่สู้เจ้าลองบอกว่ามาเจ้ายุ่งอะไรอยู่ ข้าจะช่วยเจ้าเอง อย่างนี้เจ้าก็มีเวลาว่างแล้ว!”
ทุกคน “…”
เฉิงเสี่ยวจวนแอบกุมขมับเงียบๆ ในใจรู้สึกหมดคำพูดอย่างแท้จริง เป็นครั้งแรกที่จวินซ่างเอ่ยปากจะทำงานกับคนอื่นนอกจากฝ่าบาท แต่เขาถึงกับทำเพื่อให้เยี่ยเม่ยมีเวลาว่างไปย่างหมูให้ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!
พวกเซียวเยว่ชิงต่างก็พูดไม่ออก
ทว่าต่อให้จวินซ่างทำให้พวกเขาหมดคำพูด จวินซ่างอย่างไรก็เป็นจวินซ่างเสมอ ไม่ว่าเขาทำอะไร คิดจะรับภาระหน้าที่ในมือเยี่ยเม่ย แต่สรุปแล้วก็คือมีความตั้งใจทำงานต่อมิใช่หรือ อืม พวกเขาไม่ควรเห็นความสำคัญของเหตุผล สิ่งที่สำคัญที่สุดความจริงแล้วคือผลลัพธ์มากกว่า
จริงด้วย
เยี่ยเม่ยคิดๆ แล้ว ตอบตามตรงว่า “ความจริงก็ไม่ได้ยุ่งอะไร เรื่องที่ต้องสั่งการก็สั่งไปหมดแล้ว หากท่านคิดเชิญข้ากินข้าว ดื่มสุราข้าก็ยังมีเวลา แต่คิดให้ข้าช่วยทำหมูหันให้ ข้าไม่มีเวลา!”
ถึงเยี่ยเม่ยเข้าใจว่าผูกสัมพันธ์อันดีกับเสินเซ่อเทียนจะช่วยนางได้มาก
แต่หวังให้นางทำตัวแบบหญิงแต่งงานแล้ว ลงครัวทำอาหารให้เขาก็ช่างมันเถอะ! นางไม่มีความชอบในด้านนี้
“เจ้าช่างไร้น้ำใจนัก!” เสินเซ่อเทียนตำหนิ
ใบหน้าที่มองดูแล้วศักดิ์สิทธิ์ของเขาในยามนี้มองแล้วดูน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก คล้ายกับถูกภรรยารังแก ท่าทางมีความลำบากใจแต่ระบายออกไม่ได้นั้น เฉิงเสี่ยวจวนรู้สึกเห็นใจ เอ่ยปากว่า “จวินซ่าง ให้ข้าน้อยไปสืบดูว่าร้านไหนในเมืองที่ทำหมูหันอร่อย ถึงเวลานั้นท่านค่อยเชิญแม่นางเยี่ยเม่ยมากินข้าวด้วยสักมื้อดีไหม”
เรื่องที่จวินซ่างของเยี่ยเม่ยแต่งงาน เฉิงเสี่ยวจวนรู้ชัด คิดว่าจวินซ่างสมควรยอมกินข้าวกับเยี่ยเม่ยสักมื้อเพื่อกระชับความสัมพันธ์
“อืม ได้”เสินเซ่อเทียนพยักหน้า รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่แล้ว
หลังจากพยักหน้าก็หันมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าเห็นว่าความคิดนี้เป็นอย่างไร เมื่อครู่เจ้าก็บอกแล้วว่าเชิญเจ้ากินข้าวดื่มสุรา เจ้ายังพอมีเวลา!”
“ข้ารู้สึกว่าใช้ได้”
เยี่ยเม่ยตอบกลับมาห้าคำด้วยเสียงเย็นชา
ในทางกลับกันสองสามวันที่ผ่านมานี้นางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ออกไปกินดื่มข้างนอกปรับอารมณ์เสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้
เสินเซ่อเทียนถามออกมาอย่างมิควรถามว่า “เจ้าหนูนั่นล่ะ”
เมื่อเขาถาม เป่ยเจี้ยนเกอกับเฉิงเสี่ยวจวนสองคนก็ตั้งใจมองสำรวจไปรอบด้าน ไม่พบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ช่างแปลกยิ่งนัก!
“เจ้าหนูนั่น?” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว
เจ้าหนูนั่นคือใคร ก่อนหน้านี้ซือหม่าหรุ่ยบอกว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นลูกศิษย์ของเสินเซ่อเทียน หรือว่าหมายถึง…
ในห้วงความสงสัยนั่นเอง
เสินเซ่อเทียนยิ้มมองมาทางเยี่ยเม่ย น้ำเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นตามมา “ย่อมหมายถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คู่หมั้นของเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าสองคนเป็นอย่างไรบ้าง เลิกรากันไปแล้วหรือยัง หากเลิกแล้ว สาเหตุเป็นเพราะอะไร”
เป่ยเจี้ยนเกอ “…” จวินซ่าง ท่านอย่าได้ใช้คำพูดเหมือนเฝ้ารอให้ผู้อื่นทะเลาะกันได้หรือไม่ ท่านทำแบบนี้จะถูกตีเอาง่ายๆ ท่านรู้หรือไม่
พวกเซียวเยว่ชิงที่ฟังอยู่ด้านข้าง ในยามนี้ต่างก็ก้มหน้าลงเพราะความขัดเขิน ไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักแอะ แต่ใบหูทุกคนต่างก็ตั้งขึ้น ความจริงพวกเขาต่างก็แปลกใจ สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายสี่และแม่นางเยี่ยเม่ยกันแน่ โดยเฉพาะสองวันที่ผ่านมา องค์ชายสี่ออกจากเมืองไปแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนยิ่งแปลกใจกับเรื่องนี้ขึ้นไปใหญ่ ยามนี้เมื่อจวินซ่างเอ่ยถาม พวกเขาก็สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก ความเป็นจริงไม่ว่าใครบนโลกนี้ต่างก็มีจิตใจความกระหายใคร่รู้กันทั้งนั้น
ในขณะที่ทุกคนตั้งอกตั้งใจรอฟัง เยี่ยเม่ยมองเสินเซ่อเทียน ตอบตามตรงว่า “ใช่ ข้ากับเขาเลิกกันแล้ว! ทำไม ระหว่างทางที่มาท่านไม่พบเขาเหรอ”
“ไม่มีนิ!” เสินเซ่อเทียนส่ายหน้า ถาม “เขากลับเมืองหลวงแล้ว”
ยามเขาเอ่ยถามยังหันไปมองเป่ยเจี้ยนเกอทีหนึ่ง คนข้างกายรีบส่ายหัว “ไม่ได้ยินข่าวเรื่องนี้ น่าจะไม่กลับเมืองหลวง”
คราวนี้กลับเป็นเยี่ยเม่ยที่เลิกคิ้วแทน “เขาไม่ได้กลับเมืองหลวงหรือ”
จู่ๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ออกจากเมืองไป นางยังหลงคิดว่าเป็นเพราะนางยืนยันตัดขาดกับเขา เขาไม่อยากพบนาง จึงกลับเมืองหลวงไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาไม่ได้กลับไป
ในเมื่อเขาไม่ได้กลับเมืองหลวง เช่นนั้นไปที่ไหนแล้วเล่า
เสินเซ่อเทียนนิ่งไปสักพัก มองไปทั่วสี่ทิศ น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์เอ่ยว่า “ไม่ได้กลับเมือง ทั้งไม่อยู่ที่นี่?”
“ถูกต้อง!”
คำตอบนี้เซียวเยว่ชิงเป็นผู้ขานรับ จากนั้นเขาก็รีบเอ่ยว่า “ไม่อยู่ที่นี่ ออกจากไปเมืองไปได้สองสามวันแล้ว”
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า เลิกคิ้วอย่างไม่ยี่หระ กวาดตามองเยี่ยเม่ย “พวกเราไปกินหมูหันกันก่อนเถอะ เขาโตปูนนี้แล้วไม่หายหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขามีวรยุทธ์สูงส่ง ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ อีกอย่าง…”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ เสินเซ่อเทียนชะงักเล็กน้อย มองสีหน้าเยี่ยเม่ยอย่างระวัง “เจ้าก็บอกว่าเจ้าตัดขาดกับเขาแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของเขาอีก เจ้าว่าถูกหรือไม่”
เสินเซ่อเทียนกล่าวเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันตีหน้าขึง จ้องเสินเซ่อเทียน “ท่านพูดถูก ข้าเลิกกับเขาแล้ว ดังนั้นเขาจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวพันอะไรกับข้า ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวกัน!”
เยี่ยเม่ยพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
เสินเซ่อเทียนกลับฟังออกว่า คำพูดของเยี่ยเม่ย…เกรงว่าจะปากไม่ตรงกับใจอยู่บ้าง ฟังออกว่าแฝงความโกรธเคืองไว้น้อยๆ
แต่ว่าไม่ว่าจะปากตรงกับใจหรือไม่ เยี่ยเม่ยก็ตัดขาดกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว สำหรับเสินเซ่อเทียนนับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงไม่ซักไซ้ปัญหานี้ต่อ มองเฉิงเสี่ยวจวนเป็นสัญญาณให้นางรีบไปสืบมา จากนั้นก็เดินตามเยี่ยเม่ยเข้าเมือง
ชาวบ้านทั้งหลายเห็นเสินเซ่อเทียน คราวนี้จะคุกเข่าหรือไม่คุกเข่าก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว
เมื่อครู่จวินซ่างบอกให้พวกเขาลุกขึ้น อีกอย่างตอนนี้เมื่อจวินซ่างใกล้ชิดประชาชน ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องคุกเข่าแล้ว แต่ใจของทุกคนยังคงเคารพเสินเซ่อเทียน ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็แอบเปิดทางให้พวกเขา ทั้งยังใช้สายตาเลื่อมใสมองไปทางเสินเซ่อเทียน
เสินเซ่อเทียนหาได้ใส่ใจ สายตามองตรงไปตามทางเบื้องหน้า
เยี่ยเม่ยค่อยๆ ก้าวเท้าช้าลง เดินคู่กับเสินเซ่อเทียน หัวใจกลับล่องลอยไปไกลแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่กลับเมืองหลวง อย่างนั้นเขาไปที่ใดกัน
นางเข้าใจ อันที่จริงนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดำเนินมาถึงขั้นนี้ นางไม่จำเป็นต้องห่วงเขาอีก ทั้งไม่สมควรใส่ใจด้วยว่ายามนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่ว่านางไม่อาจควบคุมความคิดได้!