ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 11 ข้ากลับมาแล้ว

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ภายในห้องแห่งหนึ่งของเรือนหลังน้อยบนยอดเขาภูตกาฬ

 

เด็กน้อยเสื้อขาวอ้วนจ้ำม่ำมองไปข้างกาย ทันใดนั้นพลังฟ้าดินจำนวนน้อยนิดก็รวมตัวกันเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง

 

“ให้ร่างแปรนี้อยู่ที่นี่ไปชั่วคราวก่อน”

 

สวบ

 

เด็กน้อยเสื้อขาวหายวับไปกลางอากาศ

 

……

 

ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากโลกดาราระยับเป็นระยะทางนับไม่ถ้วน เด็กน้อยเสื้อขาวปรากฏกายขึ้น จากนั้นรูปลักษณ์ของเด็กน้อยเสื้อขาวก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวแทน

 

“รีบยกระดับพลังของกายหยาบเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

 

เมื่ออยู่ในโลกดาราระยับ เขาก็ไม่สะดวกจะดูดซับพลังฟ้าดินจำนวนมากตามอำเภอใจ ดังนั้นจึงแค่ยกระดับวิญญาณขึ้นไปจนถึงระดับเทพจักรวาลโดยอาศัย‘วิถีโลกเทียม’เป็นโครงสร้างหลัก! สิ่งที่ดูดซับเข้าไปเพื่อยกระดับวิญญาณนั้น คือพละกำลังต้นกำเนิดสุดของโลกกำเนิด พลังฟ้าดินนั้นเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหว บัดนี้แบ่งร่างแปรออกมาร่างหนึ่งจึงย่อมทำได้อย่างง่ายดาย

 

“ตู้ม!”

 

ทันใดนั้นท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างและเงียบเหงารอบด้านก็มีพลังฟ้าดินจำนวนมากโหมซัดเข้าสู่ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงตามการเหนี่ยวนำของเขา ก่อให้เกิดเป็นน้ำวนอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ

 

พลังของกายหยาบทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด

 

เหนือธรรมดา ทวยเทพ เทพโลกา เทพแท้ เทพอากาศ ขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวน…เทพจักรวาล!

 

ความเร็วในการวิวัฒน์เช่นนี้รวดเร็วมาก

 

ภายในการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ขาดสายจาก ‘ทะเลเทพ’ เปลี่ยนแปลงฟ้าดิน…เปลี่ยนแปลงไปจนถึงรวมตัวกันเป็นจุดหนึ่งคือ ‘แหล่งโลกเทียม’ แล้วเปลี่ยนแปลงไปอีกเป็นจักรวาลขนาดเล็กจิ๋วอันสับสนอลหม่าน ไปจนถึงขั้นแปรเป็นจักรวาลโลกเทียมในท้ายที่สุด

 

หากระดับขั้นถึงแล้ว

 

ต้องการเพียงแค่ดูดซับพลังงานให้มากพอเท่านั้น พลังก็จะฟื้นคืนมาได้อย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ

 

“ในที่สุดก็ฟื้นคืนมาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงพลังของตนก็เผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “เมื่อเทียบกับดินแดนจิตโลกาแล้ว ก็ไม่มีสมบัติลับเลย แม้แต่กายทิพย์เมฆทักษิณาก็มิอาจฝึกฝนได้แล้ว”

 

ถึงอย่างไรกายทิพย์เมฆทักษิณาก็ต้องการวัตถุภายนอกมากมายยิ่งนัก ซึมซับของล้ำค่าชนิดต่างๆ พลังที่แฝงอยู่รวมเข้าไปในกายตน

 

แต่ปัญหาก็คือ วัตถุพิเศษอันล้ำค่าหายากต่างๆที่กำเนิดขึ้นมาในดินแดนจิตโลกา ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน เพราะถึงอย่างไรโลกกำเนิดสองแห่งที่แตกต่างกัน ภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่งที่แตกต่างกัน สรรพสิ่งต่างๆ ที่ให้กำเนิดขึ้นมาก็ล้วนแตกต่างกันเป็นอันมาก แม้แต่การบำเพ็ญก็ต้องบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาลเสียก่อนจึงจะสามารถใช้ร่วมกันได้

 

“ทว่าข้าสามารถฝึกฝนปุจฉวิถีคละถิ่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

 

ที่เขากลับมาในครั้งนี้ ได้นำสองเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นติดตัวมาด้วย ได้แก่เคล็ดวิชาปุจฉวิถีคละถิ่นและโลกจิต

 

เพียงแต่ปุจฉวิถีคละถิ่นชั้นที่หนึ่งจะให้เข้าที่ได้ก็มีเงื่อนไขสูงยิ่งนัก ก่อนอื่นคือต้องบรรลุถึง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุด’ เสียก่อน จากนั้นก็ต้องสามารถทำลายกรงของโลกกำเนิดที่กักขังเอาไว้ให้ได้ เพื่อจะได้ซึมซับ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ให้ตนเองใช้! สุดท้ายก็คือเงื่อนไขของระดับขั้น จะต้องยกระดับให้วิถีอากาศแปดสายในนั้นไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาลให้ได้ เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขนั้นสูงกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพมากนัก

 

“การเคลื่อนของเวลาในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านแตกต่างกันไม่มากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ขณะเดียวกับที่วิญญาณกำลังฟื้นฟูไปถึงระดับเทพจักรวาลนั้น สัมผัสรับรู้ที่มีต่อร่างแยกในดินแดนจิตโลกานั้นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างง่ายดาย ความทรงจำก็เชื่อมต่อกันแล้ว

 

“ถูกส่งจากดินแดนจิตโลกากลับไปยังอากาศอันสับสนอลหม่าน เวลาเหมือนจะยาวนานมาก แต่อันที่จริงแล้วก็แค่หนึ่งแสนสองหมื่นปีเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

 

เวลาหนึ่งแสนสองหมื่นปี

 

ทางดินแดนจิตโลกานั้นได้ยกระดับทางเก้าสายของวิถีอากาศไปจนถึงระดับขั้นเทพจักรวาลหมดแล้ว หลักๆ ก็คือหลังจากคิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ขึ้นมาเองแล้ว เขาก็กระจ่างแจ้งความเร้นลับที่ทั้งเก้าสายหมุนเวียนและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานรวมและกระตุ้นซึ่งกันและกัน จึงย่อมบรรลุอย่างต่อเนื่องเป็นธรรมดาโดยราบรื่นเป็นอันมาก สำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ในเวลาสามหมื่นปีเท่านั้น ทั้งเก้าสายล้วนประสบความสำเร็จทั้งสิ้น

 

บัดนี้สามารถสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาได้! แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่ ‘อนุสัมฤทธิ์’ เท่านั้น ถึงอย่างไรก็มิอาจอาศัยลูกแก้วห้าภาพมาช่วยได้!

 

‘ยุทธวิธี’ ของปุจฉวิถีคละถิ่นก็สามารถสำแดงออกมาได้โดยตรง

 

แต่การ ‘ฝึกกายคละถิ่น’ กลับต้องใช้เวลาในการฝึก ด้วยเคล็ดผนึกห้าภาพที่ ‘หลุม’ ขนาดเล็กจิ๋วซึ่งตนทำให้โลกกำเนิดแตกออกสามารถดูดซับได้นั้น จะฝึกกายให้สำเร็จในท้ายที่สุดจะต้องใช้เวลายาวนานมาก

 

“ฝึกร่างแยกให้สำเร็จก่อนก็แล้วกัน”

 

ใช่แล้ว

 

ความทรงจำของตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อมต่อกับร่างแยกในดินแดนจิตโลกา และได้พบเรื่องที่ทำให้เขายินดีมากเรื่องหนึ่ง

 

ขณะที่ตนถูกส่งออกไปจากดินแดนจิตโลกานั้น ร่างแยกแปดร่างที่หลงเหลืออยู่ สามารถฝึกร่างแยกที่เก้าขึ้นมาได้!

 

“ใช่แล้ว อย่างพวกเทพโลกาและเทพแท้ในจักรวาลก็ล้วนสามารถฝึกร่างแยกขึ้นมาได้ แต่หลังออกจากจักรวาลแล้วกลับมิอาจฝึกได้อีกต่อไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ส่วนผู้มีพรสวรรค์พิเศษบางคนของระบบศาสตร์โบราณกลับสามารถฝึกร่างแยกออกมาได้! เห็นได้ชัดว่าขอเพียงได้รับการอนุญาตจาก ‘กฎเกณฑ์อันสูงส่ง’ ก็จะสามารถฝึกร่างแยกออกมาได้แล้ว”

 

ศาสตร์ร่างแยกที่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้นนั้นคือการดูดซับเคล็ดผนึกห้าภาพทำให้วิญญาณวิวัฒน์ไป หลังจากดูดซับเคล็ดผนึกห้าภาพของมิติชั้นสูงขึ้นแล้ว ต่อให้กฎเกณฑ์อันสูงส่งกดดัน ก็สามารถคงร่างแยกเก้าร่างเอาไว้ได้แล้ว

 

บัดนี้ร่างแยกร่างหนึ่งถูกส่งออกไป

 

ภายในโลกกำเนิดของดินแดนจิตโลกานั้น ภายในขอบเขตที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งปกคลุมได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีร่างแยกอยู่เพียงแปดร่างเท่านั้น! แต่กฎเกณฑ์อันสูงส่งอนุญาตให้มีร่างแยกได้เก้าร่าง แน่นอนว่าเขาย่อมต้องฝึกร่างแยกขึ้นมาอีกร่างหนึ่ง

 

“ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน ร่างแยกร่างนี้ของข้ากลับไปยังบ้านเกิด ภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่งของอากาศอันสับสนอลหม่าน ข้ามีร่างกายเพียงร่างเดียวเท่านั้น จึงสามารถฝึกฝนร่างแยกต่อไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

 

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต่อยออกไปหมัดหนึ่ง กระบวนท่าของหมัดนี้ละเมียดละไมยิ่งกว่าทลายเวหาเสียอีก มันเป็นหนึ่งในยุทธวิธีของปุจฉวิถีคละถิ่น เมื่อชกออกไปหมัดหนึ่ง มิติแปดสายบริเวณกำปั้นก็พันพาดกัน ตรงศูนย์กลางของบริเวณที่พันพาดกันนั้นระเบิดออกเป็นจุดสีดำขนาดเล็กจิ๋ว มีกลิ่นอายเร้นลับแพร่ออกมาจากหลุมสีดำขนาดราวเมล็ดข้าวนั้น

 

ณ ปลายอีกด้านหนึ่งของหลุมสีดำนี้…ก็คือมิติชั้นสูงยิ่งขึ้นซึ่งแฝงไว้ด้วยความน่าหวาดหวั่นอันใหญ่หลวง

 

กลิ่นอายเร้นลับก็คือเคล็ดผนึกห้าภาพ

 

“มาแล้ว”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชาศาสตร์ร่างแยกออกมา แล้วดูดซับพลังของเคล็ดผนึกห้าภาพนี้

 

……

 

ชั่วขณะให้หลัง

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวและตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ทองยืนอยู่กลางอากาศอันเวิ้งว้าง

 

“น่าเสียดายที่มีร่างแยกได้เพียงสองร่างเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “ข้าทำลายกรงที่กักขังไว้ได้รูเล็กเกินไป กลิ่นอายเร้นลับที่สามารถดูดซับได้จึงยังไม่เข้มข้นพอ ฝึกสำเร็จได้แค่ศาสตร์ร่างแยกชั้นที่หนึ่งเท่านั้น”

 

ศาสตร์ร่างแยกชั้นที่หนึ่งมีร่างแยกเพียงสองร่าง

 

ศาสตร์ร่างแยกชั้นที่สองมีร่างแยกเก้าร่าง

 

ศาสตร์ร่างแยกชั้นสูงสุดขั้นครบสมบูรณ์ มีร่างแยก 10081 ร่าง

 

เคล็ดวิชาที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดด้นขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ที่วิญญาณสามารถดูดซับได้และระดับการวิวัฒน์ของวิญญาณเป็นหลัก! ขั้นสุดของระดับการวิวัฒน์ ก็จะสามารถคงร่างแยกไว้ได้นับหมื่นร่าง

 

“เคล็ดวิชาศาสตร์ร่างแยกที่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้นยังคงยอดเยี่ยมสู้ทางสายของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยและประมุขหอหมื่นโลกาไม่ได้อยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

 

เคล็ดวิชาศาสตร์ร่างแยกของท่านอาจารย์นั้นมีขีดจำกัดที่ต้องข้ามผ่านสูงมากทีเดียว

 

จะต้องทำลายกรงที่กักขังไว้จึงจะสามารถฝึกให้เข้าที่ได้ แต่การทำลายกรงของโลกกำเนิดที่กักขังไว้นั้นเป็นพลังระดับชั้นที่สิบเลยทีเดียว เป็นพลังระดับเทพจักรวาลแล้ว ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ ผู้นั้นจะต้องไม่มีอย่างแน่นอน! แต่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับมีร่างแยกสองร่างมาตั้งนานแล้ว

 

ส่วน ‘ประมุขหอหมื่นโลกา’ ตอนนั้นที่ประมุขหอหมื่นโลกาเคยลอบสังหารตนเอง ก็มีพลังเพียงเทพจักรวาลทั่วไปเท่านั้น กลับสามารถคงร่างแยกเอาไว้ได้นับหมื่นร่าง ตามเคล็ดวิชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณา จะต้องเป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเท่านั้นจึงจะสามารถมีร่างแยกเกินหมื่นร่างได้

 

เมื่อดูจากผลของการบำเพ็ญแล้ว

 

ในด้านศาสตร์ร่างแยก โดยรวมแล้วทางสายของพวกจ้าวภูเขาฉื้อเหมยและประมุขหอหมื่นโลกานั้นอดเยี่ยมกว่าทางด้านของประมุขรัฐเมฆทักษิณา

 

บัดนี้ตนก็เป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่หนึ่ง นอกจากนี้วิถีอากาศเก้าสายก็ยังสามารถผลักดันไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาลได้ หากเป็นทางสายประมุขหอหมื่นโลกานั้น เกรงว่าคงจะมีร่างแยกนับหมื่นร่างไปแล้ว

 

“ก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วผู้ใดเป็นคนคิดค้นทางสายของพวกจ้าวภูเขาฉื้อเหมยและประมุขหอหมื่นโลกาขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ที่แล้วมาเขายังเคยคิดว่าประมุขหอหมื่นโลกาเป็นผู้คิดค้นขึ้น แต่ตอนนี้น่ะหรือ เขาไม่มีทางคิดเช่นนี้แน่นอน เคล็ดวิชาอันล้ำเลิศเช่นนี้ เกรงว่าคงจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งทางด้านวิถีอากาศบรรลุถึงเทพจักรวาลระดับชั้นที่สาม ระดับเดียวกับบรรพชนฝานที่เป็นผู้คิดค้นขึ้น

 

“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีจิตคิดอาฆาต

 

ทางสายของพวกเขาลอยสังหารตนก็แล้วไปเถิด แต่ยังยืมมือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาจัดการตนอีก!

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ไม่รู้เลยว่า…จ้าวภูเขาฉื้อเหมยถูกเจ้าศิลาสังหารไปก่อนแล้ว

 

“ตอนนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หาร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยไม่พบ เกรงว่าคงจะหาร่างแยกของข้าไม่พบเช่นกัน นอกจากนี้เมื่อข้าฝึกกายคละถิ่นแล้ว ร่างกายก็จะมีลักษณะพิเศษของการคละถิ่นอยู่บางส่วน คิดจะตามหาข้าก็ยิ่งต้องฝันไปก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หลังจากวิญญาณของตนดูดซับเคล็ดผนึกห้าภาพและวิวัฒน์ไปแล้ว วิธีสะกดรอยส่วนใหญ่ก็ใช้ไม่ได้ผลกับตน ยิ่งไปกว่านั้นตนยังมีปุจฉวิถีคละถิ่นที่ล้ำเลิศยิ่งกว่าด้วย

 

ฝึกกายคละถิ่น…ใช้เวลายาวนานเกินไป ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีความอดทนพอ

 

“ร่างแยกนี้บำเพ็ญขึ้นมาในโลกดาราระยับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์สีทองด้านข้าง “ต่อให้ร่างจริงสู้จนตัวตาย ร่างแยกก็สามารถฝึกกลับมาได้อย่างรวดเร็วและสามารถทดแทนบุญคุณท่านพ่อท่านแม่ที่กลับชาติมาจุติในครั้งนี้ได้”

 

สวบ

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์สีทองหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วกลับไปยังโลกดาราระยับ

 

“ควรกลับไปดูได้แล้ว”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก่อนจะอันตรธานไป

 

……

 

ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านผืนหนึ่ง

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า นัยน์ตาของเขาฉายแววรอคอย ด้วยระดับจิตของเขาแล้ว ก็ยังยากที่จะข่มความตื่นเต้นเอาไว้ได้

 

ในที่สุดก็กลับมาเสียที

 

ตอนนั้นตนถูกบีบบังคับให้กลับชาติไปจุติ มุ่งหน้าไปยังดินแดนจิตโลกา ในที่สุดวันนี้ก็ได้กลับมาแล้ว

 

“เอ๊ะ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปด้านหน้าด้วยความตกตะลึง

 

บัดนี้วิถีอากาศทั้งเก้าสายของเขาล้วนบรรลุถึงขั้นสุดหมดแล้ว เมื่อสำแดงยุทธวิธีคละถิ่นออกมา การเคลื่อนที่ในพริบตาก็เป็นระยะทางไกลกว่ามากทีเดียว เคลื่อนที่ในพริบตาครั้งหนึ่งก็สามารถข้ามไปได้ครึ่งค่อนอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ไม่มีทางพลาดได้แน่ ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ เองก็ยิ่งไม่มีทางวิ่งไปไหนได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นโลกทิพย์อันกว้างใหญ่ไพศาล

 

“โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเล่า ทำไม ทำไมจึงไม่มีเสียแล้วเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างว่างเปล่าตรงหน้า ในใจอดรู้สึกเย็นวาบขึ้นมามิได้

 

อากาศเบื้องหน้าผืนนี้…

 

เดิมทีเป็นโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราตั้งอยู่ แต่บัดนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

 

 ……………………………………..