นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความโหยหา และเฝ้ารอคอยด้วยใจที่สุขอุรา

 

 

กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็น…

 

 

“ไสหัวไป!” เสียงตวาดด่าพลังดังขึ้น ฝ่ามือของเมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกของเขาอย่างแรงด้วยความเดือดดาลที่เต็มอก “ข้าสลบมาหลายวันขนาดนี้ จะมีแรงที่ไหนอีก”

 

 

พูดจบ ศีรษะก็ล้มฟุบกลับไปที่หมอน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตะลึงอย่างนิ่งอึ้ง ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง มองนางอย่างไม่เชื่อ ครั้นเห็นใบหน้าที่ฉุนเฉียวของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มน้อยๆ ทันที ยิ้มจนใจสั่นไหว ยิ้มแล้วหมอบตัวลงไปข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว ยิ้ม…หยดน้ำตาไหลริน พูดพึมพำที่ข้างหูของนาง “โยวเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้ว ดีจริงๆ ดีจริงๆ ดีจริง…”

 

 

หยดน้ำตาเม็ดใหญ่ไหลเผลาะลงบนไหล่ของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เม็ดน้ำตาก็ประทับใจลงที่ใจของนาง ทำให้ขอบตาของนางร้อน แม้ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่กลับสะอื้นออกมา “ข้าปลูกผักกาดขาวชั้นดีมาอย่างยากลำบาก ถ้าหากว่าข้าตาย ก็ต้องถูกแม่หมูตัวอื่นแย่งแล้วน่ะสิ ข้าไม่ทำเรื่องที่ขาดทุนแบบนั้นหรอก”

 

 

หลังจากอึ้งไป ก็ยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง ยิ้มจนรู้สึกสะท้าน ยิ้มอย่างมีความสุข ยิ้มจนอดไม่ได้ที่จะจูบลงไปที่ริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยว และพูดพึมพำเสียงเบา “วางใจเถิด ผักกาดขาวชั้นดีนี้จะเป็นของเจ้าตลอดไป”

 

 

ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งห้อง

 

 

เวลาผ่านไปอย่างสงบ ไม่มีผู้ใดรบกวน

 

 

ภายในห้องหนังสือ มีกระดาษยับยู่ยี่แผ่เกลื่อนอยู่บนโต๊ะ บนนั้นเขียนชื่อของเด็กผู้ชายสองคนและเด็กผู้หญิงสองคน อ๋องฉีจ้องชื่อของเด็กผู้ชายสองคนที่อยู่ฝั่งซ้ายอย่างแน่นิ่ง พลางถอนหายใจยาว บนหัวปรากฏเป็นภาพตัวเองตอนที่ได้ยินว่าเป็นเด็กผู้หญิงทั้งสองคน ร่างกายก็โอนเอน และรู้สึกเหมือนท้องฟ้าได้ถล่มทลายลง

 

 

เฮ้อ! แล้วเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง พ่อบ้านที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก้มหน้าลง เป็นเวลาสิบวันแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าซื่อจื่อเฟยคลอดเด็กผู้หญิงสองคน อ๋องฉีก็รู้สึกสะเทือนใจจนไร้สติโดยตลอด ทว่า พระชายาฉีกลับดีใจจนเหมือนกับได้รับสมบัติจากสวรรค์ ทุกวันที่อยู่กับเด็กทั้งสองคนก็ยิ้มไม่หุบ และไม่ยอมห่างจากพวกนางแม้แต่ครึ่งก้าว กระทั่งละเลยอ๋องฉีไป และยังละเลยอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอ๋องฉีได้นอนอยู่ในห้องหนังสือหลายวันแล้ว ก็ไม่มีการส่งคนมาถามไถ่สักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาหาด้วยตัวเองเลย

 

 

หลังจากที่ไม่รู้ว่าวันนี้ได้ถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้ง อ๋องฉียังคงนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องหนังสือ ราวกับพระที่บำเพ็ญเพียร ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

 

 

หลังจากได้จูบแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในอ้อมอกอย่างพอใจ กอดนางเอาไว้อย่างเงียบๆ ปรารถนาให้ได้อยู่แบบนี้ไปจนแก่เฒ่า น่าเสียดาย มีคนไม่ยอมให้เขาได้สมดั่งใจหวัง เสียงของหวงฝู่อวี้เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นก็ดังขึ้นภายในเรือนอย่างดีใจแบบที่ไม่รู้จะพูดอย่างไร “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินบ่าวบอกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ตื่นแล้ว เป็นความจริงหรือไม่ขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รับคำ

 

 

หวงฝู่อวี้อึดอัด จึงยิ่งแผดเสียงดังขึ้น “พี่ใหญ่ พี่ไม่ได้อยู่ในห้องหรือขอรับ”

 

 

ยังคงไม่มีคนรับคำ

 

 

เสียงร้องเรียกที่ดังเปลี่ยนเป็นเสียงเบื่อหน่าย “อี้เอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ในห้องหรือ ทำไมไม่มีคนตอบ”

 

 

นั่นก็เป็นเพราะซื่อจื่อไม่อยากสนใจเจ้าอย่างไรเล่า นี่เป็นคำพูดในใจของหวงฝู่อี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา และยิ้มตอบเขา “คุณชายรอง ซื่อจื่อดูแลซื่อจื่อเฟยมานานหลายวันเช่นนี้ คิดว่าน่าจะอ่อนล้ามาก จึงอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ ท่านค่อยมาวันอื่นเถิดขอรับ”

 

 

“จริงๆ เลย กลางวันแสกๆ แบบนี้ จะนอนอะไรกัน ไม่รู้ว่าข้าเป็นห่วงพี่สะใภ้ใหญ่หรือ” เสียงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่กลับจนปัญญา แล้วพูดกับหวงฝู่อี้ “เจ้าบอกพี่ใหญ่ด้วยว่าข้ากับเยียนเอ๋อร์จะมาเยี่ยมพี่สะใภ้ใหญ่ในวันพรุ่งนี้”

 

 

พูดจบ เสียงฝีเท้าก็ไกลออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เงยหน้า มองตาเขา แล้วถามด้วยความสัพยอก “เสียใจไหมที่ไม่ได้ไล่เขาออกไป”

 

 

สิ่งที่ตอบนางก็เป็นการจูบอีกครั้งหนึ่ง

 

 

หลังจากนั้นสามวัน ร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีขึ้น และค่อยๆ ลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวได้แล้ว

 

 

ในสามวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พบลูกเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ทันทีที่นางพูดถึง หวงฝู่อี้เซวียนก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อปิดปากนาง ให้นางพูดออกไม่ได้ จึงหมดหนทาง ได้แต่เพียงอดทนไว้

 

 

ในที่สุดวันนี้ก็ไม่อาจจะทนไว้อีกแล้ว และพูดวิงวอน “อี้เซวียน ข้าอยากจะไปดูลูก”

 

 

เป็นอย่างที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดคิด จึงไม่ได้คัดค้าน และพูด อืม รับอย่างเบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจแทบคลั่ง แล้วหันกายจะเดินออกไปด้านนอก แต่กลับถูกหวงฝู่อี้เซวียนดึงไว้ “เจ้ากำลังอยู่ไฟ จะไปไหน ข้าจะสั่งให้คนอุ้มลูกมาเอง”

 

 

พูดจบ ก็สั่งออกไปด้านนอก “โจวอัน เจ้าไปบอกเสด็จแม่ว่าโยวเอ๋อร์คิดถึงลูกแล้ว”

 

 

โจวอันรับคำ เสียงฝีเท้าก็ไกลออกไป

 

 

ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้นิ่ม แล้วก็เดินไปโต๊ะด้านข้าง เพื่อรินน้ำที่อยู่บนโต๊ะมาส่งให้ที่มือนาง กระทั่งนางค่อยๆ ดื่มจนหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะนั่งลงบนเก้าอี้นิ่มอย่างเงียบๆ

 

 

พระชายาฉีและเมิ่งซื่อแต่ละคนอุ้มเด็กหนึ่งคนที่พันกายอย่างแน่นหนา เข้าประตูมา และยิ้มพูด “แม่นมเพิ่งจะให้นม เด็กยังตื่นอยู่ เจ้ามาดูเร็ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างไม่รอช้า เข้าไปหาพระชายาฉี รับเด็กมา แล้วอุ้มมาไว้ในอกอย่างแข็งทื่อ

 

 

“คนนี้คือพี่สาว” พระชายาฉียิ้มพูด

 

 

เปิดผ้าห่มเล็กที่ปรกอยู่บนหน้าเด็กออกมา ใบหน้าของเด็กปรากฏอยู่เบื้องหน้าของนาง ดวงตาทั้งคู่ที่โตเหมือนกับหวงฝู่อี้เซวียน คิ้วที่คมสวยเหมือนนาง ริมฝีปากเล็กๆ และจมูกที่โด่งเป็นสัน ไม่มีตรงไหนที่ไม่วิจิตร ไม่มีส่วนไหนที่ไม่งดงาม ความรู้สึกภาคภูมิใจก็พุ่งเข้ามาในใจ จึงหันหน้า เรียกหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความยินดี “อี้เซวียน เจ้ารีบมาดูเร็ว ลูกสาวของพวกเรางดงามเกินไปแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาตรงหน้านาง เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กๆ ที่เปิดตาโตทั้งสองคู่มองมาทางเขาอย่างใคร่รู้ ก็ได้อึ้งไป

 

 

หลังจากคลอดเด็กทั้งสองคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีเลือดออกมาก แม้ว่าจะป้อนดอกบัวสีเลือดไว้ได้ทัน กลับยังคงสลบไสลไม่ฟื้น ระหว่างที่รู้สึกสับสน ไหนเลยที่หวงฝู่อี้เซวียนจะสนใจลูกทั้งสองคน ภายในตามีแต่เพียงใบหน้าที่ซีดขาวนั่นของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่มีกระจิตกระใจต่อสิ่งอื่นแม้แต่น้อย

 

 

ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธที่จะเจอลูก และเฝ้าอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งวันทั้งคืนอย่างดื้อรั้น ในใจก็ตั้งมั่นด้วยความแน่วแน่ว่า ถ้านางไม่รอด เขาจะต้องตามนางไปอย่างแน่นอน แม้ว่าสามวันก่อนหน้านั้นที่เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นมาพบลูก เขาก็ไม่ได้มองเลย

 

 

วันนี้ เขาได้เห็นลูกเป็นครั้งแรกจริงๆ ความรู้สึกหนึ่งที่ประหลาดในใจก็เกิดขึ้น แล้วเอื้อมมือออกไป ลูบแก้มของเด็กน้อยเบาๆ

 

 

อาจจะเป็นเพราะว่ากินอิ่มแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะรู้ว่าเบื้องหน้าคือพ่อกับแม่ เด็กน้อยก็ฉีกปากเล็กๆ ยิ้มขึ้นมาทันใด

 

 

“ให้เจ้าลองอุ้มสักหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวถือโอกาสนี้พูดและยัดใส่อ้อมอกของเขาทันที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรับมาอย่างลนลาน เมื่อรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มในมือก็ตกใจจนมือทั้งคู่ค้างอยู่ในท่าที่รับเด็กมา ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย

 

 

พระชายาฉีทนเห็นต่อไปไม่ได้ จึงเดินมาตรงหน้า “เจ้าอุ้มแบบนี้เด็กจะไม่สบายเอาได้ ท่าทางต้องเป็นธรรมชาติเสียหน่อย”

 

 

ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนชะงักงัน ทั้งแขน ทั้งท่าทาง และน้ำเสียงก็ล้วนแข็งทื่อ “สะ…เสด็จแม่…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา เดินมาที่ข้างกายเมิ่งซื่ออย่างยิ้มแย้ม แล้วอุ้มเด็กน้อยอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งเห็นหน้านางชัดแล้ว ก็อึ้งไป “ท่านแม่ เหตุใดพวกนางจึงหน้าตาเหมือนกันเลยเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งซื่อหัวเราะออกมา “สิบวันนี้ เจ้านอนจนโง่แล้วหรือ ฝาแฝดก็ย่อมต้องเหมือนกันสิ”

 

 

“เช่นนั้นแล้วจะแยกแยะอย่างไรเจ้าคะ”

 

 

ขณะที่เมิ่งซื่อจะตอบ พระชายาฉีก็ยิ้มห้ามนางและโบกมือให้แก่เมิ่งซื่อราวกับเด็กน้อยที่ซุกซน “ชิ่นจยา ให้พวกเขาพินิจเองเถิด ถ้าหาความแตกต่างไม่เจอ พวกเราทั้งสองคนก็อุ้มเด็กคนละคนไปได้แล้ว”

 

 

เมิ่งซื่อยั้งปากไว้ ยิ้มส่งสายตาที่ช่วยไม่ได้ให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

ภายใต้การชี้แนะของพระชายาฉี ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนรู้วิธีการอุ้มเด็กอย่างรวดเร็ว ทว่า น่าเสียดายนัก ยังไม่ทันรอให้เขาได้ลิ้มลองอย่างละเอียด พระชายาฉีก็เข้ามา ‘แย่ง’ เด็กในอ้อมอกเขา “ร่างกายของโยวเอ๋อร์ยังไม่ดี ไม่ควรจะอุ้มเด็กนานไป จะได้ป่วยง่ายเพราะขาดการอยู่ไฟ เจ้าน่ะก็ต้องเฝ้าดูแลนางให้มากๆ ส่วนเรื่องดูลูก ก็ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านแม่ของเจ้าเถิด”

 

 

เมิ่งซื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ก็อุ้มเด็กมาจากอ้อมอกของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพยักหน้าคล้อยตาม “ใช่ๆๆ เรื่องรักษาร่างกายสำคัญกว่า ส่วนเรื่องดูแลลูกก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถิดนะ”

 

 

เห็นท่าทางที่ไม่รอช้าของทั้งสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปากอ้าตาค้างอีกครั้ง ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น ทำไมถึงรู้สึกว่า หลังจากนี้ต่อไปตัวเองจะได้เห็นหน้าลูกยากขึ้นนะ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ ขณะที่จะอ้าปากพูด พระชายาฉีกับเมิ่งซื่อก็อุ้มเด็กคนละคน เดินจากไปโดยไม่หันหน้ากลับมาแล้ว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน

 

 

“อี้เซวียน” เอ่ยปากเสียงเบา

 

 

ส่งเสียง อืม

 

 

“ยินดีกับเจ้าแล้ว ต่อไปก็ไม่มีใครมาแย่งภรรยาเจ้าอีกแล้ว” คำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ไม่รู้สึกยินดี

 

 

แล้วก็ส่งเสียง อืม เบาๆ อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ห่อเ**่ยว แต่ทันใดนั้น ท่าทางก็กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง แล้วลูบศีรษะนาง พูดความในใจของตัวเอง “วางใจเถิด ถ้าเจ้าคิดถึงลูก ข้าก็จะไปขโมยมาในยามวิกาล”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา พวกเขาทั้งสองคนคงจะเป็นพ่อแม่ที่น่าสงสารที่สุดแล้ว แม้แต่อยากจะพบหน้าลูกยังต้องไปขโมยมา อย่างไรก็ตาม เวลานี้เมิ่งเชี่ยนโยวคงจะคิดไม่ถึงว่า ต่อไปเรื่องการขโมยเด็กจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในจวนอ๋อง

 

 

ทั้งสองคนต่างคิดหาวิธี จึงไร้คำพูดไปช่วงขณะ ภายในห้องตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบ แล้วเสียงของหวงฝู่อวี้เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นก็ดังกังวาลขึ้นเป็นพิเศษจากในเรือน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่อยู่หรือไม่ขอรับ ข้ากับเยียนเอ๋อร์มาเยี่ยมพวกพี่แล้ว”

 

 

ยิ้มมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง พอเห็นเขาไม่ได้คัดค้าน ก็เปล่งเสียงพูดออกไปด้านนอก “เข้ามาเถิด”

 

 

เมื่อรับคำอย่างดีใจ ทั้งสองคนก็เดินเข้ามา

 

 

หวงฝู่อวี้เดินตรงเข้ามาหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พินิจดูนางจากบนลงล่างอย่างละเอียด ครั้นเห็นสีหน้าที่แดงฉ่ำ ดูกระฉับกระเฉง ก็ตบหน้าอกตัวเอง “พี่สะใภ้ใหญ่ ทำข้าตกใจแทบแย่ ข้าคิดว่าท่านจะไม่ตื่น…”

 

 

พูดยังทันไม่จบ เท้าหนึ่งก็ถีบเข้าที่ด้านหลังอย่างแรง ถีบจนเขาเกือบจะล้มคะมำลงพื้น “หากยังกล้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะไล่เจ้าออกไป”

 

 

หวงฝู่อวี้หุบปากสนิท ไม่กล้าพูดอะไร

 

 

ดูเหมือนว่าหลินหันเยียนจะตกใจแล้ว จึงก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้ สีหน้าพลันขาวซีด สายตาก็พร่ามัว แล้วก้มหน้าลงกล่าวขณะที่ร่างกายและน้ำเสียงสั่นระรัว “ขอแสดงความเคารพซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”

 

 

“ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจเลย เชิญคุณหนูหลินนั่งเถิด”

 

 

ร่างกายของหลินหันเยียนสะท้านอีกครั้ง ดวงตาที่เปียกชุ่มเงยขึ้นมามองนางอย่างไม่เชื่อ แล้วก้มลงกลับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมพูดเสียงสั่น “ขอบพระคุณเจ้าค่ะซื่อจื่อเฟย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว

 

 

“เยียนเอ๋อร์ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งลงสิ” หวงฝู่อวี้พูดกับนางโดยที่ไม่ได้เห็นท่าทางของนาง

 

 

หลินหันเหยียนก้มหน้าเดินมานั่งบนเก้าอี้ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว และนั่งลงอย่างเรียบร้อย

 

 

“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะบอกท่านให้ หลานสาวสองคนนั้นของข้าน่ารักเหลือเกิน ทุกวันที่ข้ากลับมาก็ต้องหยอกล้อเล่นกับพวกนาง พวกนางสนิทกับอาคนนี้ทีเดียวขอรับ” น้ำเสียงของหวงฝู่อวี้ตื่นเต้นอย่างที่ปิดบังไว้ไม่ได้

 

 

ตั้งแต่ที่เรื่องของเขากับหลินหันเยียนมั่นคงขึ้น ก็เริ่มบริหารจัดการกิจการภายในจวน ทำให้ทุกวันต้องยุ่งอย่างไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนและหลังตรุษจีน อีกทั้งช่วงที่เมิ่งเชี่ยนโยวหมดสติไป เขาก็ยิ่งยุ่งมากขึ้นอีก ยุ่งจนแม้แต่เวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนหลินหันเยียนก็ไม่มี แต่เขากลับไม่ได้ลืมที่จะไปดูหลานสาวที่น่ารักทั้งสองคนนั่น

 

 

ร่างกายของหลินหันเยียนก็สะท้าน และก้มหน้าลงต่ำยิ่งขึ้นอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองนางแวบหนึ่ง แล้วละสายตาของตัวเองกลับมา ถาม “คุณหนูหลินไม่สบายหรือ”

 

 

เงยหน้าอย่างประหลาดใจ แล้วก้มลงไปอีกครั้งโดยทันที พร้อมส่ายหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ราวกับเสียงยุงบิน “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยที่เป็นห่วง ข้าสบายดีเจ้าค่ะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

 

 

หวงฝู่อวี้ยังคงไม่พบถึงความผิดปกติของนาง แล้วพูด “ร่างกายของเยียนเอ๋อร์ดีอย่างมากเลยขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าบอกพวกพี่ให้…”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้านนอกโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

 

 

หวงฝู่อวี้ผงะไป และถ้อยคำที่จะพูดก็ชะงักอยู่ที่ปาก

 

 

“อวี้เอ๋อร์ เจ้าตามข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนพูดโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา

 

 

“อ้อ ขอรับ” หวงฝู่อวี้รับคำ แล้วลุกขึ้นยืน พลางพูดกำชับ “เยียนเอ๋อร์ ข้าจะรีบกลับมา เจ้าพูดคุยเป็นเพื่อนพี่สะใภ้ใหญ่ก่อนนะ” พูดจบ ตัวคนก็ตามออกไปแล้ว

 

 

ภายในห้องเหลือแต่เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวกับหลินหันเยียนสองคน

 

 

หลินหันเยียนถอนหายใจโล่งอกอย่างชัดเจน แล้วร่างกายก็ยืดตรงขึ้นเล็กน้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกกาน้ำชาเพื่อรินน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว จากนั้นส่งไปตรงหน้านางด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษด้วย ข้าไม่สามารถดื่มน้ำชาได้ คุณหนูหลินดื่มสักหน่อยเถิด”

 

 

หลินหันเยียนรับมา หลังจากพูดขอบคุณเบาๆ แล้ว ก็ยกถ้วยชาขึ้นวางไว้บนมือ และวนถ้วยอย่างลืมตัว

 

 

มองนางแวบหนึ่งแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มถาม “คุณหนูหลินมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าใช่หรือไม่”