ตอนที่ 353 มีทั้งคนที่ยินดีและมีคนที่กังวล

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

 

ความเจ็บปวดเริ่มถาโถมเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวอดทนกัดฟันแน่นโดยตลอด

 

 

คนด้านนอกไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ในใจก็กระวนกระวายอย่างมาก หมอตำแยและหมัวมัวทำคลอดยิ่งมองหน้ากันถี่ขึ้น แล้วเกิดความคิดไม่ดีแวบขึ้นภายในใจ แต่ก็แอบตบปากสะบัดมันออกไปทันที พร้อมกุมมือทั้งสองข้างอย่างเชื่อมั่น วิงวอนขอให้อย่าได้เกิดอะไรขึ้นกับซื่อจื่อเฟยเป็นอันขาด

 

 

เวลาที่ห่างจากระลอกความเจ็บปวดยิ่งกระชั้นชิดจนเกือบจะโถมเข้าอย่างต่อเนื่อง เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บจนไม่มีแม้แต่เวลาที่จะกำชับหวงฝู่อี้เซวียนให้เรียกคนเข้ามา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกถึงสถานการณ์เช่นนี้เช่นกัน จึงเอื้อมมือหยิบเข็มออกมา แล้วตะโกนไปด้านนอกเสียงดัง “เข้ามาเร็ว! โยวเอ๋อร์จะคลอดแล้ว”

 

 

จิตวิญญาณของทุกคนสั่นไหวโดยพร้อมกัน หมอตำแยสามท่าน หมัวมัวทำคลอดสองท่าน พระชายาฉี และเมิ่งซื่อวิ่งเข้ามาในห้องตามลำดับ แม้แต่อ๋องฉีก็ก้าวเข้ามาด้านหน้าหลายก้าว แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมจึงถอยกลับไป

 

 

เมื่อเห็นความเจ็บปวดที่มาเป็นระลอกอย่างต่อเนื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว หมัวมัวทำคลอดก็รู้สึกยินดี ตรวจดูครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความดีใจ “ปากมดลูกเปิดออกหมดแล้วเจ้าค่ะ ใกล้จะออกมาแล้ว ซื่อจื่อเฟยเบ่งเลยเจ้าค่ะ”

 

 

ทรมานจนเกือบจะทั้งวันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจะมีแรงเบ่งที่ไหนอีก ทำได้แต่เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และสูดหายใจออกตามความสามารถที่มีอยู่ แต่ก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงที่จะเบ่ง

 

 

หมัวมัวทำคลอดร้อนใจอย่างมาก “ซื่อจื่อเฟย ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ เวลาผ่านไปนานแล้ว เด็กจะขาดอากาศหายใจตายได้เจ้าค่ะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก นั่งลง แล้วเอามือแตะบนตัวของเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมส่งลมปราณเข้าสู่ภายในร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ขาดสาย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมีแรงขึ้นแล้ว ก็เบ่งตามที่หมอตำแยสั่ง ออกแรงแล้วออกแรงอีก เมื่อรู้สึกถึงตอนที่ออกแรงเฮือกสุดท้ายจนสิ้นแล้ว เสียงร้องไห้ที่ก้องกังวานและเสียงร้องยินดีของหมอตำแยก็ดังขึ้น “คลอดแล้วเจ้าค่ะ เป็นเด็กผู้หญิงเจ้าค่ะ”

 

 

พูดจบ ก็หยิบผ้าห่มที่เตรียมไว้แล้วอยู่ด้านข้างมาพันกายเด็กให้ดี

 

 

พระชายาฉียินดีแทบคลั่ง เดินเข้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้ว ‘แย่ง’ เด็กมาอุ้มไว้ในอ้อมอก

 

 

เมิ่งซื่อเดินเข้ามาก้าวหนึ่งเช่นกัน แล้วจ้องเด็กที่เนื้อตัวอ่อนนุ่มอย่างไม่ละสายตา

 

 

ใจของอ๋องฉีกลับไหวสั่น

 

 

ทว่า เด็กคนที่สองทำอย่างไรก็คลอดออกมาไม่ได้ ราวกับว่าจะเล่นซ่อนแอบกับพวกผู้ใหญ่ ขณะที่เผยศีรษะออกมาเล็กน้อย หมัวมัวทำคลอดยังไม่ทันได้ยินดี สายตาก็เห็นเด็กน้อยกลับเข้าไปอีก

 

 

หมัวมัวทำคลอดกังวลจนเหงื่อชุ่มศีรษะ และเร่งเร้าอยู่ตลอด “ซื่อจื่อเฟย ท่านออกแรงสิเจ้าคะ ออกแรงเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนี้ ท่านกับลูกจะเป็นอันตรายทั้งคู่นะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงอย่างไม่หยุด แต่ก็ยังคงไม่เป็นผล

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเสียงร้องของหมัวมัวทำคลอด แล้วพูดกับท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยท่าทีเข้มงวดและจริงจัง “ข้าจะนับหนึ่ง สอง สาม หากเจ้าออกมาอย่างว่าง่าย ต่อไปข้าจะเอ็นดูเจ้าอย่างมาก แต่หากเจ้าไม่ออกมา และทำให้แม่ของเจ้าต้องทรมานไปมากกว่านี้ ต่อไปพ่อจะโบยเจ้าวันละสามรอบ”

 

 

เด็กน้อยราวกับเข้าใจคำพูดของเขา จึงไม่งอแงอีกแล้ว ครั้นเมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงเบ่งอีกครั้ง ก็ลื่น พลุบ ออกมา

 

 

“ออกมาแล้วเจ้าค่ะ ออกมาแล้วเจ้าค่ะ เป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกันเจ้าค่ะ” เสียงยินดีของหมัวมัวทำคลอดดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่ออกแรงจนสุดเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีความร้อนรุ่มถาโถมเข้ามาอีกครั้ง จึงปิดตาลงช้าๆ ขณะที่สติเลือนลาง ก็ได้ยินเสียงลนลานของหมัวมัวทำคลอด “แย่แล้ว ซื่อจื่อเฟยมีเลือดออกมากเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้ง แสงของท้องฟ้านั้นสว่างไสว ภายในห้องเงียบสงัด และรู้สึกว่ามือของตัวเองถูกใครกุมไว้ พอก้มหน้าลง ก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนหมอบอยู่ข้างเตียง

 

 

แล้วยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง อยากจะเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของเขา

 

 

ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนสะท้าน แล้วลืมตาขึ้นโดยพลัน สายตารับกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง ขอบตาก็เปียกชุ่มขึ้นทันที และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้าตื่นแล้วหรือ”

 

 

พยักหน้าเบาๆ “ข้าหลับไปกี่วัน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ เงยหน้า ยืนขึ้นเล็กน้อย แล้วก้มตัวลงไปกอดนาง หยดน้ำตาร่วงหล่นบนหน้าอกนาง จนประทับเข้าสู่ใจของนางด้วย ดวงตาก็แดงขึ้น

 

 

ผ่านไปนานแสนนาน หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะปล่อยนางออก จ้องดวงตาของนาง แล้วถามเบาๆ “หิวแล้วสินะ ข้าจะไปยกข้าวต้มมาให้เจ้า”

 

 

เผยรอยยิ้ม พยักหน้า “หิวจะตายแล้ว กินวัวทั้งตัวได้เลย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะออกมาขณะที่ตาแดง ก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากนางครั้งหนึ่ง แล้วก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอกอย่างโซเซ

 

 

เสียงสั่งดังเข้ามา “บอกเสด็จแม่ โยวเอ๋อร์ฟื้นแล้ว”

 

 

เสียงรับคำที่ดีใจของหวงฝู่อี้ดังเข้ามา “ขอรับ ข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้” หลังจากนั้น เสียงฝีเท้าก็วิ่งออกไปอย่างรีบเร่ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกข้าวต้มกลับมาอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะนั่งขึ้นมา ก็ถูกเขาห้ามไว้ “อย่าขยับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนอนไม่ขยับอย่างเชื่อฟัง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางถาดลง หยิบหมอนสูงที่อยู่ด้านหนึ่งมาค้ำศีรษะนางไว้ แล้วยกชามขึ้นมา มือข้างหนึ่งก็หยิบช้อนเล็กป้อนข้าวต้มให้นางกินทีละช้อน

 

 

กินข้าวต้มหนึ่งชามหมดก็กินไข่อีกสองฟอง เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าอิ่มแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนแสดงความไม่พอใจ “ไม่ใช่บอกว่ากินวัวทั้งตัวได้หรอ นี่กินไปแค่เท่าไหร่เอง”

 

 

“หลับไปนานขนาดนี้ ไม่ควรกินมากเกินไปสิ รอผ่านไปสองวัน ข้าจะกินวัวทั้งตัวให้เจ้าดู” หลังจากกินอิ่มและมีแรงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดล้อเล่น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้ายิ้ม กำลังจะพูดอะไรกับนาง

 

 

ม่านประตูก็ถูกเปิดออก พระชายาฉีกับเมิ่งซื่อก็รุดเข้ามาปานสายลม เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแล้วจริงๆ ขอบตาก็ชื้นขึ้นและถามพร้อมกัน “โยวเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วหรือ”

 

 

“ท่านแม่ เสด็จแม่ ทำให้พวกท่านต้องเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“ฟื้นแล้วก็ดี ฟื้นแล้วก็ดี” เสียงของเมิ่งซื่อสะอื้น

 

 

“เด็กโง่ พูดอะไรกัน แม่เป็นห่วงเจ้ามิใช่เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรอกหรือ” น้ำเสียงของพระชายาฉีอ่อนหวานอย่างยิ่ง

 

 

เห็นน้ำตาของทั้งสองคนใกล้จะไหลรินออกมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบเปลี่ยนหัวข้อ “ลูกล่ะเจ้าคะ ข้าอยากจะดูลูกเสียหน่อย”

 

 

“เด็กๆ หลับอยู่ แม่นมกำลังเฝ้าอยู่ ข้าจะสั่งพวกนางอุ้มมาเดี๋ยวนี้”

 

 

พูดจบ ก็สั่งหลิงหลงที่เฝ้าอยู่ด้านนอก

 

 

หลิงหลงรับคำ

 

 

ไม่นาน แม่นมสองคนก็อุ้มเด็กสองคนเข้ามาอย่างมั่นคง และทำความเคารพต่อเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอแสดงเคารพซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “อุ้มเด็กมาให้ข้าดูหน่อย”

 

 

ทั้งสองคนเข้ามาด้านหน้า แล้วย่อตัวลงในเวลาเดียวกัน

 

 

เด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนกันทั้งสองคนปรากฏอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

ความรู้สึกที่แปลกประหลาดผุดขึ้นในความคิดของเมิ่งเชี่ยนโยวทันใด นี่เป็นลูกของตัวเอง เป็นคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันกับตัวเอง เป็นคนในครอบครัว ‘ที่แท้จริง’ ของตัวเอง ความรู้สึกนี้ น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แล้วก็น่ายินดีด้วยเช่นกัน

 

 

เงยหน้า หอมแก้มเด็กแต่ละคน กลับรู้สึกว่าค่อนข้างแปลกไปจากตอนที่นางเห็นพวกเขายามแรกเกิด ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเหมือนตอนนี้อย่างแน่นอน จึงเอ่ยปากสอบถามด้วยน้ำเสียงที่แคลงใจ “ข้าหลับไปนานเท่าไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ

 

 

เมิ่งซื่อขอบตาแดง

 

 

พระชายาฉีตอบ “เซวียนเอ๋อร์ไม่ได้บอกเจ้าหรือ เจ้าหมดสติไปสิบวัน พวกเราล้วนคิดว่าเจ้า…” คำพูดต่อมาไม่ได้พูดออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าใจความหมายของนาง เงยหน้า มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน ครั้งนี้ถึงจะเข้าใจว่าอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ของเขาเมื่อครู่มาจากไหน จึงยื่นมือออกไปทางเขา เป็นสัญญาณให้เขานั่งลง

 

 

แม่นมอุ้มเด็กขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้นิ่มอย่างช้าๆ มองนางตาไม่กะพริบ

 

 

“อี้เซวียน” เสียงมีความตื่นเต้น

 

 

อืม เสียงรับคำเบาๆ ราวกับกลัวว่าจะทำให้เด็กตกใจ

 

 

“เจ้าเด็กน้อยสองคนนี้ทรมานภรรยาเจ้าขนาดนี้ เจ้าได้ต่อยพวกนางหรือไม่”

 

 

แม่นมอึ้ง มองทั้งสองคนอย่างไม่เชื่อสายตา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า น้ำเสียงรู้สึกน้อยใจ “เสด็จแม่ปกป้องอย่างเข้มงวด ข้าแตะต้องไม่ได้แม้แต่น้อย”

 

 

ดวงตาของแม่นมยิ่งโตขึ้นแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกล่อมเด็ก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ให้เสด็จแม่กับท่านแม่ดูแลพวกเขาเถิด ต่อไปข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเท่านั้น ดีไหม”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับด้วยความไม่เชื่ออย่างชัดเจน “เจ้าพูดจริงหรือ”

 

 

พยักหน้าแรงๆ “จริงสิ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มที่เป็นสุข และพยักหน้า “ตกลง”

 

 

พระชายาฉีก็ดีใจแล้ว “นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองคนพูดแล้วนะ เด็กมอบให้ข้าแล้ว ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ามาแย่งอีก”

 

 

“ใช่ๆๆ ข้าก็ได้ยินชัดแล้ว พวกเจ้าเสียใจภายหลังไม่ได้แล้วนะ” เมิ่งซื่อดีใจเสียยิ่งกว่าพระชายาฉี รีบพูดคล้อยตาม

 

 

แม่นมสองคนมองตากัน ภายในสมองปรากฏความคิดเหมือนกันในเวลาเดียวกันว่า สมองของเจ้านายในจวนอ๋องล้วนไม่ได้ผิดปกติไปแล้วใช่หรือไม่

 

 

เมิ่งซื่อกับพระชายาฉีอุ้มเด็กแต่ละคนอย่างดีใจเดินจากไป แม่นมก็ตามออกไป ภายในห้องเหลือแค่เพียงสองคน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปัดร่างกายตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนถอดเสื้อนอกออก ขึ้นไปนอนบนเตียง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหน้าที่ผอมแห้งและมีโหนกที่โปนชัดขึ้นของเขา “อี้เซวียน เจ้าตกใจแย่เลยสินะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่เลย เจ้าอยู่ข้าก็อยู่ เจ้าตายข้าก็ตาย ไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้น” คำพูดหนักแน่น ทว่า น้ำเสียงกลับสั่นไหวเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ว่าเขาผ่านความทรมานสิบวันนี้มาได้อย่างไร ทุกครั้งที่ทนหลับไม่ไหว ก็มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นโดยพลัน จากนั้นก็วางมือทาบไว้ใต้จมูกนางเพื่อตรวจดูว่านางยังหายใจอยู่หรือไม่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขอบตาแดงก่ำ