ตอนที่ 652 การหยั่งเชิงของกันและกัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังหารือเกี่ยวกับวิธีการตอบโต้อยู่ภายในห้องหนังสือของจวนเจ้าเมืองเลี่ยหยาง

“นายหญิง ท่านคิดว่าคนพวกนั้นจะรอซุ่มโจมตีเพื่อจัดการกับพวกเรารึไม่ ?”

สั่วซีหย่ากล่าวด้วยความสงสัยและความกระวนกระวายผุดขึ้นในหัวใจ เวลาสามวันถือว่าเป็นเวลามากพอให้คนเหล่านั้นเตรียมการทุกอย่างเพื่อจัดการกับพวกนางได้

“โอ้ ต่อให้พวกเขาเตรียมจะซุ่มโจมตีเราจริง มันก็คงทำอะไรเราไม่ได้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของท่านลุงฟื้นฟูถึงระดับสูงสุดแล้ว นอกจากพวกเราก็ไม่มีผู้ใดทราบเรื่องนี้และนั่นถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเรา ยิ่งไปกว่านั้น ข้านายหญิงของเจ้าก็มิใช่คนที่จะถูกจัดการได้ง่าย ๆ เช่นกัน !”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างมั่นใจ ต่อให้อีกฝ่ายวางแผนซุ่มจู่โจมจริง นางและคนอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่น ภายในเขตอิทธิพลของเผ่าเลี่ยหยาง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจจัดการกับพวกนางได้โดยง่าย กอปรกับการมีมิติที่สองอย่างคฤหาสน์เฟิงหัวซึ่งเป็นทางหนีทีไล่ที่ดี มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะขัดขวางการหลบหนีของพวกนางได้

ในเวลานี้สั่วซีหย่าก็รับตำแหน่งกลับคืนสู่เผ่าเลี่ยหยางและเป็นที่ยอมรับในสถานะบุตรสาวที่แท้จริงของหลัวจื้อเลี่ยแล้ว แม้ฉินอวี้โม่เคยบอกให้นางเปลี่ยนไปเรียกตนว่าพี่สาว สั่วซีหย่าก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ในเมื่อนางหลั่งเลือดปฏิญาณความจงรักภักดีต่อฉินอวี้โม่แล้ว สั่วซีหย่าก็จะภักดีต่อฉินอวี้โม่ไปตลอดชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น นางก็บอกกับหลัวจื้อเลี่ยไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะไม่กลับมาอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ ทว่าจะออกไปฝึกวิชาสั่งสมประสบการณ์และคอยปกป้องฉินอวี้โม่

แม้หลัวจื้อเลี่ยไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้คัดค้านความต้องการของนาง เขาเข้าใจความซาบซึ้งใจที่บุตรสาวมีต่อฉินอวี้โม่เป็นอย่างดีและมองเห็นถึงมิตรภาพที่แท้จริงระหว่างนายและบริวาร ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใดที่สั่วซีหย่ามีนายหญิงเช่นฉินอวี้โม่ การได้ติดตามผู้ที่ทรงพลังและแกร่งกล้าเช่นนี้ เขาเชื่อว่าสั่วซีหย่าจะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบด้านมากกว่าการติดตามตัวเขาอย่างแน่นอน

เขาเพียงรู้สึกไม่เต็มใจนักที่บุตรสาวที่เพิ่งได้พบจะต้องจากลาอีกคราในเวลาอีกไม่นาน

“อวี้โม่กล่าวถูกแล้ว การจัดการกับพวกเรามิใช่เรื่องง่ายหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เนินเขาที่ว่านั่นก็ไม่ได้สูงนักและไม่มีพื้นที่สำหรับการหลบซ่อนตัว เพราะเหตุนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะซุ่มโจมตีพวกเรา”

ไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับอาณาเขตของเผ่าเลี่ยหยางไปมากกว่าเจ้าเมืองอย่างหลัวจื้อเลี่ยอีกแล้ว เขาทราบดีว่าเนินเขานอกเมืองมีความสูงไม่มากนักและมีต้นไม้เพียงประปราย รวมถึงไม่มีอสูรอันตรายใด ๆ มันจึงเป็นสภาพภูมิประเทศที่ยากต่อการวางกับดักซุ่มโจมตี

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็พยักศีรษะและไม่กล่าวสิ่งใดอีกก่อนแยกกันออกไปเตรียมความพร้อมของตนเอง

ช่วงเย็นของวันนั้น ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวไปยังเนินเขานอกเมืองเลี่ยหยางพร้อมกับหานโม่ฉือ หลังจากสังเกตการณ์โดยรอบและไม่พบกับดักใด ทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างรู้ทันและเริ่มวางค่ายกลกับดักตามเส้นทางที่นำไปสู่เนินเขาก่อนมุ่งหน้ากลับจวนเจ้าเมือง

ในวันต่อมา คนทั้งกลุ่มก็ค่อย ๆ มุ่งหน้าตรงไปยังเนินเขาอย่างไม่รีบร้อน ตู้ซีรั่วถูกฉินอวี้โม่นำตัวไปไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวและถูกคุ้มกันโดยอสูรมายาจำนวนมากจนไม่มีโอกาสหลบหนีได้แม้แต่นิดเดียว

เมื่อมาถึงเนินเขา ทุกคนก็มองเห็นกลุ่มคนนับสิบที่ยืนอยู่บนยอดเขาแล้ว โดยทุกคนสวมเสื้อคลุมและสวมผ้าคลุมสีดำที่ดูลึกลับอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม บุรุษชุดดำที่ต่อสู้เคียงข้างตู้ซีรั่วก่อนหน้านี้กลับไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นซึ่งทำให้ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืองุนงงไม่น้อย

เมื่อเห็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่กำลังเดินขึ้นเนินเขามาหาพวกตน บุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “โอ้ ต้องขอบคุณพวกเจ้าที่จัดเตรียมของขวัญดี ๆ ไว้ให้กับเรา เราต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่าที่จะขึ้นมาถึงที่นี่ได้”

ระหว่างที่พวกเขาพาตัวหลัวหมิงฮ่าวมุ่งหน้าขึ้นเนินเขาก่อนหน้านี้ กลุ่มคนชุดดำก็ต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลกับดักจำนวนมาก หากมิใช่เพราะพลังที่แกร่งกล้าของพวกเขา เกรงว่าคงมีพวกเขาหลายคนที่ไม่สามารถขึ้นมาถึงจุดสูงสุดได้ ทว่าถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังได้รับผลกระทบจากกับดักเหล่านั้นพอสมควรและบางคนก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

“ฮ่า ๆ ๆ เพียงแค่พิธีการต้อนรับเล็ก ๆ น้อย ๆ หากข้ามผ่านอุปสรรคเล็ก ๆ เหล่านั้นไม่ได้ พวกเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเจรจาสิ่งใดกับพวกเรา”

ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มบาง ๆ ขณะทุกคนเดินขึ้นสู่ยอดเขาและหยุดลงตรงข้ามกลุ่มของบุรุษชุดดำ

“ไม่กลัวว่าพวกข้าจะวางแผนซุ่มโจมตีรึ ?”

เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ บุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มยียวนทว่ารู้สึกชื่นชมนางอยู่ไม่น้อย

“หึหึ ต่อให้มีกับดักวางอยู่ที่นี่ พวกเราก็จะมาอยู่ดี”

หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ เขาไม่ชอบสายตาที่บุรุษชุดดำมองฉินอวี้โม่เท่าใดนัก เขามองเห็นความปรารถนาในแววตาของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน บุรุษใดก็ตามที่ริอาจคิดหมายปองภรรยาของเขาหานโม่ฉือ บุรุษผู้นั้นก็จะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขาทันที

บุรุษชุดดำยิ้มและปรบมือเบา ๆ ก่อนหลัวหมิงฮ่าวจะถูกพาตัวมาโดยคนหลายคน เมื่อพิจารณาจากลักษณะท่าทางขององค์ชายห้าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ

“นี่คนของเจ้า ข้าพาออกมาแล้ว แล้วคนของเราล่ะ ?”

บุรุษชุดดำแสยะยิ้มอีกครั้งและผายมือเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่พาตู้ซีรั่วออกมา สตรีผู้นี้มีมิติที่สองอยู่กับตัวและเขาทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาจึงคาดเดาได้ว่าตู้ซีรั่วน่าจะถูกขังไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่

“จิ๊จิ๊จิ๊ อย่าคิดที่จะตบตาพวกข้าด้วยหุ่นตุ๊กตานี่เลย แต่ก็ถือว่าพวกเจ้ามีหัวคิดทีเดียว”

ฉินอวี้โม่มิได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทันทีที่หลัวหมิงฮ่าวผู้นี้ปรากฏตัว นางก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติตั้งแต่ต้น แม้ดูเหมือนองค์ชายห้าจริง ๆ ทว่ามันกลับไม่มีคลื่นพลังใด ๆ และเป็นเพียงหุ่นไร้วิญญาณ เพราะเหตุนั้นนางจึงมั่นใจได้ทันทีว่านี่เป็นเพียงหุ่นที่ดูเหมือนหลัวหมิงฮ่าวเท่านั้น

บุรุษชุดดำไม่รู้สึกกระดากอายหรือสะทกสะท้านเพราะวาจาของฉินอวี้โม่แต่อย่างใด

“นี่เป็นเพียงบททดสอบเพื่อดูว่าเจ้าคู่ควรกับการเป็นเทพมายาคนใหม่รึไม่ ตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับพวกข้าจริง ๆ !”

เขาแสยะยิ้มก่อนปรบมือส่งสัญญาณอีกครั้งและอีกสองคนก็พาตัวหลัวหมิงฮ่าวออกมา

หลัวหมิงฮ่าวในครานี้ดูเหมือนกับหุ่นหลัวหมิงฮ่าวไม่มีผิดเพี้ยน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและเผยรอยยิ้มกว้างออกมา

“ท่านลุง ลูกพี่ลูกน้อง อวี้โม่ โม่ฉือ พวกท่านมากันแล้ว”

หลัวหมิงฮ่าวกล่าวทักทายฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบเบา ๆ ก่อนสั่งให้อสูรมายาหลายตัวของตนพาตัวตู้ซีรั่วออกมาเช่นกัน

ตู้ซีรั่วในตอนนี้มีสภาพที่ดูไม่ดีนัก นางจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชิงชังโดยที่ไม่หลงเหลือความอ่อนโยนในตอนแรกแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นกลุ่มคนชุดดำนับสิบคนของฝ่ายตรงข้าม ตู้ซีรั่วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่นี่ ? แล้วพี่ของข้าล่ะ ?”

“โอ้ ตอนที่เขาฝ่าออกมาจากข่ายอาคมนั่น เขาได้รับบาดเจ็บพอสมควร ตอนนี้เขาจึงกลับไปพักฟื้นก่อน เราได้รับคำสั่งจากพ่อของท่านจึงมาช่วยท่านที่นี่”

บุรุษชุดดำกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ขณะมองตู้ซีรั่วด้วยสีหน้าความรู้สึกที่ไม่เปลี่ยนแปลง

“ปล่อยเขาไป”

บุรุษชุดดำกล่าวกับอีกสองคนที่จับตัวหลัวหมิงฮ่าวไว้ จากนั้นเมื่อทั้งสองปล่อยตัวเขาไป องค์ชายห้าก็ก้าวตรงไปหากลุ่มของฉินอวี้โม่ทันที ทว่าเมื่อเดินผ่านตู้ซีรั่ว ร่างของเขาก็หยุดชะงักไปเล็กน้อยแต่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา

สตรีผู้นี้มิใช่ท่านป้าที่อ่อนโยนและมีเมตตาที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไป หากแต่เป็นสตรีจิตใจโหดเหี้ยมชั่วช้าคนหนึ่งเท่านั้น

ฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งใดมากนักและเพียงพยักศีรษะให้กับเสี่ยวเฮย

เสี่ยวเฮยคว้าร่างตู้ซีรั่วและจับโยนตรงไปหากลุ่มของอีกฝ่ายทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของนางแม้แต่น้อย

หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำไม่กระทำสิ่งใดและเพียงพยักศีรษะให้กับอีกคนที่อยู่ถัดจากตนผู้ซึ่งรับร่างของตู้ซีรั่วไว้ทันท่วงทีก่อนปล่อยลงมาอย่างเบามือ

“ฉินอวี้โม่ เรื่องของเรายังไม่จบแค่นี้แน่ !”

ตู้ซีรั่วจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยความตกใจและกล่าวอย่างโกรธแค้น หากบุรุษผู้นี้รับนางไว้ไม่ทัน เกรงว่านางคงได้รับอาการบาดเจ็บที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ข้าผนึกพลังมายาของนางไว้ชั่วคราวและมันจะคลายไปเองภายในหนึ่งวัน หากไม่มีอะไรแล้ว ไว้เราพบกันใหม่ในสนามรบ”

ฉินอวี้โม่กล่าวทิ้งท้ายและหันหลังเตรียมจะไปจากที่นี่ทันที การเสียเวลาเสวนากับคนเหล่านี้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็จะต้องถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชาวเอลฟ์ทุกชีวิต

“โอ้ พวกเจ้าคิดว่าจะกลับไปได้ง่าย ๆ เช่นนี้เลยรึ ?”

ทันใดนั้น บุรุษชุดดำก็คลี่ยิ้มประหลาดและเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นฉินอวี้โม่กำลังจะเดินจากไป เขาชี้ตรงไปที่คนกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกันที่เชิงเขาและกล่าวด้วยเสียงระรื่น “ข้าจำได้ว่าชื่อเสียงของตู้ซีรั่วในเผ่าเลี่ยหยางดีมากทีเดียว ตอนนี้การที่พวกเจ้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ คนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่ ข้าทราบดีว่าพวกเจ้ามีคฤหาสน์ลึกลับนั่นและการหลบหนีมิใช่เรื่องยาก อย่างไรก็ตาม หากพวกเจ้าหนีด้วยวิธีนั้น มันคงจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้าเมืองหลัวเป็นแน่”

ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว บุรุษชุดดำก็ไม่กล่าวสิ่งใดต่อและหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้คนของตนก่อนกลับไปในทางของตนเอง เขาตั้งตารอการเผชิญหน้าครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นกับฉินอวี้โม่และพวกอย่างใจจดใจจ่อ

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นทันที บุรุษชุดดำเหล่านี้สร้างปัญหาให้พวกนางไม่น้อยเลยทีเดียว หากไม่สามารถจัดการเรื่องของเผ่าเลี่ยหยางให้ดีได้ ชื่อเสียงของหลัวจื้อเลี่ยในเผ่านี้จะต้องเสื่อมเสียไปอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยเลยว่าในหมู่คนเหล่านั้นจะต้องมีบางคนที่ถูกส่งมาเพื่อยุยงให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน

และเป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่นางและคนอื่น ๆ เดินกลับลงมาถึงเชิงเขา คนกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาล้อมรอบพวกนางไว้และส่งเสียงโวยวายกันทันที

“ท่านเจ้าเมือง คนทั้งสามนี้แทงท่านหญิงในภัตตาคารและถูกท่านจับขังไว้มิใช่รึ ? เหตุใดท่านจึงอยู่กับคนพวกนี้ได้และปล่อยให้ท่านหญิงถูกคนชุดดำพวกนั้นพาตัวออกไป ?”

ใครคนหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแกนนำกล่าวขึ้นเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงสงสัยอย่างที่สุด เขาคือสมาชิกฝ่ายเดียวกับกลุ่มบุรุษชุดดำที่มาที่นี่เพื่อสร้างความวุ่นวายและรอดูว่ากลุ่มของฉินอวี้โม่จะรับมืออย่างไร

“ท่านเจ้าเมือง ท่านจะปกป้องคนชั่วที่ทำร้ายภรรยาของท่านไม่ได้นะขอรับ ท่านต้องลงโทษพวกเขาอย่างสาสม !”

“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ท่านจะปล่อยให้ผู้ที่คิดทำลายความสงบสุขของเผ่าเลี่ยหยางของเราอยู่ในเผ่าต่อไปอีกไม่ได้ ได้โปรดลงโทษพวกนางและขับไล่ออกไปจากเผ่าของเราเสียเถอะ !”

….

คนทั้งกลุ่มที่ไม่ทราบถึงความจริงต่างก็กล่าวอย่างฮึกเหิม น้ำเสียงของพวกเขาแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยและแสดงความโกรธแค้นที่มีต่อฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าอย่างไม่ปิดบัง

“ทุกคน สิ่งที่เกิดขึ้นในครานั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ท่านหญิงที่พวกเจ้าเคารพรักแท้จริงแล้วเป็นคนที่ร่วมมือกับฝ่ายมารและต้องการล้มล้างชนเผ่าเอลฟ์ของเราทุกคน ส่วนจอมยุทธ์ทั้งสามคนนี้ก็มาเพื่อช่วยชนเผ่าเอลฟ์ของเรา !”

หลัวจื้อเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวเสียงดังฟังชัด

อย่างไรก็ตาม มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่เชื่อคำพูดของเขา ภายใต้การยุยงของบุรุษผู้นั้น ยังมีคนอีกมากมายที่กล่าวโทษฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างโกรธเคืองต่อไป…

.