ชายแดน
เยี่ยเม่ยกำลังนั่งกินข้าวกับเสินเซ่อเทียน หมูหันร้านนี้รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ความสามารถในการหาของอร่อยของเฉิงเสี่ยวจวนก็ไม่เลวเลยเช่นกัน
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังกิน
เฉิงเสี่ยวจวนมองอยู่ด้านข้างด้วยความอิจฉา หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่ากินอย่างไรจวินซ่างก็ไม่อ้วน ทำไมเยี่ยเม่ยที่เป็นสตรีนางหนึ่ง กินเนื้อคำโตขนาดนี้โดยไม่กังวลว่าตัวเองจะอ้วนเลยสักน้อย
โดยเฉพาะ
เมื่อเฉิงเสี่ยวจวนสำรวจเยี่ยเม่ย นางมีรูปร่างสมส่วนมาก ส่วนที่ควรสมบูรณ์ก็สมบูรณ์ ส่วนใดที่สมควรบอบบางก็บอบบาง เป็นรูปร่างดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ
ในใจเฉิงเสี่ยวจวนอิจฉาอยู่บ้างเล็กน้อย
นางรู้สึกว่าตัวเองที่อยู่บ้านดื่มแต่น้ำเปล่ายังอ้วนได้ หากมิใช่ต้องออกตระเวนไปทั่วหล้าอยู่ตลอด ทำให้เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากจึงส่งผลให้น้ำหนักลด มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองอ้วนไปถึงขั้นไหนแล้ว
ในขณะคิด
เซียวเยว่ชิงมาถึงโรงเตี๊ยม เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านหญิงเหยาฉือมาแล้ว!”
“ท่านหญิงเหยาฉือ?” เยี่ยเม่ยมองเซียวเยว่ชิง ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้เลย มีความสัมพันธ์อะไรกับซือถูเฉียงหรือไม่
เซียวเยว่ชิงรีบอธิบาย “ท่านหญิงเหยาฉือคือธิดากำพร้าของตระกูลมู่หรง ตระกูลนางจงรักภักดีมาทุกยุคสมัย ดังนั้นหลังจากบิดานางเสียชีวิต ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้นางเป็นท่านหญิง”
ระหว่างเล่าน้ำเสียงเซียวเยว่ชิงแฝงไปด้วยความเคารพนับถือ นั่นคือความนับถือที่มีต่อตระกูลมู่หรงที่จงรักภักดี ดังนั้นเขาจึงเคารพต่อมู่หรงเหยาฉืออยู่หลายส่วน
ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร นางก็เป็นทายาทที่เหลืออยู่ของแม่ทัพมู่หรง
“อ้อ ข้าทราบแล้ว” เยี่ยเม่ยไม่สนใจ ถามอีกประโยคว่า “นางมาทำไม ฝ่าบาทต้องให้ท่านหญิงผู้หนึ่งมานำทัพแทนข้าหรือ”
นางรู้สึกว่าฮ่องเต้คงไม่ได้โง่ปานนี้กระมัง
เซียวเยว่ชิงรีบพยักหน้า ตอบ “มิใช่ ท่านหญิงบอกว่านางมาเที่ยวเล่นที่ชายแดนเท่านั้น”
เมื่อเขาตอบ เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย
ต่อให้จะมาเที่ยวเล่น ไม่เลือกสถานที่ที่ทิวทัศน์สวยงามก็ไม่สมควรเลือกมาชายแดนหรอกกระมัง ที่นี่อย่าว่าแต่ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย เลือดยังไหลนองส่งกลิ่นคาวคลุ้ง ไม่รู้ว่าคนจะตายเมื่อใดด้วยซ้ำ นางจะมาเที่ยวเล่นที่นี่จริงๆ อย่างนั้นหรือ
เยี่ยเม่ยหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ “ดูท่านางไม่คิดหาเหตุผลจริงๆ จังๆ ตอบก็ตามใจนางเถอะ นางอยากทำอะไรก็ทำ”
เซียวเยว่ชิงรู้ว่าเยี่ยเม่ยมีนิสัยเช่นนี้เสมอ ดังนั้นเห็นเยี่ยเม่ยไม่เกรงใจท่านหญิงเหยาฉือก็ไม่พูดอะไร
กลับถามว่า “ท่านหญิงเหยาฉือบอกว่า ได้ยินว่าท่านเป็นวีรสตรีแห่งชายแดน เป็นบุคคลที่เหล่าทหารเคารพนับถือ ดังนั้นจึงอยากพบท่านสักครั้ง”
“บอกนางว่าข้ากำลังกินหมูหัน ไม่ว่าง” เยี่ยเม่ยตอบแล้วก็ยัดเนื้อเข้าปากคำหนึ่ง
มุมปากเซียวเยว่ชิงกระตุกเล็กน้อย
ความจริงในการคาดเดาของเขา ไม่ว่าเยี่ยเม่ยมีนิสัยแบบไหน แต่ยามนี้มีจวินซ่างนั่งอยู่ นางไม่มีทางไปพบท่านหญิงเหยาฉือ ไม่ว่าอย่างไรหน้าของท่านหญิงเหยาฉือจะเทียบกับจวินซ่างได้อย่างไร ในโลกนี้คงไม่มีใครเห็นแก่มู่หรงเหยาฉือท่านหญิงผู้หนึ่ง สลัดจวินซ่างทิ้งไปไม่ใส่ใจได้
“อย่างนั้นข้าจะกลับไปรายงานนาง” เซียวเยว่ชิงลอบถามหยั่งเชิงว่า “แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่าเมื่อไรมีเวลาว่างพบนาง”
เห็นเซียวเยว่ชิงยืนหยัดขนาดนี้ เยี่ยเม่ยกลับแปลกใจ
นางจ้องเซียวเยว่ชิง ถามว่า “ทำไมข้าต้องไปพบนางด้วย”
“นี่…” เซียวเยว่ชิงพลันสะอึกไปแล้ว ก็ไม่แปลก แม่นางเยี่ยเม่ยไม่มีเหตุผลให้พบท่านหญิงเหยาฉือให้ได้จริงๆ
ฝ่ายเยี่ยเม่ยรีบเอ่ยต่อว่า “นางคิดคบหากับข้าหรือ”
“ก็มิใช่!” เซียวเยว่ชิงเข้าใจแล้ว ไม่รู้ว่าสมองเขาถูกลาเหยียบเละไปแล้วหรือไง แม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้จักท่านหญิงเหยาฉือเลยด้วยซ้ำ ทำไมต้องไปพบอีกฝ่ายด้วยเล่า
เขาเพียงหลงคิดว่า ท่านหญิงเหยาฉือเป็นสตรีที่ใจกว้าง แม่นางเยี่ยเม่ยอาจชอบ บางทีอาจยินยอมไปพบสักครั้งก็เท่านั้นเอง
เวลานี้ดูท่าเขาคงคิดมากไปเอง แม่นางเยี่ยเม่ยยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านหญิงเหยาฉือเป็นคนใจกว้างเลย
เซียวเยว่ชิงรีบตอบว่า “อย่างนั้นข้าขอตัวก่อน!”
เซียวเยว่ชิง เอ่ยจบก็หมุนกายจากไปแล้ว
เสินเซ่อเทียนฟังถึงยามนี้ พลันยิ้มออกมา น้ำเสียงทรงอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเชื่อถือ เอ่ยว่า “ดูท่านางจริงใจกับเจ้าหนูนั่นจริงๆ! ออกเดินทางหลังจากข้าสองสามวัน กลับมาถึงชายแดนเวลาใกล้เคียงกับข้า!”
เฉิงเสี่ยวจวนกลอกตาทีหนึ่ง นั่นคงไม่ใช่เพราะผู้อื่นเดินทางไวหรอก ท่านเองต่างหากที่พบของอร่อยระหว่างทางหลายรอบจนเดินต่อไปไม่ไหว กินจนพอใจแล้วค่อยเดินทาง ในใจท่านไม่รู้บ้างหรือไง
เยี่ยเม่ยชะงักงัน
ดังนั้นเสินเซ่อเทียนหมายความว่า ท่านหญิงเหยาฉือผู้นี้มาเพราะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
คิดถึงยามนี้ นางได้แต่หัวเราะเย็นชา เอ่ยปากว่า “น่าเสียดายนักเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกจากชายแดนไปได้หลายวันแล้ว นางมาก็ไม่อาจพบคนที่อยากพบ รอนแรมมาถึงชายแดนนับพันลี้ ผลคือไม่ได้พบใครทั้งนั้น ข้ารู้สึกเห็นใจนางเหลือเกิน!”
พูดว่าเห็นใจ แต่ว่าหัวใจเยี่ยเม่ยยังไม่พอใจนัก นางรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีวาสนาด้านความรักไม่ใช่แย่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องซือถูเฉียงคนหนึ่งยังไม่ทันสะสางหมด ก็มีท่านหญิงเหยาฉือโผล่มาอีกแล้ว
เพียงแต่หวังว่าสตรีนางนี้จะสงบเสงี่ยม อย่าได้เพิ่มความวุ่นวายให้กับนาง
คิดถึงตรงนี้ นางก็ดื่มสุราอย่างกลุ้มใจคำหนึ่ง
ท่าทางดื่มสุราของเยี่ยเม่ย ตกอยู่ในสายตาของเสินเซ่อเทียนทำให้เขาเข้าใจว่า ในใจเยี่ยเม่ยไม่ว่าอย่างไรก็มีที่ว่างสำหรับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ต่อให้พวกเขาเลิกรากันแล้วก็ตาม
แต่ว่าเขาก็ไม่ถามมาก
ทว่าค่อยๆ เล่าว่า “มู่หรงเหยาฉือผู้นี้เป็นอัจฉริยะหญิงอันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉิน รูปงาม ฉลาดหลักแหลม มีความรู้ความสามารถ เป็นต้นแบบสตรีที่เพียบพร้อม ในเมืองหลวงบุรุษที่คิดแต่งงานกับนางมีจำนวนมาก กระทั่งเป่ยเฉินอี้ ก็รู้สึกดีกับนางเช่นกัน”
เสินเซ่อเทียนทางหนึ่งก็กินหมูหันด้วยท่าทางสง่างาม อีกทางหนึ่งก็เล่าเรื่องเหล่านี้ให้เยี่ยเม่ยฟัง
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถาม “เจ้าเองก็คิดแต่งงานกับนางหรือ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เสินเซ่อเทียนพลันหัวเราะออกมา น้ำเสียงทรงพลังแฝงไปด้วยความหยอกเอิน จ้องมองเยี่ยเม่ย “คนที่ข้าคิดตบแต่งด้วยคือใคร เจ้ามองไม่ออกหรือ”
ยามนี้เยี่ยเม่ยไม่ตอบ
ก็ถูก ป้ายคำสั่งของเสินเซ่อเทียนยังอยู่กับนาง ทั้งยังบอกว่าเป็นความจริงใจของเขาดังนั้นคิดโยนทิ้งก็ไม่อาจทิ้งได้
สตรีทั่วไปในเวลานี้สมควรประหม่าอยู่บ้าง
แต่สีหน้าของเยี่ยเม่ยไม่มีเงาของคำว่าประหม่าเลย ราวกับนางไม่รู้สึกว่าการสนทนาเรื่องการแต่งงานมีอะไรสมควรให้ขัดเขิน
นางเอ่ยว่า “ในเมื่อมู่หรงเหยาฉือดีเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่ชอบนาง ในเมื่อคนมากมายชอบนางไม่ใช่หรือ”
แววตาของเสินเซ่อเทียนเจือรอยยิ้ม ตอบตามสัตย์ “แต่ข้าคิดว่านางสู้เจ้าไม่ได้”
“สู้ไม่ได้ที่ใดกัน” เยี่ยเม่ยมองเขา จากความเคารพที่เซียวเยว่ชิงมีต่อมู่หรงเหยาฉือ นางรู้สึกไม่สบายใจเท่าไร มู่หรงเหยาฉือผู้นี้บางทีอาจไม่ใช่สตรีธรรมดาๆ แล้ว