บทที่ 567 การต่อสู้นองเลือด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 567 การต่อสู้นองเลือด

หยินฮูมองไปยังหลิงฉุยฟง หลิงยี่เทียน และคนอื่น ๆ รวมไปถึงทหารอีก 300 นายที่เดินออกมาประจันหน้ากับเขาด้วยสีหน้างุนงง

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ทางฝั่งของเขาจะได้รับความสูญเสียจากกองทัพมังกร หลูหลิง และ เก๋าหยู แต่พวกเขาก็ยังมีกันเหลืออีกกว่า 800 ตน

หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ทางฝั่งพวกเขามีอสูรระดับสวรรค์สามัญกว่า 800 ตน ซึ่งทางฝั่งอาณาจักรจันทราในตอนนี้กลับมีคนแค่ 300 กว่าคนเท่านั้นที่เข้าร่วมสมรภูมิรบนี้

เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าฝั่งอาณาจักรจันทราต้องการจะทำอะไรถึงได้ส่งคนออกมาน้อยแค่นี้

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัย เขาก็ไม่มีนิสัยหวาดกลัวอะไรง่าย ๆ ดังนั้นในเมื่อตอนนี้เขาได้เข้ามาอยู่ในสนามรบแล้ว เขาก็เตรียมใจที่จะสู้จนสุดชิวิต

หยินฮูตะโกนขึ้นไปหาหลิงยี่เทียน “ในฐานะที่พวกเจ้ามีความสามารถอยู่บ้าง ข้าจะให้โอกาสรอดสุดท้ายกับพวกเจ้า จงยอมจำนนต่อสันเขาหมื่นอสูรและเข้าร่วมกับพวกเราซะ แล้วพวกข้าจะยกโทษให้กับความผิดที่พวกเจ้าเคยก่อ!”

หลิงยี่เทียนหัวเราะเยาะ “เก็บลิ้นที่เจ้าพูดไว้ให้พวกข้ากินหลังจบศึกจะดีกว่า!”

เมื่อพูดจบ หลิงยี่เทียนก็นำกำลังคนทั้งหมด 300 กว่าชีวิตบุกเข้าหาหยินฮูก่อนทันที

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ หยินฮูก็รู้สึกทั้งงุนงงและเดือดดาลในเวลาเดียวกัน

เห็นชัด ๆ กันอยู่ว่าพวกเขามีกำลังคนมากกว่า 800 ตน และพวกเขาทุกตนมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับสวรรค์สามัญอีกต่างหาก แต่อาณาจักรจันทราที่มีเพียง 300 กว่าคนแถมมีไม่กี่คนที่อยู่ในระดับสวรรค์สามัญ คนเหล่านี้กลับพุ่งเข้ามาหาพวกเขาก่อนแบบนี้ได้ไง?

ถึงแม้ว่าหยินฮูจะไม่เข้าใจความคิดของพวกอาณาจักรจันทรา แต่เมื่อศัตรูบุกเข้ามาแล้วเขาก็จำเป็นต้องออกคำสั่งให้ทางฝั่งเขาเตรียมรับมือ

เผ่าอสรพิษเริ่มโจมตีโดยการปล่อยหมอกพิษไปยังกลุ่มของหลิงยี่เทียน พร้อมกับที่เหล่ามนุษย์หินอีกกว่า 200 ตนทำการกลั้นหายใจตัวเองและโคจรพลังทำให้ผิวหนังของตนเองแข็งแกร่งจนแม้แต่อาวุธระดับสวรรค์ยังไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้ และพุ่งเข้าไปแฝงตัวในหมอกพิษพร้อมกับบุกไปข้างหน้าตามทิศทางของหมอก

หลังจากนั้นทางด้านของเผ่ามนุษย์ต้นไม้ พวกเขาต่างก็ใช้ทักษะประจำเผ่าของตัวเองสร้างหนามไม้ขึ้นใต้พื้นดินไปทั่วสนามรบ

ส่วนทางด้านของเผ่ามนุษย์วิหค พวกเขาบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเร็วสูง และใช้ความเร็วของตนเองบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือหัวกลุ่มของหลิงยี่เทียน พร้อมกับปล่อยการโจมตีระยะไกลต่าง ๆ มากมายลงไปด้านล่าง

ในเมื่อการรบแตกหักได้เริ่มแล้ว พวกเขาจึงงัดเอาการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตัวอัดเข้าใส่หลิงยี่เทียนก่อน คาดหวังให้จักรพรรดิอาณาจักรจันทราผู้นี้ตายลงตั้งแต่แรกเริ่มการรบ

แต่แล้วเมื่อถึงช่วงเวลาที่กลุ่มของมนุษย์หินพุ่งเข้าถึงตัวของหลิงยี่เทียน จู่ ๆ ดอกไม้อันงดงามสีแดงโลหิตมากมายก็ปรากฏขึ้นเต็มไปทั้งสนามรบ

เมื่อเห็นภาพนี้ หยินฮูก็รู้สึกตกตะลึงและคิดในใจว่าทำไมดอกไม้นี้มันถึงดูคุ้น ๆ ตา?

แต่ถึงแม้ว่าเขายังคิดไม่ออกว่ามันคือดอกไม้อะไร เขาก็รู้ได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีงามสำหรับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงสั่งการกำจัดต้นตอของปัญหาทันที

หยินฮูชี้ไปทางโจวจื่อซินที่อยู่แนวหลัง และตะโกนว่า “จับนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

มนุษย์วิหคกว่า 50 ตน บินด้วยความเร็วสูงไปหาโจวจื่อซินทันทีหลังจากได้ยินคำสั่ง พวกมันบินพุ่งไปหานางราวกับลูกธนูที่ออกจากคันศร

โจวจื่อซินเห็นภาพเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อย่ามาหาข้าแบบนี้สิ เดี๋ยวนี้ข้าไม่กินเนื้อแล้วนะ!”

เมื่อพูดจบ ร่มขนาดยักษ์ก็กางขึ้นปกคุลมรอบตัวนาง

มนุษย์วิหคกว่า 50 ตนที่บินพุ่งเข้ามาหานางด้วยความเร็วสูง เมื่อพวกมันชนเข้ากับร่มยักษ์นี้ พวกมันก็รู้สึกเหมือนว่าพวกมันได้ชนเข้ากับเบาะนุ่นขนาดยักษ์และกระเด็นกลับออกไป ซึ่งพวกมันไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้ได้เลย

“ร่มต้านสวรรค์!” หยินฮูแหกปากร้องทันที

เขารู้ทันทีว่าหากยังมีร่มนี้ปกป้องอยู่ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะทำอะไรกับโจวจื่อซินได้แน่นอน และด้วยสิ่งนี้มันยิ่งทำให้เขาสงสัยว่าพวกคนอาณาจักรจันทรามันเป็นใครกันแน่ถึงสามารถมีของวิเศษเช่นนี้ไว้ในครอบครองได้?

ในระหว่างที่เขากำลังตกตะลึง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าระดับการบ่มเพาะของตัวเองลดลงจากระดับสวรรค์สามัญจนเหลือขอบเขตนภาระดับ 3

สีหน้าของหยินฮูซีดลงทันทีพร้อมกับกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง “นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น? ทำไมระดับการบ่มเพาะของข้ามันถึงเหลือแค่ขอบเขตนภาระดับ 3?”

ไม่ใช่แค่หยินฮูเท่านั้นที่รู้สึกขวัญผวา แต่บรรดาสัตว์อสูรทุกตนของสันเขาหมื่นอสูรก็ขวัญผวาเช่นกัน

บรรดาสัตว์อสูรทุกตนของสันเขาหมื่นอสูรต่างตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “ทำไมระดับการบ่มเพาะของพวกเราถึงหล่นลงมาอยู่ที่ขอบเขตนภาระดับ 3 กันหมดเลยแบบนี้!?”

เมื่อครู่ในระหว่างที่ทั้งสองกองทัพกำลังชุลมุนกัน บรรดาทหารของหลิงฉุยฟงทั้ง 450 นายที่ถูกสั่งให้คุ้มกันเหลียงเฟ่ยเอ๋อตรงแนวหลังก็แอบพานางมุดดินมายังใจกลางของสนามรบ จากนั้นเมื่อนางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะแล้ว นางก็เปิดใช้เหรียญตราผนึกสวรรค์ใส่พลพรรคของสันเขาหมื่นอสูรทันที ส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะทางฝ่ายของสันเขาหมื่นอสูรทุกตนลดระดับเหลือเพียงแค่ขอบเขตนภาระดับ 3!

ทางด้านของหลิงยี่เทียน และคนอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนี้พวกเขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาและเริ่มการสังหารหมู่ฝ่ายตรงข้าม

หลิงฉุยฟงสั่งให้ทหารที่ติดตามเขามาใช้ค่ายกลรบตุ่นปีศาจอเวจีเพื่อแปลงกายเป็นตุ่นปีศาจ ส่งผลให้พิษของเผ่าอสรพิษไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ ส่วนทางด้านของหลิงว่านจุนก็โบกธงรบโลหิตจักรพรรดิ เพื่อส่งพลังกฎแห่งพิษเข้าไปยังร่างกายของพวกเขาทุกคนให้มีภูมิต้านทานพิษของเหล่าอสรพิษ

หยินฮูที่เห็นว่าสถานการณ์มันไม่ดีแล้วแน่นอน เขาจึงตัดสินหันหลังกลับและบินหนีทันที

การถูกลดระดับการบ่มเพาะโดยไม่มีเหตุผลก็ว่าแย่แล้ว แต่นี่พวกเขากลับต้องมาเผชิญกับความสามารถต้านทานพิษได้เหมือนกับมังกรยักษ์นั่นอีก แบบนี้พวกเขาจะไปสู้ได้ยังไง?

นี่พวกเขากำลังเผชิญกับกลุ่มคนบ้าอะไรกัน?

เมื่อเห็นว่าผู้นำทัพของตนเองเริ่มหนี บรรดาอสูรที่ยังเหลือรอดชีวิตของสันเขาหมื่นอสูรก็เริ่มหนีจนแตกกระจายไปคนละทิศคนละทางเช่นกัน

แต่แล้วเมื่อพวกเขาเริ่มหนี เหล่าดอกไม้สีแดงที่ดูสวยงามก็พุ่งเข้ามาติดกับตัวพวกเขาและฉุดพวกเขาลงไปยังพื้นดิน จากนั้นมันก็เริ่มหยั่งรากลงไปที่พื้นเพื่อรั้งตัวพวกเขาเอาไว้

“นี่มันคือดอกบัวปีศาจกระหายโลหิต!” ใครบางคนของสันเขาหมื่นอสูรตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

คนเหล่านี้มันกล้าที่จะใช้ดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตได้ยังไง? ไอ้พวกดอกบัวเหล่านี้มันไม่สามารถแยกแยะว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรูได้ คนพวกนี้มันไม่กลัวว่าอาณาจักรตัวเองจะพังพินาศไปด้วยงั้นเหรอ?

ความคิดเช่นนี้ต่างผุดขึ้นในหัวของเหล่าผู้ที่มาจากสันเขาหมื่นอสูร

จากนั้นต่อมาอีก 2 ชั่วยาม โจวจื่อซินก็ใช้วิชาควบแน่นโลหิตพฤกษาสวรรค์สั่งการดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตให้ดูดพลังของเหล่าอสูรที่มาจากสันเขาหมื่นอสูรบางตัว และส่วนที่เหลือนางก็ทำการฆ่าทิ้งให้เหลือไว้แต่สภาพศพที่สมบูรณ์เพื่อให้คนอื่น ๆ แบ่งศพเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ และจากนั้นนางก็ทำการสลายเหล่าดอกบัวให้หายไป

เมื่อเห็นว่าการสู้รบจบสิ้นอย่างสวยงาม หลิงยี่เทียนก็สั่งขึ้นทันที “แจ้งกับทุกกองกำลังและทุกอาณาจักรในทะเลชางหมางให้พวกเขายอมจำนนซะให้หมดเดี๋ยวนี้ แต่ให้พวกเขายังคงรักษาบัลลังก์พวกเขาเอาไว้ก่อน รอเวลาจนกว่ากองทัพของข้าจะไปถึงเพื่อปลดฐานันดรพวกเขาให้เป็นสามัญชน!”

หลิงยี่เทียนวางแผนเอาไว้แล้วว่าหลังจากจบเรื่องกับสันเขาหมื่นอสูรเมื่อไหร่ เขาจะทำการปราบปรามทุกกองกำลังที่อยู่ในทะเลชางหมางเพื่อรวบรวมทะเลชางหมางให้เป็นปึกแผ่นทันที

ทางด้านของบรรดาเหล่ามนุษย์ที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าร่วมกับสันเขาหมื่นอสูร และได้เห็นภาพการรบทุกอย่างกับตาตัวเองพวกเขาก็รู้สึกตื่นตะลึง พวกเขามองไปที่บรรดาคนตระกูลหลิงราวกับว่าพวกเขามองเห็นปีศาจ

โดยเฉพาะที่พวกเขาเห็นว่าคนตระกูลหลิงสามารถบังคับดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตได้ดั่งใจนึก ซึ่งนี่มันเป็นสิ่งที่ขัดต่อสวรรค์โดยแท้

สีอี้เฉิง ผู้เป็นหลานชายของสีเป่ยเซียะ ที่ถูกส่งมาอยู่ร่วมกับอาณาจักรจันทราเพื่อเรียนรู้เรื่องราวในทะเลชางหมางก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ซึ่งมันก็ทำให้เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ในตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองรู้เรื่องราวของอาณาจักรจันทราอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่เมื่อวันนี้เขาได้มาเห็นภาพนี้มันก็ทำให้เขารู้ตัวว่าเขานั้นช่างอ่อนต่อโลกยิ่งนัก

ส่วนสีหน้าของบรรดาผู้ที่มีใจเป็นปรปักษ์กับอาณาจักรจันทราก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

อสูรจากสันเขาหมื่นอสูร 1,000 ตน ตายลงไปง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?

ต่อให้ไม่ต้องสนใจว่าเหล่าอสูรพวกนี้จะมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง แต่การสังหารสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสวรรค์สามัญพร้อม ๆ กันถึง 1,000 ชีวิตในเวลารวดเร็วแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไง?

ด้วยความแข็งแกร่งขนาดนี้พวกเขาจะเอาอะไรมาต้านไหว!?