บทที่ 568 คันฉ่องฟีนิกซ์

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 568 คันฉ่องฟีนิกซ์

หลังจากจบศึกที่เกาะวาฬยักษ์ ทัพอสูร 1,000 ตนของสันเขาหมื่นอสูรก็ถูกสังหารจนสิ้นซากไม่เหลือรอดแม้แต่ตนเดียว ซากศพของทัพอสูร 1,000 ตนถูกแบ่งสันปันส่วนให้กับทุกคนที่เข้าร่วมรบ แต่ผู้ที่ได้ส่วนแบ่งมากที่สุดคือ หลิงว่านจุน ซึ่งนำบรรดาเนื้อของซากศพเหล่านั้นไปพัฒนากองทัพมังกรของตนเอง

ในขณะเดียวกับที่สมาชิกครอบครัวของหลิงตู้ฉิงกำลังจัดการกับปัญหาของตัวเองอยู่นั้น หวงเซียะก็ได้พาองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 500 คนมาถึงอาณาเขตนภาเรียบร้อยแล้ว

ในขณะนี้ระดับการบ่มเพาะของหวงเซียะ พัฒนามาจนถึงระดับสวรรค์สามัญเป็นที่เรียบร้อย สาเหตุที่นางสามารถทะลวงระดับได้เร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะเลือดปีศาจฟีนิกซ์อเวจีที่นางได้รับมาจากการช่วยเหลือของหลิงตู้ฉิง เมื่อตอนที่อยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเป็นสาเหตุหลัก

และหลังจากที่นางทะลวงระดับสวรรค์สามัญได้สำเร็จและปรับระดับการบ่มเพาะใหม่จนเสถียรแล้ว นางก็รีบยื่นคำขอของนางไปกับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเรื่องการสืบสวนเมืองขนนกอัคคีที่ติดค้างอยู่ในใจนางมาโดยตลอด เพราะหลิงตู้ฉิงได้ใส่ความทรงจำนี้ไว้ให้เตือนนางอยู่เสมอ ซึ่งนางแสดงเจตนาอันแรงกล้าของตัวเองที่ต้องการไปสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเองโดยอ้างเหตุผลว่านางต้องการทำเพื่อเผ่าฟีนิกซ์ของนาง

เนื่องจากเหล่าผู้อาวุโสทุกคนต่างเอ็นดูนางเป็นที่สุดและให้ความสำคัญกับนางเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงไม่อยากขัดใจและยอมตกลงตามที่นางขอ

จากนั้นนางก็ได้นำองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 500 คนเดินทางไปยังเมืองขนนกอัคคีเพื่อสืบสวนตระกูลหนิงที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับเผ่าอสูร ซึ่งหลังจากที่นางไปถึงเมืองขนนกอัคคีและสืบสวนเรื่องราวอยู่ที่นั่นพักใหญ่ สุดท้ายนางก็พบหลักฐานที่ตระกูลหนิงร่วมมือกับเผ่าอสูรจริง ๆ ซึ่งมันทำให้นางต้องรีบเดินทางมาที่อาณาเขตนภาต่อเพื่อจัดการกับตระกูลผู้ทรยศซะ

องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์นับได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ของโลก

คุณสมบัติเบื้องต้นของเหล่าทหารที่จะสามารถเข้าร่วมกับองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ได้คือต้องสามารถควบแน่นร่างฟีนิกซ์ที่แท้จริงได้แล้วเท่านั้น และระดับการบ่มเพาะต่ำที่สุดของพวกเขาคือระดับสวรรค์สามัญหรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันก็ไม่ใช่ตัวตนที่หาดูยากในกองกำลังนี้

ส่วนองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ 500 นายที่หวงเซียะพามาด้วยนั้นองค์รักษ์ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุดคือระดับนักบุญ ซึ่งแน่นอนว่าไม่นับรวมผู้อาวุโสอีกสองคนที่แอบตามมาโดยที่หวงเซียะไม่รู้ตัว

หลังจากที่มาถึงอาณาเขตนภา หวงเซียะก็สั่งการกับเหล่าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทันที “พวกเจ้าจงออกไปหาข่าวมาทีว่าเมืองเจิ้นไห่อยู่ที่ไหน?”

เนื่องจากนางสืบทราบมาว่าขณะนี้พวกของหนิงเฟิงซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตนภา ซึ่งมันเป็นไปได้เป็นอย่างมากว่า หนิงเฟิงน่าจะอาศัยความพิเศษของทะเลชางหมางซ่อนตัวอยู่ในนั้น

หลังจากนั้นพวกนางก็ได้เข้าไปยังเมืองเจิ้นไห่และทำการประกาศให้รางวัลกับผู้ใดก็ตามที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนเผ่าฟีนิกซ์ที่ปรากฏตัวขึ้นแถว ๆ นี้ ซึ่งในเวลาไม่นานหลังจากที่นางปิดประกาศไป นางก็ได้รับข้อมูลว่ามีการพบเห็นคนของเผ่าฟีนิกซ์ในบริเวณรอบ ๆ นี้เมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมา

“คนส่วนหนึ่งของพวกมันหลบอยู่ในทะเลชางหมางจริง ๆ สินะ?” หวงเซียะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้ใดที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าหลุดพ้นสามัญให้ตามข้าเข้าไปในทะเลชางหมาง ส่วนที่เหลือให้แบ่งออกไป 3 กลุ่มแยกกันไปเฝ้าทางออกของทะเลชางหมางเอาไว้ทั้งหมด และจงใช้คันฉ่องฟีนิกซ์ส่องดูทุกคนที่เข้าออกทะเลชางหมางว่าใครมีสายเลือดฟีนิกซ์ หากพบเจอจงจับกุมตัวเขาไว้ทั้งหมดรอจนกว่าข้าจะออกมาอีกที”

เฟิงชิวหยุนรีบตอบรับทันที “บ่าวรับทราบ!”

เขาคือผู้ที่ได้รับคำสั่งของเหล่าผู้อาวุโสมาให้เป็นผู้นำองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 500 นายที่ติดตามหวงเซียะมาในครั้งนี้ ซึ่งระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับนักบุญ

ในตอนนี้จากคำสั่งของหวงเซียะ เขาจึงทำการแบ่งกองกำลังของเขาออกเป็น 4 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มขององค์รักษ์ระดับสวรรค์สามัญทั้ง 57 นายนั้นเขาจัดให้ตามหวงเซียะเข้าไปในทะเลชางหมางทั้งหมด ส่วน 443 นายนั้นเขาก็ให้แยกกันเป็น 3 กลุ่มและส่งไปเฝ้าทางออกทั้งสามทางของทะเลชางหมางพร้อมกับใช้อำนาจของคันฉ่องฟีนิกซ์ส่องดูทางออกทุกด้านไว้ด้วยเช่นกัน

คันฉ่องฟีนิกซ์ นั้นคือสมบัติวิเศษของภูเขาฟีนิกซ์ ซึ่งความสามารถของมันคือการส่องทะลุเปลือกนอกใด ๆ ก็ตามเพื่อสืบทราบว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีสายเลือดที่มาจากอะไร หรือแม้แต่สามารถเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของผู้ที่กำลังใช้วิชาพรางกายเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองอยู่มันก็ทำได้

เมื่อเห็นว่าหวงเซียะได้เข้าไปในทะเลชางหมางพร้อมกับองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ 57 นาย ผู้อาวุโสทั้งสองที่ตามนางมาอย่างเงียบ ๆ ก็มองหน้ากันและยิ้มอย่างขมขื่น

“นังหนูของพวกเราพาคนเข้าไปในทะเลชางหมางแค่นั้น มันคงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับนางใช่ไหม? ในทะเลชางหมางนั้นมีเหล่ากองกำลังมากมายหลายฝ่ายแฝงอยู่จนมันยุ่งเหยิงไปหมด ข้าล่ะกังวลจริง ๆ ว่าถ้าเกิดอะไรกับนางขึ้นมา ข้าคงจะต้องเสียใจจนตายแน่ ๆ”

“มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับนางหรอก เจ้าอย่าลืมสิว่าก่อนที่นางจะทะลวงระดับมาอยู่ที่สวรรค์สามัญ นางมีพื้นฐานมาจากขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 14 เชียวนะ แม้แต่ข้ายังรู้สึกได้เลยในเวลาที่นางอยู่ใกล้ ๆ ว่าวิญญาณของข้ามันกำลังถูกกดดันอยู่ ข้าคิดว่ามันคงไมมีผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญคนไหนในทะเลชางหมางที่สามารถเอาชนะนางได้หรอก”

“และถ้าจะให้พูดตามความจริง ข้าพอใจในตัวของนางตอนนี้มากกว่าตัวของนางในอดีตซะอีก ในตอนนี้ข้าได้เห็นว่านางกลายเป็นคนที่จริงจังมากขึ้นและพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับเผ่าฟีนิกซ์ของเราอย่างเต็มที่ ข้าคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเผ่าฟีนิกซ์ของเราในอนาคตคงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก หรือไม่แน่ยุคนี้มันอาจจะเป็นยุคของพวกเราเผ่าฟีนิกซ์เลยก็ได้”

“เฮ้อ ถ้าระดับการบ่มเพาะของนางสูงกว่านี้สักหน่อย ข้าก็คงไม่ห่วงนางเท่ากับตอนนี้”

“นางเพิ่งจะอายุ 200 ปี แต่ระดับการบ่มเพาะของนางในตอนนี้อยู่ในระดับสวรรค์สามัญแล้ว เจ้าจะยังไม่พอใจอะไรอีก?”

“…..”

แน่นอนว่าหวงเซียะไม่ได้รู้เรื่องบทสนทนาเหล่านี้ของผู้อาวุโสทั้งสองแม้แต่น้อย นางพาองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 57 นายเข้าไปในทะเลชางหมางด้วยสีหน้ามุ่งมั่น แต่แล้วเมื่อนางเข้าไปในทะเลชางหมาง นางกลับต้องประหลาดใจกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่แปรเปลี่ยนไปในที่แห่งนี้ ซึ่งมันไม่ตรงกับทุกสิ่งทุกอย่างนางเคยได้ยินมา

ตามรายงานที่นางเคยได้รับ ทะเลชางหมางคือสถานที่ที่วุ่นวายที่สุด เนื่องจากมันมีกลุ่มกองกำลังมากมายแฝงตัวอยู่ แต่แล้วทำไมตอนนี้บรรดาเกาะแทบจะทุกเกาะในทะเลชางหมางกลับถูกอาณาจักรจันทรายึดครองได้หมดแล้ว?

แต่หลังจากงุนงงไปได้สักพัก นางก็เลือกที่จะไม่สนใจ เนื่องจากเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีผลอะไรกับนางทั้งนั้น นางไม่ได้มาที่นี่เพื่อมายึดครองหรือตามหาสมบัติในทะเลชางหมาง นางมาที่นี่เพื่อไล่ล่าเหล่าผู้ทรยศก็เท่านั้น

นางหยิบคันฉ่องฟีนิกซ์ขึ้นมาพร้อมกับเริ่มเปิดใช้งานมันเพื่อแกะรอยเหล่าผู้คนที่มีสายเลือดฟีนิกซ์ที่อยู่ในทะเลชางหมางแห่งนี้

แต่แล้วในทันทีที่นางเริ่มใช้งานคันฉ่องฟีนิกซ์ อำนาจของคันฉ่องก็ถูกข่มไว้โดยอำนาจของผนึกที่อยู่ในทะเลชางหมางทันทีจนมันสามารถสำแดงอำนาจได้แค่อยู่ในสมบัติระดับสวรรค์

หวงเซียะมองไปที่กระจกของคันฉ่องด้วยสีหน้าเศร้า จากนั้นนางก็พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าจนใจ “เฮ้อ สงสัยการหารอบนี้มันคงจะนานกว่าที่คิด…”

ถ้าหากอำนาจของคันฉ่องฟีนิกซ์ไม่ถูกข่มไว้ นางจะสามารถใช้มันส่องดูได้ทั่วทั้งเกาะภายในคราวเดียว แต่เมื่อมันถูกข่มอำนาจเอาไว้แบบนี้อย่าว่าแต่จะส่องดูทั้งเกาะ แค่ส่องดูเมืองก็ยังส่องดูได้ไม่ครบทั่วเมืองเลยด้วยซ้ำ

ด้วยความเร็วเช่นนี้ พวกเขาจะไปตามจับเหล่าผู้ทรยศได้ยังไง?

โดยเฉพาะถ้าหากเหล่าผู้ทรยศย้ายที่ซ่อนไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็คงไม่มีวันหาเจอแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวงเซียะก็รู้สึกหงุดหงิดในใจและพูดขึ้นว่า “มุ่งหน้าไปที่อาณาจักรจันทรากันก่อน ข้าคงจำเป็นต้องไปขอให้จักรพรรดิของอาณาจักรจันทราช่วยพวกเราตามหาเหล่าผู้ทรยศ!”

ทั้งทะเลชางหมางในตอนนี้ อาณาจักรจันทราคือขุมกำลังที่มีอำนาจที่สุดและพวกเขายังครอบครองเกาะแทบจะทุกเกาะไปเรียบร้อยแล้ว

หากนางได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรจันทรา การตามหาเหล่าผู้ทรยศมันก็จะง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก

เมื่อพูดจบ หวงเซียะก็พาเหล่าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 57 นายไปหาหลิงยี่เทียน ซึ่งในตอนนี้อยู่ที่เกาะน้ำเต้า

แต่แล้วหลังจากที่นางมาถึงเกาะน้ำเต้า นางก็ถูกหยุดไว้โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญนับร้อย

“หยุดก่อน! แม่นาง พวกท่านมีธุระอะไรถึงได้มาที่อาณาจักรจันทราของพวกเรา” แม่ทัพของกองทัพศักดิ์สิทธิ์ อู่หยุนจี๋ เอ่ยขึ้นถาม

หวงเซียะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้า หวงเซียะ จากภูเขาฟีนิกซ์ขอเข้าพบกับจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทราเพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญบางอย่าง”

“แม่นางโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปแจ้งให้ฝ่าบาททราบเดี๋ยวนี้” อู่หยุนจี๋รีบตอบกลับทันที