ตอนที่ 837 สหายเก่าแก่ ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 837 สหายเก่าแก่ ( 1 )

‘ตึ่ง… ! ’

เสียงระฆังยามรุ่งสางดังสนั่นปลุกคนทั้งเมืองกวนหยุนให้ตื่นจากห้วงภวังค์ของการหลับใหล

ไฟสองข้างทางค่อย ๆ สว่างไสวขึ้นทีละดวง ควันโขมงจากห้องครัวลอยล่องขึ้นสู่ท้องนภาที่ยังคงมืดมิด

สำหรับชาวเมืองกวนหยุน นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเขาล้วนเบิกบานใจมากกว่าแต่ก่อน เพราะทุกวันนี้องค์ชายผู้มีชื่อเสียงได้หวนคืนกลับมาแล้ว อีกทั้งยังขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิแล้วด้วย !

พระองค์ได้นำของขวัญชิ้นใหญ่กลับมายังราชวงศ์อู๋ และหนึ่งในนั้นคืออดีตแคว้นฮวงที่ทุกวันนี้ได้กลายเป็นเขตปกครองตนเองภายใต้ราชวงศ์อู๋ !

สองคือผืนปฐพีทั้งหกรัฐทางภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่เคยเป็นของแคว้นอี๋ทั้งหมด บัดนี้ได้กลายมาเป็นหกรัฐทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราชวงศ์อู๋แล้ว !

และสาม ฝ่าบาทได้เปลี่ยนชายแดนแคว้นอี๋และเมืองซินโจวของราชวงศ์หยูให้กลายเป็นอาณาเขตสำคัญทางการค้าของราชวงศ์อู๋แล้วด้วย

นี่หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ?

หมายความว่าพระองค์ได้ทำการขยายอาณาเขตตั้งแต่ยังมิได้ขึ้นครองบัลลังก์เยี่ยงไรเล่า !

ทุกวันนี้ราชวงศ์อู๋จึงเป็นแคว้นที่มีอาณาเขตกว้างขวางที่สุด !

มีกลุ่มผู้ค้าขายมากหน้าหลายตาเดินทางมาจากแคว้นฝาน แคว้นหยู และแคว้นอี๋ พวกเขารวมตัวกันที่เมืองกวนหยุนเพื่อจับตามองความยิ่งใหญ่ของการขึ้นครองบัลลังก์ และเฝ้ารอวันที่ฝ่าบาทจะแถลงนโยบายใหม่

เห็นได้ชัดว่าผู้ค้าขายเหล่านี้กำลังจับตามองอนาคตอันสดใสของราชวงศ์อู๋อยู่ ในฐานะราษฎรชาวอู๋ พวกเขาย่อมรู้สึกภาคภูมิจนล้นปรี่

ความภาคภูมินี้ฉายชัดบนใบหน้าของชาวอู๋ทุกคน แม้ลมหิมะจะโหมกระหน่ำเพียงใด พวกเขาก็ยังคงรู้สึกปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด

ราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากพึ่งพาและฝากชีวิตเอาไว้ !

บนผืนปฐพีนี้มิมีแคว้นใดสามารถสู้รบกับราชวงศ์อู๋ได้อีกแล้ว ทั่วหล้านี้ไร้องค์ประมุขใดสามารถเทียบเคียงกับจักรพรรดิเต๋อจงของพวกเขาได้อีกแล้ว !

วันนี้เป็นวันประชุมราชสำนักคราใหญ่นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ ในการประชุมครานี้พระองค์จะแถลงมาตรการในการปฏิรูปมากมายเฉกเช่นเดียวกับที่ว่อเฟิงเต้า สถานะของผู้ค้าขายจะถูกยกระดับและการค้าคงราบรื่นมากกว่าที่เคยเป็นมา

พวกเขาล้วนเฝ้ารอท่ามกลางควันฟืนยามรุ่งอรุณ

ประตูของตลาดห้างร้านต่าง ๆ ทยอยเปิดทำการหลังเสียงระฆังส่งสัญญาณ แผงลอยอาหารเช้าตามสองข้างทางก็ได้เปิดให้บริการแล้วเช่นกัน

น้ำในหม้อเริ่มเดือดปุด ๆ หลังจากที่ไฟในเตาถ่านปะทุขึ้นมา หม้อนึ่งค่อย ๆ ส่งไอร้อนระอุออกมาให้เห็น

เถ้าแก่ร้านซิ่งหลินจี้และลูกน้องยุ่งจนมือเป็นระวิง พวกเขานวดแป้ง ยัดไส้ และนึ่งอย่างเบิกบานใจ

ในฐานะร้านที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่นับร้อยปี ทั้งฮะเก๋า ซาลาเปาไส้มันปู และแป้งข้าวทอดกรอบ ล้วนเป็นสุดยอดอาหารของเมืองกวนหยุนทั้งสิ้น

จะว่าไปแล้วการออกมาเตรียมของในช่วงเวลานี้อาจจะเร็วไปสักหน่อย แต่สำหรับร้านอาหารเช้าก็ต้องเป็นเช่นนี้แหละ ต้องเตรียมเสียแต่เนิ่น ๆ มิเช่นนั้นก็จะมิทันการ

ในระหว่างที่หลินอีเสียงเถ้าแก่ร้านซิ่งหลินจี้กำลังนวดแป้งฮะเก๋าที่ตนถนัดอยู่ ก็ได้ปรากฏคนสี่คนเดินฝ่าพายุหิมะเข้ามา

“เชิญด้านในขอรับ…” เขาเอ่ยต้อนรับ จากนั้นก็หันไปแผดเสียงสั่งลูกน้องในร้าน “หลี่ซานรีบจุดเตาผิง มีลูกค้าเข้ามาแล้วอากาศหนาวเย็นมากยิ่งนัก อย่าปล่อยให้ลูกค้าแข็งตายเพราะความหนาวล่ะ ! ”

“รับทราบขอรับ… ! ”

“คุณชายโปรดรอสักครู่ อาหารชนิดแรกจะถูกยกออกจากหม้อนึ่งในอีกครึ่งถ้วยชาขอรับ ! ”

ลูกค้าที่มาเป็นชายหนุ่มสี่คน คนที่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ จากนั้นก็ได้ถอดหมวกกันพายุหิมะออก สะบัดเกล็ดหิมะออกจากศีรษะเบา ๆ “ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าเมื่อได้ลิ้มลองอาหารเช้าของซิ่งหลินจี้แล้ว พวกเจ้าจะกินอาหารเช้าของชาวหยูมิลงอีกเลย”

ชายหนุ่มด้านหลังหัวเราะร่าพลางเอ่ยว่า “โดนเจ้าล่อลวงมาถึงนี่แล้ว ข้าคงต้องลองสักหน่อยแล้วล่ะ”

เมื่อเถ้าแก่หลินได้ยินดังนั้นก็ฉีกยิ้มกว้าง “คุณชายทั้งสี่มาจากราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มตอบเขาว่า “ตัวข้ามาจากว่อเฟิงเต้า ส่วนพวกเขานั้น…อ้อมมาจากแคว้นอี๋แล้วเข้ามายังเมืองกวนหยุนแห่งนี้”

“ได้ยินมาว่า ชาวอี๋สามารถเดินทางมาที่นี่ได้โดยมิต้องมีหนังสือข้ามแดนแล้วจริงหรือขอรับ ? ”

หัวหน้ากลุ่มเดินเข้าไปในร้าน คนหนุ่มอีกสามคนด้านหลังจึงเดินเข้าไปติด ๆ

“ติ้งอันป๋อ…อ่า มิใช่สิ จักรพรรดิเต๋อจงมิได้ทำลายแคว้นอี๋จนสิ้นหรอก พระองค์ทรงแต่งตั้งจักรพรรดิขึ้นมาใหม่ จักรพรรดิพระองค์นั้นก็เคยมาเยือนผืนปฐพีของพวกเจ้าเช่นกัน จริงสิ ! พระองค์มาเยือนตอนงานชุมนุมวรรณกรรมเมื่อสองปีก่อน ทรงมีพระนามว่าเยียนหานยวี่ ในยามที่พวกเราเดินทางมาก็พบว่าบัดนี้การเดินทางตั้งแต่แคว้นอี๋จนถึงแคว้นอู๋ ซึ่งมิเพียงแค่พวกเราเท่านั้น ชาวหยูหรือชาวฮวงก็ยังสามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบาย”

หัวหน้ากลุ่มนั่งลงข้างเตาผิงแล้วเอ่ยว่า “หยูซิ๋งเจี่ยน พวกเจ้าเดินทางไปยังเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนมาแล้วเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“มิค่อยได้เรื่องได้ราวสักเท่าใดนัก…” หยูซิ๋งเจี่ยนและอีกสองคนที่เหลือนั่งลงข้างเตาผิงเช่นกัน “บัดนี้การค้าขายที่ได้รับความนิยมสูงสุดของเขตปกครองตนเองคือการลักลอบค้าเกลือ ขอเพียงแย่งชิงสินค้ามาได้ แล้วส่งไปยังสองฝั่งของแม่น้ำแยงซีก็จะขายได้กำไรมากถึงสองเท่าตัว”

“กำไรสูงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”

“อู๋หยา กำไรสูงก็จริงแต่หาซื้อได้ยากเสียเหลือเกิน นาเกลือมู่หยางส่งเกลือไปขายที่เมืองการค้าซินโจวและเมืองการค้าหลานฉีแห่งละ 30,000 ชั่งต่อวันเท่านั้น พ่อค้าเกลือปักหลักรออยู่หน้าแผงขายเกลือแทบจะตลอดเวลา อากาศเย็นยะเยือกถึงเพียงนี้ก็มิหวั่นว่าจะแข็งตาย ! ”

หวางซุนอู๋หยาตกตะลึงขึ้นมาในทันใด “เยี่ยงนี้คนที่อยู่แถวหน้าสุดมิกว้านซื้อจนเกลี้ยงเพียงชั่วอึดใจเดียวเลยหรือ ? ”

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” หลู่ซีฮุ่นถลึงตาโตใส่หวางซุนอู๋หยา “ติ้งอันป๋อ อ่า…เรียกติ้งอันป๋อจนชินปากไปเสียแล้ว จักรพรรดิเต๋อจงได้วางกฎระเบียบให้แต่ละคนซื้อกลับไปได้เพียงแค่ 10 ชั่งต่อวันเท่านั้น เมื่อพระองค์จำกัดปริมาณการซื้อ เหล่าพ่อค้าเกลือก็ตกตะลึงกันเป็นแถบ แต่เพราะกำไรของเกลือมากถึงสองเท่า จึงเป็นเหตุให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ของสองเมืองการค้านี้ขึ้นมา”

หวางซุนอู๋หยายื่นศีรษะเข้าไปเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ธุรกิจใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลู่ซีฮุ่นฉีกยิ้มแล้วตอบว่า “ธุรกิจรับหิ้วสินค้า ! ”

“มันเป็นเยี่ยงไรกัน ? ”

“แต่ละคนจะโดนจำกัดการซื้อเกลือ 10 ชั่งมิใช่หรือ ? เช่นนั้นก็เชิญคนมาเข้าแถวซื้อเสียเลย ! โดยให้ค่าตอบแทนคนละ 20 อีแปะ เมื่อซื้อเกลือได้สำเร็จแล้วก็ส่งมอบให้กับพ่อค้าเกลือ จากนั้นพ่อค้าเกลือก็จะจ่ายค่าแรงให้ เจ้าคงมิรู้หรอกว่าเมืองทั้งสองแห่งนี้มีผู้รับหิ้วเกลือมากเพียงใด”

หวางซุนอู๋หยาขมวดคิ้วมุ่น “ในเมื่อจักรพรรดิเต๋อจงควบคุมปริมาณการซื้อเกลือ อีกทั้งยังมิขึ้นราคา เช่นนั้นก็ขายให้คน ๆ เดียวมิง่ายกว่าหรือ ? ”

โจ่งจี้ถังหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้ายังมิเข้าใจอีกหรือว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใด พวกเรารู้อยู่เต็มอกว่าการค้าจะรุ่งเรืองได้ก็ต่อเมื่อหนึ่งได้รับความนิยมมากพอและสองมีราคาที่จับต้องได้”

“เมื่อพระองค์จำกัดการซื้อขาย คนที่รับซื้อก็แห่เข้ามาอย่างล้นหลามซึ่งหมายความว่าได้รับความนิยม ! จะว่าไปแล้วเมื่อคนเหล่านี้มีรายได้จากการรับซื้อ พวกเขาย่อมจับจ่ายใช้สอยในสองเมืองการค้านั้น เจ้าลองคิดดูเถิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจคึกคักขึ้นเพียงใด ? ”

หวางซุนอู๋หยาตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง “ทำเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ ? ”

“ข้าจะบอกอันใดให้ หากจักรพรรดิเต๋อจงจำกัดปริมาณการซื้ออยู่ที่ 1 คนต่อ 1 ชั่ง… จะต้องมีผู้หลั่งไหลเข้าไปในสองเมืองการค้าอย่างล้นหลามเป็นแน่”

เกลือ 1 ชั่งราคา 500 อีแปะ แต่เมื่อถูกขนส่งมาถึงสองฝากฝั่งของแม่น้ำแยงซีราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นถึง 1 ตำลึงต่อ 1 ชั่ง แต่พวกเขากลับจ่ายค่าจ้างหิ้วเกลือเพียงแค่ 20 อีแปะเท่านั้น ถือเป็นเงินจำนวนน้อยนิด

เมื่อเถ้าแก่หลินได้ยินดังนั้น จึงยกฮะเก๋าเดินมาที่โต๊ะของชายหนุ่มทั้งสี่คน “เพราะฝ่าบาทของพวกเราทรงมีพระเมตตาอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากขายที่ 800 อีแปะก็น่าจะมีคนแย่งซื้อ ช่างน่าเสียดายที่ข้าไร้โอกาสได้ลิ้มลองเกลือชนิดนี้ ได้ยินว่ารสชาติของเกลือล้ำเลิศมากยิ่งนัก ทั้งยังไร้รสชาติขมฝาด หากนำมาใช้ในการปรุงอาหารก็คงจะอร่อยกว่าเดิมมากโข… ว่าแต่คุณชายทั้งสี่ต้องการทานอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“นำอาหารแนะนำของเจ้ามาอย่างละจานก็แล้วกัน”

“รับทราบขอรับ…”

ยังมิทันสิ้นเสียง ก็มีคนเดินเข้ามาทางประตูร้านอีกสองคน

หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มที่เห็นหวางซุนอู๋หยากับพวกแล้วยิ้มร่าออกมาด้วยอารามดีใจ “พบเจอสหายเก่าแก่เข้าแล้ว ! ”