ตอนที่ 838 สหายเก่าแก่ ( จบ )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 838 สหายเก่าแก่ ( จบ )

หยูซิ๋งเจี่ยนยืนขึ้น จากนั้นก็ยกมือขึ้นคารวะ

“ไอหยา น้องฉาวเฟิงกับน้องสะใภ้ รีบเข้ามานั่งเร็วเข้า ! ”

สองคนที่เพิ่งเข้ามาในร้านก็คือหวังฉาวเฟิงและจังชีเยวี่ยจากเมืองว่อเฟิงนั่นเอง

ทั้งสองเข้ามานั่งอย่างมิเกรงใจ จังชีเยวี่ยยิ้มปราศรัย แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พี่ชายทั้งสี่มีกิจอันใดให้ทำตื่นแต่เช้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“จะมีกิจอันใดได้อีกเล่า นอกจากรอฟังข่าวการประชุมของติ้งอัน… มิใช่สิ ! รอฟังข่าวการประชุมราชสำนักคราใหญ่ของจักรพรรดิเต๋อจงเยี่ยงไรเล่า”

“ฮ่าฮ่า พวกเราก็เช่นกัน นอนก็นอนมิหลับจึงรีบตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้ายังจะดีเสียกว่า”

ทุกคนเคยพบกันที่เมืองว่อเฟิงมาก่อนแล้ว ต่างฝ่ายต่างมิรู้สึกแปลกหน้า และการได้พบเจอกันอีกคราในต่างถิ่นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

“น้องหวังและน้องสะใภ้มาถึงราชวงศ์อู๋เป็นกลุ่มแรก ๆ พวกเจ้าไปที่ใดมาแล้วบ้าง ? ” โจ่งจี้ถังเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“เอ่ยไปแล้วก็เกรงว่าพวกท่านจะตกใจ ! ” หวังฉาวเฟิงฉีกยิ้มกว้าง “ข้าและชีเยวี่ย…ออกจากเมืองว่อเฟิงตั้งแต่เดือนเก้า กว่าจะถึงที่นี่ก็ปลายเดือนสิบพอดี ช่วงระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาพวกข้าเดินทางไปยังรั่วซีโจวและไปชิงหัวโจวทางเขตใต้ สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการปลูกหม่อนเลี้ยงหนอนไหมมิแพ้ที่ชิงโจวของว่อเฟิงเต้า”

หยูซิ๋งเจี่ยนเบิกตาโพลง “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ข้าจะเอ่ยเท็จเพื่ออันใดกันเล่า ? ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องหวัง ตระกูลของซิ๋งเจี่ยนก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอเช่นกัน เจ้านำความลับทางธุรกิจมาเปิดเผยเช่นนี้ มิกลัวว่าเขาจะนำไปบอกตระกูลเพื่อรีบชิงโอกาสก่อนหรือเยี่ยงไร ? ” หวางซุนอู๋หยาเอ่ยพลางหัวเราะร่า

“ตลาดใหญ่โตถึงเพียงนี้มีสิ่งใดให้หวั่นกลัวกันเล่า ? ข้าจะบอกพวกท่านเอาไว้ว่าทักษะสิ่งทอของทั้งราชวงศ์อู๋เทียบมิได้กับที่ราชวงศ์หยูเลยสักนิด ความสามารถในการผลิตของโรงงานเราสูงกว่ามากโข ผ้าไหมและผ้าแพรที่ทอออกมาก็คุณภาพดีกว่าที่นี่ถึงสองเท่าเลยทีเดียว…”

หวังฉาวเฟิงชูสองนิ้วขึ้นมาแล้วเอ่ยต่อว่า “หากต้องแย่งชิงตลาดกันจริง ๆ เมื่อโรงงานทอผ้าออกมาแล้ว ข้าจะนำไปวางขายตามราคาท้องตลาดโดยมิขึ้นราคา นี่ย่อมทำให้โรงงานทอผ้าท้องถิ่นหลงทิศหลงทางเป็นแน่”

“ผลลัพธ์ที่ตามมาพวกเราอาจจะฮุบผลประโยชน์ไว้เพียงฝ่ายเดียวได้ หรือไม่ก็…พวกเขาอาจจะสามารถปรับปรุงฝีมือการทอผ้าขึ้นมาได้ ดังนั้นพี่ซิ๋งเจี่ยน นี่เปรียบดั่งโมโมที่หมอเย้ายวน จำต้องลงมือทานให้ทันท่วงที อ่า…จริงสิ พวกท่านลองทายดูสิว่าข้าไปเจอผู้ใดที่ชิงหัวโจวเข้ากัน ? ”

หวังฉาวเฟิงเอ่ยถามเพื่อให้ทุกคนอยากรู้ แต่หลู่ซีฮุ่นกลับตอบทันทีว่า “ต้องเป็นซือหม่าเทาจากตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิวอย่างแน่นอน ! ”

“จะมิลังเลกันสักหน่อยหรือ ? แต่ก็เป็นซือหม่าเทาจริง ๆ นั่นแหละ ! เจ้าหมอนั่นลงหลักปักฐานที่ชิงหัวโจวและได้กระจายตัวครอบคลุมทั้งสามอำเภอภายใต้การปกครองของชิงหัวโจว เมื่อข้าไปดูก็พบว่าอำเภอที่มีตัวหนอนไหมคุณภาพดีที่สุดถูกเขาครอบครองไปแล้ว ข้าจำต้องถอยหนึ่งก้าวแล้วไปจับจองในสองอำเภอภายใต้การดูแลของรั่วซีโจวแทน”

“พวกเจ้าเร็วยิ่งกว่าแสงเสียอีก มิเหลือแม้แต่กระดูกให้ข้าแทะ ! ” หยูซิ๋งเจี่ยนบ่นเพราะรู้สึกมิได้รับความเป็นธรรม ส่วนโจ่งจี้ถังชำเลืองมองเขาหนึ่งครา “เพราะเจ้ามัวแต่ไปค้าเกลืออยู่ที่เมืองซินโจวเยี่ยงไรเล่า ภาคการค้าแห่งราชวงศ์อู๋จึงถูกผู้อื่นครอบครองไปทั้งหมดแล้วเยี่ยงนี้ ! ”

แน่นอนว่าคำเอ่ยฟังดูเกินจริงไปสักหน่อย เพราะราชวงศ์อู๋มีอาณาเขตกว้างขวางและมีราษฎรมากที่สุด เศรษฐกิจก็พอใช้ได้จึงทำให้มีกำลังซื้อมากกว่าแคว้นอื่น พื้นที่ค้าขายย่อมถูกแย่งชิงไปได้อย่างง่ายดาย

การประกอบธุรกิจนั้นคนที่เร็วกว่าย่อมได้เปรียบ นี่เป็นเหตุผลที่หวังฉาวเฟิงและจังชีเยวี่ยรีบเดินทางมายังราชวงศ์อู๋เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ

หวังฉาวเฟิงเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “แต่…การที่ซือหม่าเทาลงหลักปักฐานในชิงหัวโจวถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญมากยิ่งนัก เพราะชิงหัวโจวเป็นฐานที่มั่นของตระกูลหานหนึ่งในเจ็ดตระกูลยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งราชวงศ์อู๋ ตระกูลหานผูกขาดตลาดสิ่งทอของแคว้นนี้ เมื่อซือหม่าเทาเข้าไปแทรกแซงก็มิเท่ากับว่าเป็นการเปิดศึกกับเจ้าถิ่นหรอกหรือ ! ”

“ฮึ ๆ ๆ ทุกวันนี้ซือหม่าเช่อก็ได้เข้ามาอยู่ในวังหลังแล้ว เกรงว่าการที่ซือหม่าเทากล้าเหยียบย่ำเจาถิ่น เขาก็คงวางแผนมาดีแล้วเช่นกัน”

หวังฉาวเฟิงครุ่นคิด…หรือว่านี่คือเจตนารมณ์ของฟู่เสี่ยวกวนกัน ?

โจ่งจี้ถังเอ่ยแทรกบทสนทนาในที่สุด “พระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว นี่ย่อมเป็นผลดีต่อผู้ค้าขาย ในภายภาคหน้าย่อมมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ราชวงศ์อู๋มากยิ่งขึ้น บัดนี้ข้าสนใจการค้าขายที่เมืองเปียนเฉิงเสียเหลือเกิน รอสะสางธุระที่นี่เสร็จแล้ว ข้าจะเดินทางไปสำรวจที่เมืองเปียนเฉิงสักหน่อย”

“พวกเจ้าคิดว่า…ที่เมืองเปียนเฉิงมีเสถียรภาพหรือไม่ ? ” หวางซุนอู๋หยาเอ่ยถามขึ้นมา ฝ่ายหลู่ซีฮุ่นส่งสายตาห้ามปราม จากนั้นก็เอ่ยเบา ๆ ว่า “ในเมื่อเมืองการค้าซินโจวมีเสถียรภาพเยี่ยงไร เมืองเปียนเฉิงก็ย่อมมีเสถียรภาพเช่นนั้น จงอย่าลืมว่าพระองค์เป็นราชบุตรเขยของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู ! ”

หวางซุนอู๋หยาพยักหน้า “เช่นนั้น…ก็ต้องรอนโยบายของจักรพรรดิออกมาก่อนสินะ ? ”

“ใช่ ! และในวันนี้ก็น่าจะมีนโยบายออกมาแล้ว”

เสี่ยวเอ้อยกอาหารมาวางบนโต๊ะ คนทั้งหกจึงจับชามและตะเกียบคีบอาหารขึ้นมากินคำโต

จังชีเยวี่ยเคี้ยวฮะเก๋าอย่างละเลียด ทว่าในใจของนางกำลังนึกถึงชายหนุ่มที่นางเคยเจอนับครั้งมิถ้วน เมื่อตอนที่อาศัยอยู่ที่เมืองว่อเฟิง

เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว เขาก็สามารถปราบแคว้นฮวงจนหายไปจากแผนที่ได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถพลิกผืนปฐพีกว้างใหญ่ของแคว้นอี๋ได้ด้วย ทุกวันนี้เขากลายเป็นเจ้าของผืนปฐพีผืนใหญ่…ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับความฝันจนยากที่จะเชื่อว่าคือเรื่องจริง

ต่อจากนี้ก็มิสามารถพบเจอเขาได้โดยง่ายอีกต่อไปแล้ว หรือแม้แต่บรรดาฮูหยินของเขา…ก็เกรงว่ามิอาจประสบพบพานได้อีกต่อไปแล้ว

ในขณะที่นางตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด หวังฉาวเฟิงก็ได้เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อส่งจดหมายมาบอกว่าทุกวันนี้การลงทุนที่ว่อเฟิงเต้าลดน้อยลงราวเจ็ดถึงแปดส่วน ข้าคิดว่าต่อไปนี้ตระกูลหวังคงต้องย้ายศูนย์กลางมาที่รั่วซีโจวแห่งราชวงศ์อู๋เสียแล้ว ท่านพี่ทั้งหลาย น้องคนนี้ขอเอ่ยสิ่งที่มิควรเอ่ยให้ฟังสักหน่อยเถิด…”

เขาทำท่าตริตรองอยู่ราวสามอึดใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “บุรุษผู้นี้ร้ายกาจมิเบา เรื่องของราชวงศ์หยูข้าพอได้ยินมาบ้างและเห็นว่ามิอาจเกิดความสงบสุขได้อีกต่อไป ยกตัวอย่างเรื่องเกลือก็แล้วกัน เหตุใดเขาจึงยอมเสียผลประโยชน์มหาศาลโดยการกำหนดราคาเกลือขาวเท่ากับเกลือเขียวกันเล่า ? ”

ทุกคนวางตะเกียบลง จากนั้นก็จ้องมองหวังฉาวเฟิงอย่างจดจ่อ หวังฉาวเฟิงเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่ามิมีผู้ใดเข้ามาในร้านจึงเอ่ยต่อว่า “ข้าคิดว่ามันซับซ้อนยิ่งกว่านั้น เกรงว่าแผนการใหญ่ของเขาคือการทำให้การค้าเกลือในแคว้นหยูและแคว้นอี๋ต้องพังครืน เพื่อทลายภาษีเกลือของทั้งสองแคว้นให้ล้มมิเป็นท่า ! ”

“พวกท่านรอดูเถิด มิเกินหนึ่งปีเท่านั้น ภาษีที่เรียกเก็บจากทั้งสองแคว้นย่อมประสบปัญหาใหญ่เป็นแน่ นี่ยังมิเอ่ยถึงวิธีอื่นที่เขาทำด้วยซ้ำ ! ”

คำเอ่ยของหวังฉาวเฟิงดังก้องอยู่ในหูของชายหนุ่มทั้งสี่ราวกับเสียงระฆัง ทุกคนตกตะลึงพลางจ้องหน้ากันไปมา หวางซุนอู๋หยาอ้าปากค้างด้วยอารามตื่นตกใจ “ก็แค่เกลือมิใช่หรือ ? มันมีอำนาจมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”

“เกลือขาวที่สกัดออกมาได้มีเพียงคนงานที่นาเกลือมู่หยางเท่านั้นที่รู้วิธี พวกเขาย่อมป้องกันกรรมวิธีสกัดเกลือมิให้รั่วไหลออกมาอย่างแน่นหนา ดังนั้นแคว้นอื่นจึงมิสามารถสกัดเกลือขาวได้ และเกลือขาวก็ดีกว่าเกลือเขียวเป็นไหน ๆ อย่ามองเพียงแค่ว่าบัดนี้การลักลอบขายเกลือทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ทว่าเขากำลังใช้เกลือเป็นแนวทางแรกต่างหาก ! ”

“เมื่อเขาขายเกลือออกไปจำนวนมหาศาลทำให้ตลาดขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเกลือขาวเข้าสู่ตลาดก็จะทำเกลือเขียวมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดน้อยลง แม้ว่าความเร็วในการครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดนี้จะสอดคล้องกับปริมาณการผลิตเกลือที่นาเกลือมู่หยาง แต่ในท้ายที่สุดเกลือขาวย่อมครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดในสัดส่วนเก้าต่อสิบได้อย่างแน่นอน ! ”

“เมื่อรอจนเกลือขาวยึดครองตลาดของทั้งสองแคว้นได้เมื่อใด ข้าใคร่ถามพวกท่านว่าตลาดเกลือของทั้งสองแคว้นจะอยู่รอดได้เยี่ยงไร ? หากผลคือล้มละลายแล้วภาษีที่ทางแคว้นเรียกเก็บลดน้อยลง ดังนั้นจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”

“จะเกิดอันใดขึ้นหากมีการเรียกเก็บภาษีจากพวกที่ลักลอบค้าเกลือ ? ” หยูซิ๋งเจี่ยนเอ่ยถามอย่างสนใจ

“ก็ยังแก้ไขปัญหามิตรงจุดอยู่ดี อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้ราษฎรของทั้งสองแคว้นขุ่นเคือง ยิ่งไปกว่านั้นข้าคิดว่าเขาได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้แล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่ข้ามองมิออกก็เท่านั้นเอง อีกอย่างโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนก็ได้ป่าวประกาศให้ทั่วหล้าได้รับทราบแล้วว่า หากโรงงานในเขตปกครองตนเองรุ่งเรืองขึ้นมาเมื่อใด สินค้าของเขาก็จะเป็นหนึ่งมิเหมือนผู้ใด และเมื่อถึงเวลานั้นย่อมไร้คู่แข่งทางการตลาด”

“ดังนั้นเขาจึงนำทางให้เกิดเมืองการค้าขึ้นมา 3 แห่งเพื่อปูทางให้สินค้าเหล่านี้ ต่อไป…ข้าเกรงว่าเขาจะใช้ไม้แข็งในการควบคุมการค้า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกราชวงศ์อู๋ เพราะสำหรับพวกเราแล้วการค้าขายที่นี่ย่อมมีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าแน่นอน ! ”

เมื่อเขาเอ่ยจบทุกคนก็เงียบลงอีกครา

ชายหนุ่มทั้งสี่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะกำลังใช้ความคิด แม้แต่อาหารอันโอชะเบื้องหน้าก็มิอาจดึงดูดพวกเขาได้แล้ว

หวังฉาวเฟิงยกยิ้มขึ้นมา “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาเขามักจะทำสิ่งที่แตกต่างอยู่เสมอ เขามักจะวางแผนแยบยลไร้ร่องรอย ทว่าเยี่ยงไรก็รอฟังนโยบายจากเขาเสียก่อนเถิด แล้วพวกเราค่อยมาว่ากันอีกที”