มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความลับเรื่องโลหิตของเขา ในสวนโจว ขุนพลมารสองสามีภรรยากับผู้เฒ่าเผ่าพ่อมดมังกรเทียนล้วนตายไปหมดแล้ว สัตว์อสูรก็ไม่อาจพูดภาษามนุษย์ และหลังจากหนานเค่อบอกความลับนี้ต่อบิดานาง นางย่อมต้องปิดมันเป็นความลับ สวีโหย่วหรงย่อมไม่บอกใครแน่ ก็เหลือเพียงแค่…อาจารย์กับศิษย์พี่อวี๋เหริน
คืนก่อน สวีโหย่วหรงก็เตือนเขาอย่างจริงใจมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ไม่ต้องการหรือบางทีอาจจะไม่กล้าคิดเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบ
แต่ทั้งเขาและสวีโหย่วหรงต่างก็รู้ดีว่าปัญหานี้ยังคงอยู่ เพียงแค่เขาไม่ตอบไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถหลับหูหลับตาได้
วันนี้ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ได้ฉีกม่านหน้าต่างออก บังคับให้เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและหาคำตอบ
หากนี่เป็นหลุมพรางที่จะใช้ลอบสังหารราชามารจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องเป็นอาจารย์กับศิษย์พี่อวี๋เหรินที่เป็นคนวางแผนใช่หรือไม่
เฉินฉางเซิงพลันเงยหน้าขึ้นถามผู้เฒ่าความลับสวรรค์ “ผลลัพธ์เป็นอย่างไร”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ประหลาดใจที่ผู้เยาว์ผู้นี้สามารถสงบใจลงได้ในเวลาอันสั้น
“ข้าบอกก่อนหน้านี้แล้วว่าเมื่อราชามารกลับถึงเมืองเสวี่ยเหล่า เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว”
“ข้าพูดถึงทั้งสองฝ่าย”
“จักรพรรดิขาวก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีในการฟื้นฟู แต่อาการบาดเจ็บของราชามารนั้นรุนแรงกว่ามาก”
“จากที่ข้ารู้มา ในเมืองเสวี่ยเหล่า ผู้บัญชาการทหารเผ่ามารกับชุดดำนั้นเป็นเหมือนน้ำกับไฟเสมอมา แต่ก็ถูกราชามารใช้พลังสะกดเอาไว้อยู่ตลอด เมื่อราชามารได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่ไม่ได้หมายความว่าอำนาจควบคุมแดนมารโดยเฉพาะอำนาจสะกดคนทั้งสองนั้นลดลงหรอกหรือ”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้”
“ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ใต้เท้าสังฆราชหรือตัวท่านผู้อาวุโสเอง สิ่งที่ที่เป็นห่วงมากที่สุดก็คือเผ่ามารจะทำลายการบรรจบกันของเหนือใต้ใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง”
“หากสถานการณ์ภายในของพวกเขาไม่มั่นคง ก็คาดได้ว่าเผ่ามารคงไม่มีจิตใจจะมาทำลายการบรรจบกันของเหนือใต้”
“ก็มีเหตุผล”
“เผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจก็จะได้รับเวลาอันมีค่าให้รวมตัวกัน และสถานการณ์ในต้าลู่ก็จะเปลี่ยนมาเข้าข้างพวกเรา”
“ใช่”
ครั้นจบการสนทนานี้ ในสวนก็เงียบลงอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากผ่านไปนานเฉินฉางเซิงก็กล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ขมวดคิ้วถาม “พอแล้วหรือ”
“ใช่ ข้าอาจเป็นเหยื่อและเกือบตาย แต่หากมันสามารถแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์มากมายเช่นนี้…มันก็เพียงพอแล้ว”
เฉินฉางเซิงมองดูผู้เฒ่าความลับสวรรค์และกล่าวอย่างจริงจัง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดวงตาของเขา ไม่เห็นความหลอกลวง ความไม่เต็มใจ มีเพียงแต่ความจริงใจเท่านั้น
“แม้ว่าเจ้าจะถูกผู้อื่นใช้เป็นเหยื่อก็ตามเช่นนั้นหรือ”
“ใช่ แม้ว่าข้าจะถูกใช้ก็ตาม”
“เจ้าไม่รู้สึกโกรธเพราะเรื่องนี้บ้างหรือ” ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ถาม
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบ “ใช่ ข้าโกรธมากหรืออาจรู้สึกเศร้า ในอนาคตหากมีโอกาสข้าจะถามเขา”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์เข้าใจความหมายของเขาและรู้ว่าเขาจะไม่บอกชื่อของคนวางแผน “ทุกคนต่างก็มีทางเลือกของตนเอง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจ”
เฉินฉางเซิงตอบ “อันที่จริงข้าไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดพวกท่านถึงได้อยากให้ข้าเลือก”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ผลักมือเข้าไปในหมอกและคว้าตะกร้าใส่ผลท้อออกมาราวกับเล่นกล
ผลท้อเหล่านี้อวบอิ่มสดใหม่สีชมพูอ่อนนุ่มดูชวนมองอย่างยิ่ง
เขานำผลท้อออกมาจากตะกร้าและส่งให้เฉินฉางเซิงพร้อมกับมีดเล็กๆ
เฉินฉางเซิงเห็นเช่นนั้นก็รับมีดมาและเริ่มปอกเปลือกท้ออย่างระมัดระวัง
ตอนที่ปอกเปลือกท้อนั้นในสวนเงียบสงบไม่มีเสียงอะไรเลย ใช้เวลาไม่นานเขาก็ปอกเปลือกท้อเสร็จและส่งมันให้ผู้เฒ่าความลับสวรรค์อย่างสุภาพ
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ส่ายหน้า มองดูเขาอย่างเฉยชาและกล่าว “ในการกินลูกท้อนั้น จะปอกเปลือกหรือไม่ เป็นทางเลือกแบบหนึ่ง”
มือของเฉินฉางเซิงที่ถือลูกท้อไว้ค้างอยู่กลางอากาศ
“หากเป็นข้ากินลูกท้อ ข้าจะไม่ปอกเปลือก เพราะเปลือกนั้นมีสารอาหาร แต่เพราะว่าข้าคิดว่าใต้เท้าเป็นคนกินและคิดถึงระบบย่อยอาหารของผู้อาวุโสที่ไม่ค่อยจะดีนัก ข้าจึงรู้สึกว่าการปอกเปลือกนั้นเหมาะสมกว่า”
นี่คือคำอธิบายของเขา
สำหรับผู้เฒ่าความลับสวรรค์นี่เป็นเรื่องไร้ความหมาย
“ไม่ว่าเป้าหมายคือใครหรือทางเลือกนั้นแตกต่างกันอย่างไร สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังต้องเลือก”
“แล้ว?”
“หวานหรือเค็ม ปอกหรือไม่ปอก มีชีวิตหรือตาย ล้วนเป็นปัญหาเสมอมา”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองตาเขาน้ำเสียงสุขุม “ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยทางเลือกนับไม่ถ้วน ใครจะสามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์”
เฉินฉางเซิงถาม “แล้วจะทำอย่างไรหากไม่มีทางเลือกใดที่ตรงกับใจเลย”
“เมื่อราชามารขวางทางเจ้าบนทางเดินภูเขา ในฐานะผู้ปกครองหานซาน ข้าสามารถเลือกตอบโต้ได้สองทาง แต่ไม่ว่าจะเป็นการเปิดใช้งานค่ายกลหินสวรรค์แล้วกักขังเขารวมถึงพวกเจ้าทุกคนในหานซาน บังคับให้เจ้าต้องตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง หรือ ไม่สนใจราชามารแล้วช่วยชีวิตพวกเจ้าทุกคนก่อน สำหรับข้าไม่ว่าทางใดก็ไม่นับว่าเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบ”
“เมื่อข้าตัดสินใจในที่สุด ข้าก็ยังต้องใช้หัวใจ” ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ปิดท้าย
เฉินฉางเซิงถาม “ไม่เป็นไปตามใจตัวเองแต่สุดท้ายแล้วก็ยังทำตามที่ใจต้องการเช่นนั้นหรือ”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “เมื่อท้องฟ้าทลายดวงดาวร่วงหล่น เมื่อเจ้าพบว่าไม่อาจที่จะตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและทำได้เพียงแค่พึ่งพาความรู้สึกในหัวใจตอนนั้น นั่นคือสิ่งที่หัวใจของเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริง”
หลังจากเงียบไปนานเฉินฉางเซิงก็ตอบ “ข้าเข้าใจ”
“ทุกคนต่างก็ต้องพบกับทางเลือกมากมายและต่างก็มีคำตอบของตน ข้าเลือกที่จะใช้ค่ายกลหินสวรรค์ ปล่อยให้เจ้า ถังถัง และคนที่เหลือตายไปร่วมกับราชามาร และนี่ก็เป็นไปตามใจของข้า แม้ว่ามันจะไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้า ข้าก็ไม่รู้สึกผิด ข้าเชื่อว่าไม่มีใครโทษข้าเช่นกัน เพราะชีวิตของราชามารนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของพวกเจ้าทุกคนรวมกัน”
“ข้าก็ไม่คับข้องใจอะไรกับเรื่องนี้”
“แม้แต่กับคนที่วางแผนอย่างนั้นหรือ”
“ข้าแค่รู้สึกว่า…พวกเขาน่าจะบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย บางที…นี่อาจทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ไม่รู้สึกว่าถูกใช้งานอยู่อย่างเดียว”
“ทุกคนต่างก็ต้องรับผิดชอบต่อการเลือกของตัวเอง ข้าไม่เข้าใจว่าผู้ที่วางแผนคิดอะไร แต่กับเจ้าข้าหวังว่าจะได้ชดเชยบ้าง”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดูเขาและกล่าวอย่างสุขุม “ข้าแนะนำให้เจ้าฉวยโอกาสนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินฉางเซิงก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง งงงวยอยู่บ้าง
ด้วยฐานะของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ในต้าลู่ ถ้อยคำของเขาเหล่านี้เย้ายวนอย่างที่สุดต่อผู้บำเพ็ญเพียรคนใดก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สิน วิชาลับ อาวุธและของศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่ภูเขาแม่น้ำ ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็สามารถมอบให้ได้
อย่างไรก็ตาม เฉินฉางเซิงไม่ขาดแคลนของเหล่านี้ เขามีวิชาดาบสองท่อน เคล็ดวิชาลับกระบี่หลีซาน มีสถานะเป็นผู้สืบทอดของสังฆราช มีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และยังมีถังซานสือลิ่วอีกด้วย
แล้วผู้เฒ่าความลับสวรรค์จะมอบอะไรแก่เขา ต้องบอกว่าเรื่องใดที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์โดดเด่นที่สุด
ก็คือปัญญา ประสบการณ์ ความเข้าใจในโลก ความลับนับไม่ถ้วนที่คนอื่นไม่ทราบ
“ข้าอยากจะขอให้ใต้เท้าช่วยตอบคำถามสักสองสามข้อ”
เฉินฉางเซิงตัดสินใจแล้วเมื่อกล่าวกับผู้เฒ่าความลับสวรรค์
คำตอบนี้ย่อมไม่เหนือการคาดเดาของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ เขายิ้มเล็กน้อย รอยย่นบนใบหน้าลึกลงกว่าเดิม
“ข้าคือใคร”
นี่คือคำถามแรกของเฉินฉางเซิง
นี่เป็นคำถามที่สามจากท้ายของ ‘บทกวีวิถีลัทธิเต๋า’
นับจากโบราณกาลมาจนถึงตอนนี้ ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่มีการบำเพ็ญสูงส่ง ค้นหาไปทุกทิศทางเพื่อหาคำตอบของคำถามนี้
นี่เป็นคำถามที่โด่งดังยิ่งในการโต้วาทีระหว่างสังฆราชและกับนักปราชญ์เผ่ามารทงกู่ซือ
นี่เป็นคำถามที่ไร้รูป คำถามเชิงปรัชญา คำถามที่อยู่ในชั้นเต๋า
แต่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์รู้ว่าคำถามของเฉินฉางเซิงนั้นไม่ได้คิดลึกซึ้งเฉกเช่นที่กล่าวมานั้นเลยแม้แต่น้อย มันตรงไปตรงมาและเรียบง่าย
เขาแค่ต้องการรู้ แค่อยากรู้ว่าเขาคือใคร