GGS:บทที่ 919 มาจากที่นั่น
ซูจิ้งได้กลับไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและทำการตรวจสอบค่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศดูในทันที อย่างที่เขาคาดไว้ ทั้งหยินหนิงหนิงและหวู่จูได้ทำให้เขาได้รับค่าการใช้ประโยชน์ฯจำนวนมาก นี่ทำให้เขาพึงพอใจอย่างมากเลยทีเดียว
เมื่อเวลาผ่านไปทั้งสองย่อมดังขึ้นเรื่อยๆและนั่นจะยิ่งทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ของเขามากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเงินที่เขาจะได้รับนั้นย่อมมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งได้เลิกสนใจค่าการใช้ประโยชน์ฯและกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาของเขาต่อ เขาได้คาดหวังจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้มากขึ้น เจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินและหนังสีขาวได้ทำให้เขาประหลาดใจได้พอสมควรเลย อีกทั้งเจ้าต้นไม้ทองแดงเพลิงที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสมบัติชนิดไหนอีกด้วย ยิ่งทำให้เขาตั้งใจในการหาสมบัติจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้
ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากที่ใด แต่อย่างน้อยๆเขาก็มั่นใจได้ว่าสถานที่ที่พวกมันจากมาย่อมไม่ธรรมดา
ตอนนั้นเองเจ้าเสี่ยวไป๋ก็ได้จัดการซ่อมแซมขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้เขาไปตรวจดูว่าพอจะมีอะไรใช้ประโยชน์หรือเป็นข้อมูลได้บ้าง
ยิ่งเขาจัดการกระดาษที่ซ่อมเสร็จมากเท่าไหร่เขาก็พบคำที่คุ้นหูคุ้นตาเขาอย่างเช่น “สำนักเต๋าหยวนเหมิน” “ประตูเวทมนต์เชินจ้ง” “สำนักพุทธ” “สำนักสารพัดช่าง” “โรงเรียนดาบเตียนเหอ” “เมืองไบชิ” “สุดยอดอาวุธเวทมนต์ฟุไฉ” “น้ำทมิฬ” “ท่ามกลางเวทมนต์นับพัน หนทางไม่สิ้นสุด ฉันขอถามหน่อยว่านายจะเรียนรู้ทั้งหมดในช่วงชีวิตนี้ได้รึไงกัน” “ดินแดนแห่งภูตคืออะไร มันก็แค่เรื่องเพ้อฝัน เต๋าอยู่ในใจ นี่สิคือความจริง”
ทันที่ซูจิ้งเห็นคำศัพท์ที่เขาคุ้นเคยมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีสายตาที่เปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็พูดพึมพำออกมาว่า “พระเจ้า ห้วงเวลาฯที่ขยะพวกนี้จากมานั้นคือห้วงเวลาสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าอย่างนั้นเหรอ”
ห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้น เป็นห้วงเวลาฯที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าของเทพเซียนอมตะ สัตว์ประหลาด สัตว์อสูรมหันตภัย มังกร อาวุธเวทมนต์ วัตถุดิบทรงคุณค่า และสมบัติระดับโลก
ตัวเอกของเรื่องมีชื่อว่าเจียวเฟย เขาเป็นเด็กบ้านๆที่เกิดในเมืองไป๋ชิ ด้วยการที่เขานั้นได้พบนักบวชในลัทธิเต๋าและได้เกิดความเลื่อมใสจนทำให้เขานั้นกราบไหว้เป็นอาจารย์และเข้าสู่หนทางการฝึกตนเพื่อก้าวสู่การเป็นเทพเซียนอมตะ
ที่นั่นมีเหล่าผู้ฝึกตนที่ต้องการบรรลุสู่การเป็นเซียนอมตะ พวกเขาไม่สนใจเงิน ทอง หรือสมบัติใดๆ แม้แต่อาวุธวิเศษเองก็ยังถือได้ว่าเป็นเพียงของพื้นๆสำหรับที่นั่น
พวกเขานั้นสนใจเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือชีวิตที่เป็นอมตะ หากพวกเขาไปถึงขั้นนั้นได้ล่ะก็ มีเวลามากมายที่จะหาเงินทองอย่างแน่นอน เจียวเฟยที่เป็นตัวเอกนั้นยังสร้างปราสาทของตัวเองด้วยทองคำ และประดับประดาด้วยหยกและอัญมณีอันแสนล้ำค่าเต็มไปหมด
นี่หมายความว่าหากในขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะมีของที่มีคุณค่าสูงบนโลกมนุษย์ติดมาด้วยอย่างอิญทองคำ แจกันหยกเขียว และเสาประดับเพชรพลอยก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
ส่วนเจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินก็สมควรจะเป็นวัตถุทางพุทธที่เรียกว่าพระธาตุ ส่วนเจ้าหนังสีขาวนั่นเองก็ควรสร้างจากวัตถุดิบอันทรงคุณค่า มิน่าถึงได้ซ่อมได้ยากเย็นนัก” ซูจิ้งในตอนนี้สามารถคาดเดาที่มาของเขาสมบัติที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้อย่างช่ำชอง
ต้นไม้ทองแดงเพลิงที่ถูกเรียกว่าต้นประกายแดงเพลิงนั้นเป็นหนึ่งที่คนจากสำนักดาบเตียนเฮอที่เอาไว้ใช้ทำกระบี่บิน
เหตุที่มันเรียกว่าต้นประกายเพลิงนั่นก็มันเกิดมาจากเปลวเพลิง มันไม่เพียงแค่แข็งสุดๆตัวมันนั้นยังมีคุณสมบัติที่ดีกว่าทองแดงและเหล็กนับร้อยเท่า และด้วยการที่มันก่อกำเนิดมาจากไฟมันจึงมีความเหมาะสมกับวิชาของสำนักเตียนเหอพอดี
นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่เหล่าผู้ฝึกตนของที่นั่นต่างก็พูดกันว่าต่อให้คนสำนักนี้พ่ายแพ้ด้วยเวทมนต์ แต่เพียงแค่ชักกระบี่ออกจากฝักศัตรูก็ปราชัย
ถึงแม้ว่าเจ้าต้นประกายแดงเพลิงนี้จะดีกว่าเหล็กและทองแดงนับร้อยเท่า แต่ตัวมันเองก็มีศัตรูโดยธรรมชาติที่ชื่อว่ามดเพลิง
พวกมันเป็นแมลงที่คอยหาวัตถุที่มีคุณสมบัติทางเปลวเพลิงเป็นกิจวัตร แน่นอนว่าเจ้าต้นประกายเพลิงนี่เองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่มันควานหาเช่นเดียวกัน
แต่ให้กระบี่บินที่ทำจากต้นประกายแดงเพลิงนี้ถูกหลอมจนเป็นกระบี่ไปแล้ว แต่เจ้ามดพวกนี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแต่อย่างใด พวกมันสามารถตัวพบกระบี่บินพวกนี้ได้โดยง่ายและสามารถเขมือบกระบี่บินอันนั้นได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้กระบี่บินแห่งสำนักเตียนเฮอนั้นแทบจะหายสาบสูญไปในทันทีที่ทิ้งไว้เฉยๆ
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจอะไรนั่นก็เพราะว่าโลกนี้ไม่มีมดเพลิงพวกนั้น นั่นก็เท่ากับว่าต้นประกายเพลิงนั้นปลอดภัยและจะกลายเป็นวัตถุดิบในการบ่มเพาะของเขาอย่างแน่นอน
เจ้าเม็ดสีน้ำเงินที่ปล่อยคลื่นพลังแห่งความสงบออกมานั้นก็สมควรจะเป็นพระธาตุ พระธาตุโดยทั่วไปนั้นล้วนแล้วแต่แฝงเอาไว้ด้วยพลังเวทมนต์ พลังที่แฝงเอาไว้ในพระธาตุสีน้ำเงินนี้สมควรจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเสียงแห่งความสงบ
ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้นถือได้ว่าเป็นวัตถุเวทย์มนต์ที่ด้อยค่าที่สุดอย่างหนึ่ง แต่กับโลกนี้ถือได้ว่ามันทรงพลังสุดๆ
ส่วนเจ้าหนังสีขาวที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผู้สวมใส่นั้นหากเขาคาดไม่ผิดน่าจะทำมาจากหนังของปลาขาวในทะเลน้ำลึก
ปลาขาวนี้มีผิวหนังที่นุ่มนิ่มราวกับผู้หญิงสาวและขาวละมุนราวกับน้ำนม เจ้านี่สมควรจะเป็นอุปกรณ์รับสุดยอดของสำนักเจ้าสมุทรเวียนเตียน
แต่เดิมแล้วอาณาจักรเยช่านั้นอยู่ติดกับทะเล และผู้หญิงของอาณาจักรนี้ก็มือหน้าตาที่แสนจะอัปลักษณ์จนทำให้ผู้ชายในประเทศต้องหนีไปแต่งงานกับผู้หญิงจากอาณาจักรอื่น
จนกระทั่งมีปรมาจารย์แห่งประตูเวียนเตียนที่ชื่อว่า ยาชันดันฉิงที่ได้ไปทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ถึงได้ไปลองตัดหนังของปลาขาวมาปะบนผิวของตัวเองราวกับว่าเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็ตรงไปยังอาณาจักรเย่ชาและขายเจ้าหนังปลานี่ในราคาสูง แน่นอนว่าเหล่าผู้คนต่างแห่แหนซื้อกันอย่างรวดเร็ว แม้แต่ลูกสาวของราชาแห่งอาณาจักรก็ได้นำมาติดจนทั่วร่างกายจนกลายเป็นสาวสวยในทันที
เธอได้แต่งงานกับสุดยอดนักรบจากอาณาจักรอื่นและกลายเป็นคู่รักที่หวานชื่นจนหน้ามั่นไส้เลยทีเดียว
หลังจากเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทำให้มีการทำการล่าเจ้าปลาขาวนี่กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการแปลงโฉมเลยทีเดียว
เมื่อถึงเวลาหนึ่งปลาขาวนี้แทบจะเรียกได้ว่าสูญพันธ์ไปทำให้หนังขาวนี้ขาดแคลนจนราคาพุ่งสูงและกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของดินแดนมหาสมุทรแห่งนี้
ถึงแม้หนังปลาขาวนี้จะเป็นวัตถุเวทย์มนต์แต่ด้วยการที่มันใช้พลังภายในหล่อเลี้ยงเพียงน้อยนิดเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นเจ้าสิ่งนี้กลับไม่ได้รับความนิยมในอาณาจักรต่างๆที่ตั้งอยู่ใจกลางทวีปแต่อย่างใด
“ขยะจากห้วงเวลาฯสุสานโบราณไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านี่เอง มิน่า ของแต่ละชิ้นถึงได้ทรงพลังมากนัก สังสัยต้องรื้อดูใหม่อีกรอบมั้งเนี่ยเพื่อว่าฉันจะพลาดของดีๆ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาก่อนที่จะทำการจัดการขยะห้วงเวลาต่อ
บอกตรงๆเลยว่าของพวกนี้นั้นหากว่าเขานั้นได้เจอพวกมันในก่อนหน้านี้นั้นถือได้ว่าเป็นขยะไร้ค่าอย่างแท้จริง ต้องขอบคุณเสี่ยวไป๋ที่สามารถใช้สแตนด์ในการซ่อมแซมของพวกนี้ให้กลับมาเป็นสมบัติอีกครั้งหนี่ง
อย่างที่ว่าหากเป็นก่อนหน้านี้ต่อให้รู้ว่าขยะกองนี้มาจากที่ใดก็ตาม แต่ด้วยสภาพของมันเขาเองก็จนปัญญา ต่อให้เป็นคนจากห้วงเวลาฯสุสานโบราณไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเองก็ยากที่จะซ่อมของพวกนี้ได้
“เดี๋ยวนะ” ซูจิ้งได้หันไปมองยังกระจกที่มีลวดลายบางอย่างในทันทีและเขาก็ได้นิ่งไปพักหนึ่ง นั่นก็เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงจิตอาฆาตได้ลางๆ แต่พอเขาตรวจสอบแบบจริงจังความรู้สึกนั้นก็ได้หายไป
ซูจิ้งเองในตอนนี้นั้นมีพลังจิตที่แข็งกล้าพอสมควรจึงมั่นใจได้ว่าไม่ผิดแน่ๆ เขาไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเป็นอันขาด
ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมสิ่งของต่อไป หลังจากซ่อมไปได้สักพักมีเพียงของไม่กี่อย่างที่ซ่อมเสร็จ ซูจิ้งได้สัมผัสกลิ่นอายบางอย่างจากกระจกบานนี้ได้อีกครั้ง
“อืม…หรือว่าเป็นสมบัติอีกชิ้นกันนะ” ซูจิ้งนั้นประหลาดใจจนพูดออกมา ถึงแม้ว่าเขานั้นไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอสุดยอดอาวุธเวทมนต์อย่างฟุไฉจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้
แต่ของทุกอย่างที่นี่ล้วนแล้วแต่ถือได้ว่าเป็นของสุดยอดบนโลกใบนี้ ไม่แน่ว่ากระจกบานนี้อาจจะเป็นวัตถุแฝงพลังบางอย่างก็เป็นไปได้ มีเพียงต้องลองดูเท่านั้น
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ซูจิ้งก็ยังไม่พบของที่ดูมีค่าเพิ่มเติม เขาจึงได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมกระจกนี้ดู เหตุผลที่ว่าทำไมเขานั้นไม่บอกไปว่าซ่อมให้สมบูรณ์แต่เป็นเพียงการลองซ่อมดู
นั่นก็เพราะว่าเจ้ากระจกนี้อาจจะมีชิ้นส่วนที่ยังคงค้างอยู่ที่ห้วงเวลาฯสุสานโบราณไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าที่มันจากมา
แน่นอนว่านั่นจะทำให้เสี่ยวไป๋ไม่สามารถซ่อมแซมกระจกบานนี้ได้ ต่อให้เสี่ยวไป๋นะมีพลังเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นจริงซูจิ้งก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไรกับเจ้ากระจกนี่