GGS:บทที่ 920 สุดยอดแห่งกระจก

 

พลังวิญญาณอันเข้มแข็งของซูจิ้งได้ตอบสนองต่อกระจกแตกอันนั้น ในขณะเดียวกันเขาเองก็รู้สึกได้ว่ากระจกบานนั้นราวกับมีวิญญาณสิ่งสู่อยู่

หลังจากเกิดการตอบสนองกันสักพัก กระจกก็ได้สั่นเล็กน้อยก่อนที่จะมีภาพปรากฎออกมา ตอนแรกเขาก็นึกว่าสิ่งที่กระจกสะท้อนออกมาเป็นเงาของเขาเอง แต่พอดูดีๆกลับไม่ใช่เงาของเขา

 

ในกระจกนั้นมีภาพของซูจิ้งเองที่ลักษณะแตกต่างจากปัจจุบัน เขาเองก็ได้ลองส่องไปยังของอื่นๆก็พบว่ามันนั้นสะท้อนภาพสิ่งของออกมาเป็นตอนที่มันสภาพสมบูรณ์ดี แตกต่างจากสภาพในปัจจุบันของพวกมันแต่ละชิ้นราวกับว่ากับลังเล่นหนังอยู่เลยก็ว่าได้

ด้วยการที่กระจกนี้มีชิ้นส่วนขาดหายไปสองชิ้น ชิ้นหนึ่งทางด้านซ้าย และอีกชิ้นหนึ่งทางด้านขวา ทำให้เขานั้นไม่สามารถมองภาพเห็นได้ในมุมกว้างมากนัก

ซูจิ้งค่อยๆทำการตรวจสอบกระจกนี้อย่างละเอียดละออ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ เขาได้ลองทำการตรวจสอบต่อไป คราวนี้เป็นการทดลองถ่ายทอดพลังใส่เข้าไป เมื่อเขาส่งพลังภายในเข้า ปรากฎว่าภาพที่สะท้อนบนกระจกกลับหายไป

ด้วยที่เขานั้นได้ฝึกพลังภายในโดยการใช้เวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่เขาได้ตำรามาจากห้วงเวลาฯล่าเรื่องลี้ลับตำนานจีน มันถือได้ว่าเป็นทักษะที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง และได้การฝึกเวทมนต์นั่นทำให้เขานั้นบ่มเพาะพลังภายในที่แท้จริงได้เพียงนิดหน่อย

 

ก่อนหน้านี่ที่เขาได้ใช้หนังขาวไปนั้นถึงแม้พลังภายในของเขาจะมีน้อยแต่ก็ถือได้ว่ายังเพียงพอต่อการใช้หนังขาวนั่น แต่กับกระจกบานนี้ที่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันแตกหรือเปล่าในตอนนี้ต้องใช้พลังงานพอสมควรถึงจะใช้มันได้

 

ซูจิ้งได้เดินเข้าไปยังพื้นที่ระบบนิเวศเสมือนเพื่อฝึกฝนพลังงานภายในอย่างจริงจังอีกครั้ง เขาได้เดินไปยังต้นหลิวเพื่อทำการฟื้นฟูพลังภายในของตัวเอง

หลังจากนั้นเขาได้ทดลองใช้กระจกดูอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นภาพตัวเองกำลังเข้ามายังพื้นที่สิ่งแวดล้อมเสมือนก่อนที่จะเดินไปยังต้นหลิวก่อนที่จะนั่งลงเพื่อฟื้นฟูตัวเองและมาจบอยู่ที่ภาพในปัจจุบัน

 

คราวนี้ซูจิ้งเข้าใจได้ทันทีว่าเจ้ากระจกนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร มันเป็นกระจกที่เอาไว้ใช้ดูเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ยิ่งใช้พลังงานภายในกับมันมากเท่าไหร่ก็ยังเห็นได้ย้อนกลับไปมากขึ้นเท่านั้น

ด้วยการที่ตอนนี้เขาเหลือพลังงานน้อยมากทำให้เขาสารถย้อนดูภาพเหตุการณ์ได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น

เจ้านี่สมควรจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือหรือไม่ก็อาวุธเวทย์มนต์จากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเช่นเดียวกัน เจ้าสิ่งนี้ต่อให้อยู่ที่นั่นเองก็สมควรเป็นสมบัติอย่างแท้จริง ไอ้คนที่มาทำแตกแบบนี้ช่างเลวชาติอย่างมาก

 

“ความจริงเจ้ากระจกนี่ก็ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ดีเลยนะ เสียอย่างเดียวคือฉันนั้นอ่อนแอเกินไป ด้วยสภาพในตอนนี้ทำให้ฉันนั้นสามารถย้อนภาพดูได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง

เฮ้อ หวังว่าคงจะยังไม่มีเหตุให้ต้องใช้นะ หากฉันมีพลังพอที่จะย้อนดูไปได้ถึงขั้นหนึ่งวันล่ะก็ คงจะรู้สึกดีพิลึกเลย

แต่การที่ต้องมานั่งฝึกพลังภายในอีกล่ะก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆเพียงวันสองวันก็ฝึกได้สำเร็จ ถึงแม้มันจะมีข้อดีคือทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม

แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ เวทย์มนต์นี้สามารถช่วยเพิ่มพลังภายในของเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนั่นก็ยังไม่ถือว่าเป็นกำลังภายในที่แท้จริงแต่อย่างใด

หากเขายังคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อเพิ่มปริมาณกำลังภายในล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกยาวนานนัก”

 

ซูจิ้งได้เก็บกระจกลงไปในกระเป๋ามิติและได้เดินเข้าไปยังพื้นที่หนึ่งในระบบนิเวศเสมือนแห่งนี้ ก่อนหน้านี้เขาได้ให้หนูลองกินแมลงแต่ละชนิดไปหลายตัวอยู่ และพวกมันเองก็ดูไม่มีท่าทีจะเจ็บป่วยยังไงเลย

แต่ทันทีที่เห็นสภาพของหนูในตอนนี้ ทุกตัวล้วนมีสภาพที่แตกต่างกันไปหมด

พวกมันแสดงท่าทางแปลกๆ ลิ้นของมันนั้นแลบออกมาจากปากพลางทำเสียงกระเส่าแปลกๆออกมาจนไม่มีใครคิดว่าเป็นเสียงหนูแม้แต่น้อย

แถมในตอนนี้ขาของมันก็ไม่ได้อยู่ในท่าทางวางเท้าแบบปกติ ตอนนี้เท้าทั้งสี่ของมันลู่ไปตามลำตัว สภาพของมันในตอนนี้ราวกับเป็นงูมากกว่าหนูเลยก็ว่าได้

จากสภาพของพวกมันในตอนนี้เหมือนกับการหมดลมเต็มที

 

“เป็นไปได้ยังไง แมลงพวกนั้นมีพิษอย่างนั้นหรอ” ในตอนที่เขาให้หนูกินแมลงแต่ละชนิดไปนั้น เขาได้ทำสัญญาลักษณ์เอาไว้ด้วยทุกตัว เจ้าหนูตัวนี้เขาให้มันกินงูสีแดงตัวเล็กๆที่แทบจะเหมือนแมลงตัวหนึ่ง ด้วยการที่ตอนนี้เขาไม่มีซากงูตัวนี้เหลือแล้วเขาเลยลองให้หนูอีกตัวกินงูสีแดงตัวนี้แบบเป็นๆ

หลังจากรอไปสักพักเพื่อสังเกตอาการของเจ้าหนูที่กินงูเป็นๆไป เจ้าหนูได้แสดงท่าทีเป็นลม หลังจากนอนแน่นิ่งไปสักพัก เขาเองก็คิดว่าเจ้าหนูตัวนี้ได้ตายแล้ว

แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยอยู่ๆร่างกายของเจ้าหนูก็แฟบลงและได้มีอะไรบางอย่างโผล่ออกมา เมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆก็ได้เห็นว่าเป็นเจ้างูแดงตัวเมื่อกี้ค่อยๆเลื้อยออกมาจากซากหนูที่แฟบ

โดยเจ้าหนูในตอนนี้นั้นเหลือเพียงหนังของมันเลยจริงๆ ไม่มีกระดูก เลือด เนื้อ หรืออวัยวะภายในอย่างอื่นเหลืออยู่เลยจริงๆ

ฉากนี้ทำให้ซูจิ้งนั้นรู้สึกสยองจนขนลุกเลยทีเดียว แถมเจ้างูที่คลานออกจากเจ้าหนูตัวเมื่อกี้มันก็ตัวใหญ่ขึ้นด้วย เจ้าตัวนี้สร้างความกลัวต่อซูจิ้งได้เลยจริงๆ

 

เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าใกล้เจ้างูแดงนี่อีกต่อไป เขาใช้พลังจิตจับมันยัดใส่ขวดโหลและตั้งเอาไว้ห่างๆ

“ดูเหมือนว่าฉันจะประมาทไปหน่อยแหะที่คิดว่าพวกมันนั้นเป็นวัตถุดิบในการทดลองเท่านั้น

ฉันเองก็น่าจะสำนึกเอาไว้ว่าพวกมันนั้นอาจมีพิษร้ายหรืออะไรบางอย่างที่น่าสยองขวัญก็ได้ ดูอย่างเจ้างูตัวนี้ที่ตอนแรกเขาเผลอคิดว่ามันเป็นแมลงไป”

ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้นึกถึงเรื่องราวต่างๆในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าได้ว่าที่นั่นเองก็มีแมลงพิษอยู่มากมาย แถมพิษแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่น่าสะพรึงกลัวทั้งนั้น

 

ไม่ว่าพวกมันอาจจะดูนิ่งๆหรือท่าทางอ่อนแอก็ตาม ถ้าพวกมันไม่มีพิษร้ายหรือทักษะอันร้ายกาจ มันจะไปอยู่รอดในโลกอันโหดร้ายแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ

และเรื่องนี้ทำให้ซูจิ้งตระหนักได้ในทันทีเลยว่าของที่ยิ่งน่ากลัวเท่าไหร่ หากใช้ดีๆมันก็คือสมบัติชั้นเลิศนี่เอง

ตอนนี้ในเมื่อเขานั้นได้ตระหนักเรื่องนี้แล้ว แน่นอนว่าเขานั้นยังไม่ฆ่ามัน แต่จะเก็บมันไว้ศึกษาก่อน

“ห้ะ ทำไมเจ้าต้นไม้นี่ฟื้นคืนสภาพเร็วขนาดนี้เนี่ย” ซูจิ้งเพิ่งจะสังเกตุเห็นเจ้าดอกไม้ยักษ์ที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้ ตอนแรกนั้นสภาพของมันแห้งเหี่ยว โหยระแหง โรยรา แถมยังมีแต่ร่องรอยเสียหายเต็มไปหมด ใบบางใบของมันส่วนหนึ่งก็ฉีกขาดแทบจะแยกเป็นสองท่อน

 

แต่ในตอนนี้พึ่งจะผ่านไปเพียงแค่วันเดียว เจ้าต้นไม้นี่ก็กลับฟื้นคืนสภาพมาดีขนาดนี้ได้ยังไง สภาพมันราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับมันเลยสักนิด แถมยังดูแข็งแรงมากๆอีกด้วย

ซูจิ้งได้ทำการสำรวจต้นไม้นี่อย่างจริงๆจัง จนคิดเข้าข้างไปว่าอาจเป็นฉิงหยุนที่รู้จักเจ้านี่จึงได้ปรับสภาพตัวเองให้มีความเหมาะสมกับต้นไม้นี่ที่สุด

แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่เขาก็ยังไม่พบว่าเจ้าดอกไม้นี่มีความวิเศษยังไงอยู่ดี มันดูธรรมดามากๆ ก่อนหน้านี้เขาก็ลองเอาใบที่ขาดออกมาให้หนูกิน แต่มาถึงตอนนี้ก็ดูไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

 

เมื่อซูจิ้งไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสนใจ เขาก็ได้ยอมแพ้ไปก่อนและได้ออกจากระบบนิเวศเสมือนนี้ไปและกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯที่เหลือ หลังจากไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่พอจะมีค่าเหลือให้เขาได้ใช้งานอีกแล้ว

ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเขาดูก็เห็นเป็นเสี่ยวรุยจึงรีบรับสายในทันที แต่กลับมีเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูพูดออกมาจากปลายสายว่า “สวัสดีครับ คุณใช่คุณซู เอ่อ..ซูจิ้งรึเปล่า”

“แล้วคุณคือ?” ซูจิ้งถามออกมา

“ผมเป็นโค้ชสอนบิลเลียดและทำงานร่วมกับเสี่ยวรุยครับ วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน ติดต่อก็ไม่ได้ ผมเลยมาที่โรงแรมที่เขาพักก็พบโทรศัพท์เครื่องนี้วางอยู่ที่เตียง ผมเองก็รู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้

ก่อนหน้านี้เขาตื่นเต้นกับเรื่องชางเกามากและก็ได้พูดถึงคุณบ่อยๆ ทำให้ผมพอจะรู้ว่าคุณกับเขามีสัมพันธ์อันดีต่อกันเลยโทรมาถามคุณว่าคุณพอจะรู้หรือเปล่าว่าเสี่ยวรุยตอนนี้อยู่ไหน”

 

“วันนี้ผมก็ไม่เห็นเขานะ คุณเห็นเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ” ซูจิ้งถามออกไปพลางคิ้วขมวดเล็กน้อย

“เป็นเมื่อเช้าครับ ผมเห็นเขาหลังจากที่เขาไปวิ่งกลับมาแล้ว ผมเลยไปทำงานก่อน หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเขาอีกเลย”

“ส่งตำแหน่งของโรงแรมมาทีครับ เดี๋ยวผมจะไปที่นั่นทันที” ซูจิ้งนั้นรู้สึกใจเต้นแปลกๆเมื่อได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หากเป็นคนทั่วไปก็คงคิดว่าเหตุการณ์ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่กับซูจิ้งนั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน

ด้วยการที่เขานั้นฝึกฝนตำราวิถีแห่งใต้หล้าจึงทำให้เขาสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ระดับหนึ่งหากมีข้อมูลเข้ามาในหัวสมอง

ถึงแม้ว่าเขายังไม่บรรลุถึงขั้นมั่นยำขนาดคาดการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นได้แน่ๆ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ก่อให้เกิดเรื่องดีอย่างแน่นอน

ซูจิ้งก็ได้แต่เพียงหวังว่าเขานั้นจะคิดไปเอง แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องไปเพื่อให้แน่ใจว่าเสี่ยวรุยจะปลอดภัยดี