GGS:บทที่ 921 สืบสวน

 

เสี่ยวรุยถูกเชิญให้มาเป็นผู้สอนบิลเลียดในเมืองจงหยุน เขานั้นมีกำหนดที่ต้องสอนในช่วงเวลาสิบวันในเวลาครึ่งเดือน เนื่องจากเขาไม่มีบ้านอยู่ที่นี่จึงได้พักอยู่ที่โรงแรม

ซูจิ้งขับรถตรงมายังโรงแรมที่เสี่ยวรุยพัก เขาสวมแว่นกันแดดไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตแต่ทันทีที่เขาไปถึงก็ถูกจำได้ตั้งแต่ทางเข้าเลยทีเดียว ที่ตรงนั้นมีชายหน้าเหลี่ยมได้ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วและถามขึ้นว่า “คุณซูรึเปล่าครับ”

“ใช่ ผมเอง” ซูจิ้งพยักหน้ารับ

“สวัสดีครับคุณซู ผมชื่อเหมาจิ้งหยู ผมเป็นเพื่อนร่วมทีมและเป็นเพื่อนร่วมห้องพักเดียวกับเสี่ยวรุย” ชายหน้าเหลี่ยมได้พูดออกมาอย่างจริงจัง

“สวัสดีครับคุณเหมา พาผมไปที่ห้องพักของพวกคุณก่อนเลยก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา

“ได้ครับ” เหมาจิ้งหยูเองก็ไม่คิดจะยื้อความแต่อย่างใด เขาได้รีบพาซูจิ้งไปยังชั้นสามและตรงไปยังห้องสูทแบบที่มีสองห้องนอน ที่นั่นมีพื้นที่ห้องโถงและห้องนอนแยกกันสองห้อง

เมื่อไปถึง ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาในทันที เขากวาดพลังไปทั่วทั้งห้องเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่แต่ก็ไม่พบอะไร

“ผมพบโทรศัพท์ของเขาอยู่ตรงนี้ครับ แล้วก็รองเท้ากีฬาคู่โปรดของเขาก็ไม่อยู่ที่นี่ แถมชุดกีฬาของเขาเองก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน ผมก็เลยว่าเขาน่าจะออกไปวิ่งเมื่อตอนเช้าแต่ก็ไม่ได้กลับมาอีก” เหมาจิ้งหยูวิเคราะห์เหตุการณ์ให้ซูจิ้งฟัง

 

ซูจิ้งเองก็ได้ใช้กระแสจิตรของเขาตรวจจับออร่าของเหมาจิ้งหยูในขณะที่พูดเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติจากคำพูดของเขาหรือไม่ เขานั้นไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อใจใครแต่เป็นเพราะว่าเป็นห่วงเสี่ยวรุยเท่านั้นเอง

แต่เขาเองก็ไม่พบร่องรอยอะไรจากออร่าสั่นกระเพื่อมในขณะที่เหมาจิ้งหยูวิเคราะห์ออกมาก็จริง แต่ทำไมท่าทางของเขามันดูกังวลแปลกๆก็ไม่รู้

“เสี่ยวรุยไปวิ่งที่ไหนหรือครับ” ซูจิ้งถามออกมา

“ใกล้กับลานกิจกรรมของม.จงหยุนครับ” เหมาจิ้งหยูพูดออกมา

“พาผมไปหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดพลางไปหยิบชุดของเสี่ยวรุยที่น่าจะยังมีกลิ่นของเขาอยู่และพูดออกมา

“เอ่ออ… คุณไม่ว่าคิดว่าเราควรจะเรียกตำรวจเหรอครับ” เหมาจิ้งหยูถามออกมา ความจริงเขาเองก็คิดว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆและเสี่ยวรุยเองสมควรต้องการการช่วยเหลือจริงๆ แต่ที่เขาโทรหาซูจิ้งก่อนเพราะเสี่ยวรุยเล่าให้ฟังว่าเขามีคนรู้จักอยู่นี่จึงอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจเฉยๆก่อนที่จะตัดสินใจอะไรไป

 

แต่ทุกคนที่เขาคิดว่ารู้จักเสี่ยวรุยต่างก็ไม่เห็นเสี่ยวรุยเลยสักคน และยังไม่รู้ว่าเขาไปไหนอีกด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีขึ้นมาจริงๆ แม้แต่ซูจิ้งเองก็ยังคิดว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นี่เขายังคิดว่าไม่ถึงเวลาทำหน้าที่ของตำรวจอีกเหรอ

 

“ยังไม่ต้องเรียกหรอกครับ เขาอาจจะแค่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ได้ สิ่งที่เราต้องทำก็แค่การสืบสวนให้แน่ใจก่อนก็เท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมา นั่นก็เพราะว่าเหตุแค่นี้ยังไม่พอที่จะโทรหาให้ตำรวจออกปฏิบัติการสืบสวนได้จึงยังไม่จำเป็น

อีกอย่าง หากว่าเสี่ยวรุยเกิดอุบัติเหตุจริงๆ สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำหรับคนทั่วไปแล้วตำรวจถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการสืบหาและสอบสวน

แต่กับซูจิ้งนั้น การสืบสวนของตำรวจนั้นช่างด้อยค่านัก เขานั้นมีวิธีการสืบสวนที่ดีกว่าตำรวจเป็นไหนๆ แถมหากเสี่ยวรุยนั้นถูกจับไปจริง ก็สมควรเป็นเหล่าผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จริงๆเท่านั้นที่กล้าทำ หากนำตำรวจไปอาจเกิดอันตรายขึ้นได้

 

ความจริงซูจิ้งนั้นก็อยากให้หมาป่าสงครามของเขามาดมกลิ่นอยู่เหมือนกัน แต่ก็กลัวว่ามันจะเตะตาเกินไปเลยไม่ได้พามาด้วย นั่นก็เพราะว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นยังไม่แน่นอน ครั้งนี้สมควรจะลองสืบแบบเงียบๆไปก่อน แน่นอนว่าตอนนี้เขาได้นำหน้าการแปลงโฉมพร้อมทั้งแว่นกันแดดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“ก็ได้ครับ” ถึงเหมาจิ้งหยูอยากจะเรียกตำรวจขนาดไหนก็ตามแต่ที่ซูจิ้งพูดออกมามันก็ถูก ความจริงเขาก็อยากจะออกตามหาก่อนเหมือนกันแต่ก็ไม่ชำนาญพื้นที่จึงต้องไปโทรหาคนรู้จักของเสี่ยวรุยก่อนหน้านี้

ยังไงซะซูจิ้งเองก็สนิทกับเสี่ยวรุยแถมเขานั้นยังมีอิทธิพลกับที่นี่ไม่น้อยเลยทีเดียว หากซูจิ้งยืนกรานว่าอย่างนั้นเขาก็ว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดเหมือนกัน

เหมาจิ้งหยูพาซูจิ้งเดินไปตามทางเดินตรงไปยังมหาวิทยาลัยจงหยุน และเดินเข้าไปยังลานกิจกรรม เหมาจิ้งหยูเพียงแค่ทำหน้าที่เดินนำทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ส่วนซูจิ้งนั้นเงียบไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่เดินตาม บางครั้งก็หยุดเพื่อตรวจสอบดู ตอนนี้ในกระเป๋าของเขานั้น มีหนูขาวตัวหนึ่งอยู่

 

จมูกของมันทำท่าฟุตฟิตดมกลิ่นคลอดเวลา บองครั้งมันก็ทำการกระตุกเสื้อซูจิ้ง ซูจิ้งเองก็เหมือนทำทางคุยกับมันสักคำสองคำเหมือนกับว่าจะคุยกันได้จริงๆ

“ฉันเองก็ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณซูมานานแล้ว แต่ต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวรุยจริง เขาจะหาเสี่ยวรุยได้ยังไงกัน ยิ่งไปกว่านั้นที่เขาทำมันช่างดูแปลกพิกล นี่เขาคุยกับเจ้าหนูนั่นได้จริงๆเหรอ” เหมาจิ้งหยูบ่นออกมาอยู่ในใจ

คราวนี้ซูจิ้งได้หยุดก่อนจะพูดออกมาว่า “เสี่ยวรุยมาวิ่งที่นี่จริงๆแต่ดูเหมือนว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่นะ”

เหมาจิ้งหยูหยุดนิ่งในทันที ตอนนี้ทั้งสองได้เดินข้ามไปยังถนนนอกมหาวิทยาลัยตรงไปยังต้นไทรที่ปลูกอยู่อีกฝั่งหนึ่งข้างพื้นที่ที่เป็นทางเดิน

เขานั้นมองซ้ายมองขวาก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลยสักนิด เขาทำการดูดีๆอีกรอบแล้วก็ไม่เจออะไรเลย ทำให้เขาไม่เข้าใจในทันทีว่าซูจิ้งนั้นใช้อะไรเป็นจุดสังเกตกันแน่

ซูจิ้งนั้นไม่ได้อธิบายอะไร นั่นก็เพราะว่าที่โรงแรมนั้น ซูจิ้งได้หนูขาวที่พามาด้วยดมกลิ่นของเสี่ยวรุยและจดจำเอาไว้

หลังจากมาถึงมหาวิทยาลัยจงหยุนนี้เขาก็เดินไปรอบๆก็ได้พบกลิ่นของเสี่ยวรุยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสนามวิ่ง ม้านั่ง บาร์ต่างระดับ หรือแม้แต่บาร์โหน

แต่ยังไงก็ตามในเมื่อพื้นที่ตรงนี้ต่างก็มีคนมาใช้จึงเป็นที่ที่ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีจุดที่เสี่ยวรุยเดินไปยังถนนแล้วไม่มีร่องรอยกลับมาราวกับว่าอยู่ๆก็หายไป แถมจุดนี้ยังมีกลิ่นที่แรงที่สุดอีกด้วย แน่นอนว่านี่จึงเป็นที่สุดท้ายที่เสี่ยวรุยอยู่

 

เมื่อซูจิ้งเดินข้ามถนนไป หนูขาวก็ได้กลิ่นของเสี่ยวรุยมากกว่าเดิมโดยมาจากพื้นและต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ โดยที่กลิ่นพวกนี้นั้นสามารถจะไปหลงเหลือไว้บนสิ่งของพวกนี้ได้ก็ต้องเป็นเพราะเสี่ยวรุยสัมผัสโดยตรงเท่านั้น และแน่นอนเสี่ยวรุยไม่ว่างพอที่จะนึกสนุกมาเล่นปีนต้นไม้แบบนี้เป็นแน่

 

นอกจากนี้ซูจิ้งยังได้ปล่อยกระแสจิตออกมาตรวจสอบซ้ำอย่างละเมียดในทุกที่ที่เจ้าหนูตัวนี้ได้กลิ่น และมีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่เขาพบร่องรอยอย่างอื่นนอกจากกลิ่น ต่อให้มีการลบร่องรอยเหล่านี้จนหลุดรอดจากตาเปล่าแต่ก็ไม่มีทางหลุดรอดจากกระแสจิตของซูจิ้งได้โดยง่ายอย่างแน่นอน

 

อย่างไรก็ตามจากหลักฐานเพียงแค่นี้ พวกเขาบอกได้เพียงว่ามีบางอย่างผิดปกติเท่านั้นแต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือแม้แต่เสี่ยวรุยนั้นไปไหนกัน

ต่อให้เรียกหมาป่าสงครามมาจึงก็คงต้องอาศัยแต่โชคเท่านั้นที่จะเจอเสี่ยวรุยเพราะในตอนนี้กลิ่นของเขาหน้าจะปนกับกลิ่นอื่นไปหมดแล้ว

 

ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาเป็นวงกว้างเพื่อสำรวจรอบๆเพื่อหาร่องรอยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ๆหัวใจของซูจิ้งก็เต้นแรง และเขานั้นได้นึกถึงกระจกที่เขาเพิ่งจะได้มาก่อนหน้านี้

เจ้ากระจกบรอนซ์นี้สามารถย้อนดูได้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องสนใจเรื่องหลักฐานเลยนี่นา

“คุณลองไปดูรอบๆนี่หน่อยเพื่อว่าจะเจอร่องรอยของเสี่ยวรุยบ้าง” ซูจิ้งพูดออกมา

“ได้ครับ” ถึงแม้ว่าเหมาจิ้งหยูจะรู้สึกแปลกๆในความต้องการของซูจิ้งอยู่บ้างและอยากจะโทรหาตำรวจมากมายขนาดไหนก็ตาม

 

แต่เขาเองก็เข้าใจได้ดีว่าตอนนี้กำลังทำการสืบสวนอยู่จริงๆ เพียงแต่เขาเองก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวซูจิ้งก็เท่านั้น ถึงกระนั้นเขาก็ยังยินดีทำตามและรีบไปค้นหาโดยรอบในทันที

หลังจากที่เห็นเหมาจิ้งหยูออกไปได้หลายเมตรแล้ว ซูจิ้งก็ได้นำกระจกบรอนซ์ออกมา ตอนนี้เขาพักมาได้พอสมควรแล้วก็น่าจะพอมีพลังใจการย้อนภาพดูได้ไกลอยู่เหมือนกัน

ซูจิ้งได้ปล่อยพลังภายในใส่เข้าไปในกระจก กระจกก็ได้ปรากฎภาพออกมาแต่มันก็ยังแสดงได้เพียงแค่ไม่กี่วิยาทีเท่านั้นเอง

“ฉิบ… ไม่ได้เรื่องจริงๆเหรอ นี่ฉันไม่สามารถใช้กระจกนี่ในตอนนี้ได้จริงๆเหรอเนี่ย” ซูจิ้งบ่นออกมาพลางถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะเดินตามเหมาเจิ้งหยูที่เดินไปก่อนหน้านี้แล้ว พลางหยิบชุดของเสี่ยวรุยโยนไปบนพื้น

หลังจากนั้นซูจิ้งเปิดกระเป๋ากักอสูรออกมา ทันใดนั้นหนูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ออกมาในทันที พวกมันดมกลิ่นของเสี่ยวรุยและได้ทำการวิ่งไปในทุกทิศทางที่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย

 

เจ้าหนูพวกนี้ถูกฝึกมาอย่างดีโดยซูจิ้ง แน่นอนว่าพวกมันไม่ใช่แค่เพียงสัตว์ฝึกธรรมดา พวกมันนั้นไม่เพียงจะสวาปามปลาเขี้ยวหยกไปเป็นจำนวนมากจนทำให้พวกมันมีทักษะสูงยิ่งกว่าหนูปกติอีกด้วย

หลังจากนั้นสักพักก็ได้มีหนูตัวหนึ่งวิ่งมาพร้อมคาบบางอย่างมาให้ซูจิ้งอีกด้วย