GGS:บทที่ 922 ตามหาความจริง

 

หนูตัวหนึ่งได้วิ่งกลับพร้อมเศษผ้าผืนหนึ่งในปากหลังจากที่อีกตัวได้นำมา ที่ทำให้ซูจิ้งถึงกับต้องขมวดคิ้วในทันที

เขาให้หนูตัวที่ทำหน้าที่ดมกลิ่นลองดมดูหลังจากนั้นเจ้าตัวที่ดมกลิ่นเกาที่เขาสองทีนั่นหมายความว่าเสี่ยวรุยน่าจะยังปลอดภัยดีอยู่ นี่คือการได้ร่องรอยที่เร็วกว่าที่เขาคิดมากนัก

“พวกนายได้ผ้านี่มาจากไหน” ซูจิ้งถามออกมา

“จากทางนั้น” หนูตัวแรกชี้ไปทางตะวันออก

“จากทางนั้น” หนูตัวที่สองชี้ไปทางใต้

ถึงแม้เจ้าหนูสองตัวนี้จะรายงานแข็งขันยังไงแต่ในเมื่อมันรายงานมาจากคนละทิศทางนี่ทำให้ซูจิ้งรู้สึกตะงิดใจขึ้นมาในทันที ตอนนี้เข้ารู้สึกลางไม่ดีเลยสักนิด

หนูอีกหลายๆตัวกลับมาพร้อมด้วยเศษผ้าในปาก ซูจิ้งจึงให้เสี่ยวไป๋ทำการซ่อมแซมผ้าพวกนั้นดู และเป็นอย่างที่คิดเสื้อตัวนั้นคือเสื้อเสว็ตเตอร์ของเสี่ยวรุย

 

“ดูเหมือนว่าเสี่ยวรุยจะตกอยู่ในอันตรายซะแล้ว” ซูจิ้งตอนนี้ถึงกับทำหน้าคิ้วชนกัน เจ้าพวกนี้ไม่มีทางดมกลิ่นของเสี่ยวรุยผิดอย่างแน่นอน และในเมื่อนี่เป็นเสื้อของเสี่ยวรุยแสดงว่ามีปัญหาใหญ่แล้ว

นี่หมายความว่าเสี่ยวรุยนั้นถูกจับตัวไปจริงๆ และอีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนว่าจะสืบเรื่องของเขามาด้วย

อย่างน้อยก็ต้องรู้ความสามารถของสัตว์ของในการติดตามร่องรอยอย่างดีจึงได้ใช้วิธีนี้พลางร่องรอยกลิ่นของเสี่ยวรุยกระจายไปทุกที่รอบบริเวณนี้

 

“เอาไงต่อดี ต่อให้นำหมาป่าสงครามออกมาในตอนนี้ก็ไม่สามารถตามรอยได้เป็นแน่ เสี่ยวรุยถูกจับไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ตอนนี้ฉันรอต่อไปไม่ได้แล้ว”

ซูจิ้งคิดหาวิธีอย่างหนักจนเผลอกัดฟันเลยทีเดียว เขาได้นำกระจกบรอนซ์ออกมาอีกครั้งก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆและทำการส่งผ่านพลังภายในของเขาไปในกระจกอีกครั้ง

โดยหวังว่าคราวนี้จะย้อนภาพฉายได้มากกว่าเดิมแต่ก็เหมือนกับว่าจะพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับจับอะไรได้บางอย่างจากกระจกนี่

ตัวเขานั้นในตอนแรกที่มาที่นี่และได้ใช้กระจกภาพก็ย้อนกลับไปสิบวินาทีก่อน หลังจากนั้นเขาก็ให้เหมาจิ้งหยูแยกออกไปค้นหาซึ่งนั่นก็ผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้ว

แต่เจ้าภาพที่ฉายนี่กลับไม่ได้ฉายภาพตัวเขาที่ยืนอยู่ที่นี่ หรือว่ามันจะย้อนภาพเกินสิบวินาทีแล้วกันนะ

และก็จริงดังคาดนั่นก็เพราะภาพที่ฉายในตอนนี้เป็นภาพที่เขาและเหมาจิ้งยู่เพิ่งจะเข้ามา แต่ไม่นานนักภาพก็ได้หายไปและตอนนี้พลังของซูจิ้งก็แทบจะเฮือดแห้งแล้วเพียงเพื่อฉายภาพเพียงไม่กี่วินาทีนี่เท่านั้น

 

“….ไม่ใช่ว่าฉันทำอะไรผิดไปหรอกนะ ตอนที่ฉันใช้กระจกนี่ตอนแรกฉันก็ว่าฉันเห็นภาพนานกว่านี้นี่นา มีเพียงภาพที่ย้อนกลับไปเท่านั้นที่อยู่ในช่วงสิบวินาที หรือว่าในช่วงสิบวินาทีนี้ฉันสามารถควบคุมห้วงเวลาฉายได้ด้วย?” ซูจิ้งประหลาดใจในทันที

ซูจิ้งรีบนั่งลงและทำการฟื้นฟูพลังงานของตัวเองอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาได้ทดลองดูและก็จริงดังคาด ด้วยพลังของเขาในตอนนี้สามารถแลกเปลี่ยนช่วงเวลาการฉายภาพด้วยเวลาที่สามารถฉายภาพออกมาได้ในอัตราส่วนคคือลดเวลาฉายภาพหนึ่งวินาทีต่อการย้อนภาพได้หนึ่งชั่วโมง

“เสี่ยวรุยมาวิ่งตอนเช้าน่าจะอยู่ประมาณเจ็ดโมงกว่า และเขาต้องออกไปทำงานในช่วงเก้าโมง ถ้าอย่างนั้นเหตุการณ์ก็น่าจะอยู่ในช่วงประมาณสิบชั่วโมงที่แล้วถึงแปดชั่วโมงที่แล้ว อืมมมมม ลองย้อนกลับไปดูตอนสิบชั่วโมงที่แล้วก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งได้รีบทำการใช้กระจกบรอนซ์ในทันที ภาพที่ฉายอยู่ตอนนี้ยังไม่มีใครปรากฎในกระจก และจากแสงดูๆไปแล้วก็น่าจะเป็นรุ่งเช้าจริงๆ

“ฉันสามารถเร่งเวลาฉายภาพโดยการร่นเวลาการฉายภาพอีกห้าวินาทีสินะ” ซูจิ้งได้ทำการเร่งภาพฉายในทันที ภาพที่สะท้อนออกมาจากในกระจกเองก็เร่งเร็วขึ้น ตอนนี้เขาชักจะเริ่มชำนาญวิธีใช้กระจกนี่แล้ว

 

หลังจากที่กระจกเร่งการฉายภาพให้เร็วขึ้นจนสูบพลังภายในของซูจิ้งไปจนเกือบหมดนั้น หาเป็นคนธรรมดามาเห็นในตอนนี้ก้เห็นเพียงแค่แสงและเงาที่ฉายออกมาเพราะว่ามันเร็ว แต่ด้วยการตอบสนองของซูจิ้งนั้นแน่นอนว่าเห็นได้ชัดเจนทุกการกระทำที่เกิดขึ้น

“หยุด” หัวใจของซูจิ้งเต้นแรงขึ้นมา ภาพฉายในกระจกตอนนี้หยุดเร่งความเร็วแล้ว และในภาพตอนนี้ก็เป็นภาพของเสี่ยวรุยที่อยู่ในสภาพเหงื่อโทรมกาย กำลังวิ่งกลับไปยังโรงแรม

ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาน่าจะวิ่งเสร็จแล้ว อยู่ๆรถตู้ที่อยู่ข้างๆก็ได้เปิดประตูออกมาและได้มีชายใส่หน้ากากวิ่งกรูกันออกมาและทำการอุ้มเสี่ยวรุยขึ้นรถไปในทันที หลังจากนั้นภาพก็ได้หายไป

พลังภายในของซูจิ้งในตอนนี้หมดอีกแล้วเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้รีบแต่อย่างใด เขาได้ใช้เวทมนต์ลมหายใจฯดูดซับพลังภายในจากต้นไทรที่อยู่ตรงนั้นเพื่อฟื้นฟู หลังจากนั้นเขาได้ทำการใช้กระจกอีกครั้ง

ในเมื่อคราวนี้เขารู้เวลาที่เกิดเหตุแล้ว เขาก็สามารถเข้าไปดูเหตุการณ์ดังกล่าวได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียพลังในการหว่านแหอีกต่อไป

ภาพที่ฉายออกมาในตอนนี้เป็นภาพชายใส่หน้ากากกำลังกรูเข้าไปหาเสี่ยวรุย เสี่ยวรุยเองที่ได้ยินก็หันหัวกลับไปมอง แต่กว่าเขาจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว

เสี่ยวรุยถูกจับถอดเสื้อและถูกมัดปาก มือ และเท้าในทันที ในระหว่างขัดขืน เสี่ยวรุยได้ไปแตะต้นไม้ที่ล้มอยู่กับพื้นเพื่อดึงตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้

แต่เหมือนว่าที่ผ้าปิดปากนั้นจะมียาอยู่ทำให้ไม่นานตัวเขาก็อ่อนเปลี่ยนเพลียแรงและถูกอุ้มขึ้นรถไปอย่างง่ายดาย ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเองก็จบลงเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แน่นอนว่าด้วยช่วงเวลานี้มีผู้คนอยู่น้อยมากทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นได้เลย

ในเมื่อซูจิ้งรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้แถมเขาเองยังเห็นทิศทางที่รถคันนั้นวิ่งออกไปอีกด้วย แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะสามารถติดตามได้

และแน่นอนว่าเขานั้นไม่สามารถใช้กระจกบรอนซ์ในการติดตามรถตู้คันนั้นได้ตลอดทาง ไม่งั้นเขาคงต้องเหนื่อยตายซะก่อน

นั่นก็เพราะเขานั้นไม่ใช่เซียนที่จะมีพลังงานภายในมากมายมหาศาลพอที่จะใช้กระจกนี้ได้อย่างง่ายดาย

ซูจิ้งได้ใช้ความคิดสักพัก ก่อนที่จะก้มลงมามองยังเสื้อของเสี่ยวรุยที่อยู่ตรงพื้น เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้จึงหันไปหาหนูตัวที่นำเศษผ้ากลับมาในตอนแรกแล้วพูดออกไปว่า “พาฉันไปตรงที่แกเจอเศษผ้าหน่อยสิ”

 

ตอนนี้เหมาจิ้งหยูที่ซูจิ้งสั่งให้ไปตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงได้กลับมาแล้ว แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้ร่องรอยอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงซูจิ้งก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมเขายังตามพวกหนูไปโดยไม่พาเขาไปด้วยอีกทำให้เขางงหนักมาก

“นี่เขาสืบสวนวิธีไหนกันนี่ ทำไมฉันไม่ยอมโทรหาตำรวจแต่แรกนะ” เหมาจิ้งหยูในตอนนี้รู้สึกหมดความเชื่อมั่นในตัวซูจิ้งแล้ว

ไม่ว่ามองอีท่าไหนเขาก็ไม่เห็นว่าจะสืบสวนอะไรเลยสักนิด คนแบบนี้ยังเรียกว่าพระเจ้าได้อีกรึไงกัน นี่มันเสียเวลาชัดๆ เมื่อคิดดังนี้แล้ว เหมาจิ้งหยูเองก็ได้ทำการโทรหาตำรวจในทันที

อีกฝากหนึ่ง ซูจิ้งได้ติดตามหนูของเขาไป ระยะห่างจากตรงนี้อยู่ห่างจากจุดลักพาตัวประมาณหนึ่งกิโลเมตรเห็นจะได้ ตอนนั้นเองเจ้าหนูก็ได้หยุดเท่าลงและทำการชึ้ไปยังมุมตึกแห่งหนึ่งแล้วทำท่าเกาพื้นตรงนั้น

นี่หมายความว่าเศษเสื้อนั้นได้มาจากที่ตรงนี้ ซูจึ้งจึงได้นำกระจกบรอนซ์ออกมาและทำการฉายภาพย้อนกลับไปในทันที

คราวนี้ง่ายกว่าครั้งแรกนั่นก็เพราะว่าเขารู้ช่วงเวลาเกิดเหตุแล้ว เศษผ้านี้เองก็สมควรจะถูกทั้งด้วยเวลาไม่ห่างกันมากนัก

ทันทีที่กระจกฉายภาพก็แสดงให้เห็นว่ามีหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านไป ในระหว่างนั้นเขาก็ได้ทิ้งเศษเสื้อออกจากกระเป๋าและโยนไปที่มุมตึกนั้นก่อนที่จะเดินจากไป

อย่างที่ซูจิ้งคาดไว้ คนที่นำมาทิ้งนั้นไม่ได้ใส่หน้ากากแล้ว นั่นก็เพราะการที่จะต้องนำเศษผ้าไปทิ้งไว้ยังที่ต่างๆ หากใส่หน้ากากก็จะเป็นจุดสังเกตเกินไป

และที่เขาทำนั้นก็แค่แค่ทิ้งเศษผ้าเท่านั้น เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดปกติจึงไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก เพราะยังไงซะตรงนี้ก็ไม่มีกล้องแน่นอนว่าเขาก็ไม่ต้องอะไรเลยแม้แต่น้อย

“ได้หลักฐานสำคัญแล้วสินะ” ซูจิ้งได้นำโทรศัพท์ออกมาในทันทีเพื่อภ่ายภาพคนๆนี้เอาไว้การที่จะโทรหาซูฉือและหลัวฉือือหลินเพื่อให้ดำเนินการสืบสวนในทันที