ตอนที่ 2016 กิ้งก่ามารแปดขากับยาวิญญาณเซียน

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ที่ข้ารู้มา มีอสูรมารหายากชนิดหนึ่งเรียก กิ้งก่ามารแปดขา พบเฉพาะในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว อสูรมารชนิดนี้แม้เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ แต่พออยู่ในทะเลทราย กลับเคลื่อนไหวได้ดุจลม หากหามานำทางได้สักสองสามตัว ก็จะประหยัดเวลาไปกว่าครึ่ง” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวพูดช้าๆ

“ในเมื่อมีอสูรมารชนิดนี้ ก็พิจารณาถึงการเดินทางด้วยเส้นทางสายสุดท้ายได้แล้วสิ เพราะจริงๆ แล้วเส้นทางสายนี้เสถียรกว่าการเดินทางในทะเลมาก เพียงแต่เสียเวลามากกว่าเท่านั้น”

พอสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกได้ยิน ก็พูดขณะคิดอะไรบางอย่างอยู่

“ท่านเซียนเยี่ยมองเรื่องนี้ง่ายเกินไปแล้ว กิ้งก่ามารแปดขานั่น โดยตัวของมันเองทั้งแก่นมาร เลือดเนื้อและโครงกระดูกล้วนเป็นของล้ำค่าที่ผ่านการล่าสังหารอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี อสูรมารชนิดนี้จึงใกล้สูญพันธุ์เต็มที แม้ยังมีหลงเหลือยู่บ้าง ถ้าไม่ซ่อนตัวในส่วนลึกของทะเลทราย ก็ต้องถูกกองกำลังมารท้องถิ่นขนาดใหญ่ไม่กี่กองแอบเลี้ยงไว้ ถ้าเราอยากได้สักตัวสองตัว ก็พอจะมีวิธี แต่ถ้าต้องการคนละตัว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวทอดถอนใจ ก่อนแสดงท่าทางอับจนหนทางออกมา

“ในเมื่อกิ้งก่ามารหายากเพียงนี้ เราพอจะใช้อสูรมารหรืออสูรวิญญาณชนิดอื่นแทนได้ไหม ข้ามีอสูรวิญญาณที่เชี่ยวชาญการโลดแล่นบนบกอยู่หลายตัว” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกลอกตาเล็กน้อย ก่อนเสนอแนะ

“ทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวกำราบพวกอสูรได้ชะงัดนัก อสูรทั่วไปต่อให้ปกติว่องไวขนาดไหน พอเข้าสู่ทะเลทรายแห่งนี้ จะกลายเป็นเงอะงะสุดจะเปรียบทันที แบบใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย มีก็แต่อสูรมารที่เดิมทีใช้ชีวิตในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ และในหมู่อสูรมารเหล่านี้ กิ้งก่ามารแปดขาเคลื่อนที่ได้ไวสุด ส่วนอสูรมารอื่นๆ รองลงมา มีความเร็วไม่ถึงครึ่งของมันด้วยซ้ำ” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวขมวดคิ้วขณะพูด

สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกจึงแสดงท่าทางผิดหวังออกมา

ทว่าหานลี่ พอฟังถึงตรงนี้ สีหน้ากลับเปลี่ยนไป

สตรีนางนี้รู้เรื่องราวในแดนมารละเอียดขนาดนี้ เห็นทีการเตรียมตัวล่วงหน้าของเผ่าวิญญาณเหล่านี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าสกุลหล่งเลย กระทั่งอาจเข้าใจกองกำลังและสถานที่ในแดนมารได้ละเอียดกว่าสกุลหล่งมาก อย่างเรื่องเกี่ยวกับกิ้งก่ามารแปดขา บรรพชนตระกูลหล่งนั่นก็เท่ากับไม่รู้เรื่องเลย

“ถ้าอยากรวบรวมกิ้งก่ามารแปดขาจริงๆ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ อย่างมากก็ถอนรากถอนโคนกองกำลังมารขนาดใหญ่ไม่กี่กอง ใช้ไม้แข็งแย่งกิ้งก่ามารมาก็ได้แล้ว จากพลังความร่วมมือของเรา เรื่องเช่นนี้ทำได้ไม่ยาก” ผู้อาวุโสฮุยที่อยู่ข้างๆ บรรพชนหล่งแค่นหัวเราะเย็นชาก่อนพูด

“จากพละกำลังของเรา นอกจากพบเจอบรรพชนมารศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่เกรงกลัวอะไรอีก แต่ถ้าทำเช่นนี้ จะเป็นการเล่นใหญ่ไปหน่อย ง่ายที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้แข็งแกร่งเผ่ามาร เกิดพวกเขาจับตาดูเรา หรือใช้เขตอาคมส่งตัวสกัดกั้นเราโดยตรงที่ปลายอีกด้านหนึ่งของทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว!” หลังจากบรรพชนหล่งคิดๆ ดู ก็ส่ายศีรษะก่อนพูด

“ก็จริง แต่ถ้าเราเกิดขัดแย้งกับกองกำลังมารขนาดใหญ่ไม่กี่กองนี้ แล้ววางแผนขโมยกิ้งก่ามารมา หรือใช้ของอื่นๆ แลกกิ้งก่ามารจากมือของกองกำลังมารล่ะ อสูรมารเหล่านี้แม้หายาก แต่จากฐานะทางบ้านของเรา ยังต้องกลัวอีกหรือว่าจะไม่มีของล้ำค่าพอกันที่จะนำมาแลกเปลี่ยน” ปราชญ์เฒ่าฉางสิงกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่าง

“ข้ารู้สึกว่าไปทางทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวเสถียรกว่า!” ผู้อาวุโสจินกู่แห่งเผ่าวิญญาณพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียว

“แต่ข้าเห็นด้วยกับพี่หลิน การไปทางทะเลยังคงเป็นไปได้มากกว่า อย่างไรการไปทางทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวใช้เวลานานเกินไป อีกทั้งกิ้งก่ามารแปดขาเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีเพียงพอหรือเปล่า” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกขบคิดสักพัก กลับเห็นด้วยกับชายผมยาว

ส่วนคนอื่นๆ ก็มีท่าทีครุ่นคิด ต่างกำลังชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้รอบคอบ ไม่บุ่มบ่ามแสดงความคิดเห็น

“สหายหาน ตอนนี้เจ้ามีแนวโน้มที่จะไปทางไหน” หลังจากดวงตาบรรพชนหล่งเปลี่ยนไปมา ทอประกายแล้วดับ ดับแล้วทอประกาย ก็หันมาถามหานลี่

 “ก่อนตอบ ผู้แซ่หานอยากถามพี่หล่งว่า ไม่ทราบตอนนี้เราต้องใช้เวลาอีกกี่วัน จึงจะไปถึงทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว หลายเดือนหรือหลายปี” หานลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยถามอย่างใจเย็น

“หลายปี? ไม่นานขนาดนั้นหรอก จากนี่ไปถึงทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว ใช้เวลาแค่ปีกว่าก็ไปถึงแล้ว แน่นอนว่าระหว่างทางเราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรมาทำให้ชักช้าเสียเวลาสักนิดนะ ทำไมพี่หานจึงถามเช่นนี้เล่า” บรรพชนหล่งถามอย่างแปลกใจอยู่บ้าง

“ถ้าใช้ระดับความเสี่ยงมาตัดสิน ข้าน้อยย่อมมีแนวโน้มว่าจะไปทางทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว แต่ถ้าไม่สามารถรวบรวมกิ้งก่ามารแปดขาได้เพียงพอ เวลาที่เสียไปก็นานเกินไปหน่อย เทียบกับทางทะเลแล้ว ได้ไม่คุ้มเสียอยู่บ้าง อย่างไรทางทะเลก็ใช้เวลาไม่ถึงสิบกว่าปี ประหยัดเวลาที่ยาวนานลง ซึ่งเพียงพอที่จะชดเชยให้ความเสี่ยงแล้ว ความหมายของผู้แซ่หานก็คือ ไม่เกี่ยงในการคำนึงถึงทั้งสองทาง” หานลี่พูดทีละคำ

“มีวิธีคำนึงถึงทั้งสองทางด้วยหรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวถามพลางครุ่นคิดเล็กน้อย

“เราสามารถไปทางทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวก่อน และพอใกล้ถึง ค่อยไปพบปะกับกองกำลังมารท้องถิ่น ดูว่าสามารถรวบรวมกิ้งก่ามารแปดขาได้เพียงพอหรือไม่ แล้วค่อยว่ากัน ถ้าตามหาอสูรมารได้เพียงพอจริงๆ ย่อมตรงเข้าทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวเลย แต่ถ้าทำไม่ได้ ค่อยย้อนกลับทางเดิมแล้วไปทะเล ก็ยังไม่สายเหมือนกัน อย่างไรไปกลับเสียเวลาไม่เกินสองปีเท่านั้น เวลาประมาณนี้ เราน่าจะรับได้อยู่” หานลี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เอ๋ ความคิดนี้ไม่เลว มีความเสถียรเพิ่มขึ้นจริงๆ ข้าเห็นด้วยกับความคิดของพี่หาน!” ตาสวยของสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกเปล่งประกาย แสดงอาการดีใจออกมา

“ความคิดนี้ค่อนข้างเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่ายจริงๆ” หลังจากชายแซ่หลินขบคิดเล็กน้อย ก็แสดงท่าทีเห็นด้วย

“สหายเชียนชิว เจ้าล่ะ” บรรพชนหล่งขยับท่าทีเล็กน้อย หันไปถามสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิว

“ข้าต้องหารือกับคนในเผ่าสักพัก จึงจะให้คำตอบกับสหายได้” หลังจากสีหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็พูดช้าๆ ขึ้น

“นี่ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรอยู่” บรรพชนหล่งรับปากทันที

และแล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกับคนเผ่าวิญญาณกลุ่มหนึ่ง ก็มารวมกลุ่มกันหารือต่อหน้าหานลี่และคนอื่นๆ

ขณะเดียวกัน บรรพชนหล่งก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อย หันไปพูดคุยอะไรลับๆ กับผู้อาวุโสฮุยที่อยู่ข้างกาย

“พี่หาน วิธีที่ท่านว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยยิ่ง ข้าว่าทั้งคนเผ่าวิญญาณและตัวประหลาดเฒ่าหล่งเป็นไปได้กว่าครึ่งที่จะเห็นด้วย แต่ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ตาเฒ่าหล่งอยากไปทางทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวมากกว่า ส่วนคนเผ่าวิญญาณเหมือนมีแนวโน้มไปทางทะเล ในใจของพวกเขาอาจมีแผนการอะไรบางอย่าง ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร เจ้ากับข้าล้วนต้องระมัดระวังให้มากขึ้น” หานลี่พลันได้ยินเสียงสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหู

พลันเหลือบมองไป กลับพบว่านางยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ มองไม่ออกว่าหน้าเปลี่ยนสีแม้แต่น้อย

“ขอบคุณสหายเยี่ยที่เตือนสติ ผู้แซ่หานจะระวังให้ดี” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่แสดงท่าทีเช่นกัน

สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกมิได้ส่งเสียงอะไรอีก กลับมุมปากยกขึ้นน้อยๆ

ทุกอย่างในเวลาต่อมา แทบจะเป็นไปอย่างที่สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกคาดการณ์ไว้

หลังจากสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวและคนเผ่าวิญญาณหารือกันเสร็จ ก็แสดงท่าทีว่าเห็นด้วยกับวิธีที่หานลี่เสนอ บรรพชนหล่งก็ย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

จากนั้นกลุ่มคนเผ่าวิญญาณพลันเปลี่ยนทิศทาง เหาะไปตามทุ่งหญ้า มุ่งสู่ทิศตะวันตก

ซึ่งกลุ่มบรรพชนหล่งย่อมไม่รู้ว่า บนท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไปกว่าหมื่นลี้ มีแสงโทนชมพูกลุ่มหนึ่ง กะพริบตามหลังพวกเขาอยู่ห่างๆ

…..

ขณะเดียวกัน พื้นที่ต้องห้ามลึกลับของเผ่าวิญญาณในแดนมนุษย์

เขตอาคมวงกลมขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบลี้กำลังกะพริบแสงพลางหมุนอย่างรวดเร็วบนพื้นซึ่งดำเป็นตอตะโก พร้อมส่งเสียงดังไม่หยุด

อักขระยันต์หลากสีจำนวนนับไม่ถ้วนต่อต้านด้วยการพุ่งพรวดๆ ออกมา แล้วจับตัวกันเป็นโซ่อักขระยันต์หยาบใหญ่หลายเส้น มัดเงาคนคนหนึ่งไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

เงาคนสูงราวร้อยจั้ง สวมเกราะรบโบราณสีทองแบบเรียบๆ แต่ด้านหลังกลับมีเงามารสีแดงโลหิตเปล่งแสงวูบวาบไม่หยุด พลางส่งเสียงร้องแหลมแบบแปลกๆ หลายรูปแบบ

แต่เงาคนกลับกำลังยกสองมือขึ้นสูงเสียดฟ้า โดยในที่ที่เหนือฝ่ามือของเขาขึ้นไปหลายจั้ง ตาข่ายสีเงินตาถี่ยิบผืนหนึ่งกำลังสั่นไม่หยุด ขณะพยุงไข่มุกสีเงินเม็ดใหญ่ราวหนึ่งหมู่ไว้

ผิวของไข่มุกเต็มไปด้วยลายสลัก พอสั่นคลอน ก็ทำให้ที่ว่างใกล้เคียงพร่ามัวและบิดเบี้ยวเล็กน้อย

ใบหน้าของเงาคนที่ใหญ่ราวกับยักษ์หล่อเหลาเอาการ แต่กลับเต็มไปด้วยเหงื่อและอารมณ์โกรธอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะมองไปยังไข่มุกยักษ์สีเงินบนที่สูง

กลางอากาศรอบเขตอาคม พลันมีผู้ดำรงอยู่แบบวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับผสานอินทรีย์ที่แต่งกายไม่เหมือนกันแปดคน ต่างพยุงจานเขตอาคมไว้ในมือ และทำการกระตุ้นเขตอาคมขนาดใหญ่ทั้งอันอย่างเต็มที่จนเหงื่อโซมกายเหมือนกัน

ส่วนตรงกลางเขตอาคม ในที่ที่สูงขึ้นไปหลายพันจั้ง กลับมีตำหนักเปล่งแสงสีทองอยู่หลังหนึ่ง ลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน เงียบผิดปกติ ดูแปลกเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ถึงได้มีมุกผนึกเซียน หรือเจ้าคือทาสวิญญาณที่หนีออกมาจากแดนเซียนคนนั้นจริงๆ” ร่างยักษ์อ้าปากตะโกนถามเสียงต่ำขึ้นไปบนฟ้าอย่างเหี้ยมเกรียม

“ข้าเป็นใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ในเมื่อเจ้ามีตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณ ก็ไม่สามารถอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันและอยู่ในวันคืนเดียวกันกับเผ่าวิญญาณเราได้ ตอนนี้เจ้าได้ตกอยู่ในเขตอาคมกักมารขนาดใหญ่แล้ว แถมยังถูกมุกผนึกเซียนสยบไว้ด้วย ที่นี่ก็คือที่ฝังศพของเจ้าแล้ว” เสียงเย็นชาของชายผู้หนึ่งดังออกมาจากตำหนักสีทอง แต่ฟังดูชราภาพมาก

“เจ้านึกจริงๆ หรือว่า ลำพังวิธีเหล่านี้ก็ฆ่าข้าได้แล้ว ข้าบำเพ็ญเพียรจนได้ร่างเซียนทองวิญญาณแท้แต่แรก คนกระจอกจากแดนล่างคิดจะฆ่าข้า ฝันกลางวันแท้ๆ อีกสักพักพอข้าหลุดจากการกักขังไปได้ ต้องตีทาสวิญญาณอย่างพวกเจ้าให้ขวัญหนีดีฝ่อทุกคน แล้วส่งเข้าไปในเตาหลอม หลอมใหม่ทั้งหมด” เงาคนสูงใหญ่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ก่อนแผดเสียงที่เต็มไปด้วยความดุดันออกมา

“ข้าย่อมรู้ว่า เขตอาคมกักมารกับมุกสยบเซียนแม้รวมพลังกัน ก็ไม่เพียงพอที่จะสังหารวิญญาณเซียนแท้ตนหนึ่งได้ แม้พลังยุทธ์ของเซียนแท้ผู้นี้ ตอนนี้ยังแข็งแกร่งสู้ข้าไม่ได้ แต่ถ้าข้าผนึกเจ้าขึ้นมา แล้วเคลื่อนย้ายไปยังดินแดนแห่งไฟเก้ายมโลก ใช้ไฟแท้ในร่างผสานกับไฟเก้ายมโลกค่อยๆ หลอมเจ้า ขอเพียงยอมเสียเวลาสักแสนปี ใช้วิญญาณแท้ของเจ้ามาทำเป็นวัตถุดิบ ก็ปรุงยาวิญญาณเซียนได้เม็ดหนึ่งแล้ว”เสียงชราในตำหนักสีทองแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ก่อนพูดอย่างหนาวเข้ากระดูก