ตอนที่ 2017 ดอกฝูหลิงหยดโลหิตกับเจดีย์ผลึกแสงประกาย

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“เฮอะ คิดนำวิญญาณแท้ข้าไปปรุงยาวิญญาณ ช่างกล้าคิดจริงๆ ถ้าอยู่ในแดนเซียน เฉพาะข้อนี้ก็ถือว่าแตะกฎเหล็กของแดนเซียนแล้ว ต้องถูกเพชฌฆาตลงทัณฑ์ฆ่าล้างโครตทันที” พอได้ยิน เงาคนยักษ์ก็สั่นน้อยๆ แสดงความโกรธบนใบหน้า แค่นเสียงเย็นชาก่อนพูด

“เอ เจ้าก็รู้นี่ว่าที่นี่ไม่ใช่แดนเซียน แม้เซียนผู้ตรวจตราเหล่านั้นมีอิทธิฤทธิ์มากมาย แต่ตราบใดที่สิ่งต่างๆ ไม่ขัดขวางการดำรงอยู่ในดินแดน พวกเขาจะสัมผัสถึงเรื่องทั้งหมดของที่นี่ได้อย่างไรกัน รอจนข้ากลืนยาวิญญาณเซียนเข้าไป ขั้นบำเพ็ญเพียรพุ่งพรวด ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลข้าแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองในดินแดนนี้แล้ว ความเสี่ยงเช่นนี้ ตระกูลข้ารับได้! ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากวิธีนี้แล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกที่จะทำลายวิญญาณแท้ของเซียนผู้หนึ่ง ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก!” เสียงชราภาพพูดอย่างใจเย็น ไม่หวาดหวั่นไม้แต่น้อย

“ดี ดี! ข้าก็นับว่าเป็นพยัคฆ์ตกต่ำถูกสุนัขรังแกแล้ว กับคนกระจอกที่ดำรงอยู่ในระดับมหายานคนหนึ่ง ถ้าข้าอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้ มือเดียวก็ฆ่าเจ้าได้แล้ว ตอนนี้กลับริอ่านเหิมเกริมต่อหน้าข้าเช่นนี้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่า เจ้าจะใช้วิธีไหนมาผนึกและหลอมวิญญาณแท้ข้า” หลังจากประกายตาของเงาคนยักษ์วาบสองสามครั้ง กลับไม่โกรธ แต่หัวเราะขึ้นมา

จากนั้นเงาคนยักษ์พลันสั่นมือทั้งสองข้างอย่างแรง สิบนิ้วพร่ามัวเนื่องจากดีดเคล็ดวิชาสิบกว่ากระบวนต่อเนื่องกันออกไป พอกะพริบวาบก็หายเข้าไปในตาข่ายยักษ์สีเงินบนที่สูง ซึ่งก็คือร่างแปลงของตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณ

ทันใด ในตาข่ายยักษ์เกิดเสียงดังกระหึ่ม พลังลมปราณพลันแกร่งขึ้นหลายสิบเท่า พลังการต่อสู้ม้วนขึ้นด้านบน พยุงไข่มุกยักษ์สีเงินให้สูงขึ้นอีกสิบกว่าจั้ง

พอเห็นดังนี้ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แปดท่านที่ร่ายอาคมกระตุ้นเขตอาคมใหญ่อยู่แต่เดิมก็ตื่นตกใจ ทำการส่งพลังยุทธ์ทั้งร่างเข้าจานคาถาในมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

จานคาถาพลันระเบิดออก เปล่งแสงสว่างแยงตา พร้อมเสียงดังวิ้ง!

อักขระยันต์ที่อยู่รอบๆ ก็หมุนกลิ้ง จับตัวกันเป็นโซ่ยันต์หนาและใหญ่หลายเส้น พุ่งเข้ามัดเงาคนยักษ์

แต่เห็นชัดว่า มาช้าไปหน่อย!

พอเงาคนยักษ์รู้สึกคลายตัว พลังภายในบางส่วนที่เดิมทีนิ่งค้างไม่ยืดหยุ่น พลันฟื้นคืนกลับ แม้เพียงครู่เดียว ก็เพียงพอที่จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ปกป้องชีวิตตนเองแล้ว

เขาคำรามเสียงต่ำ เงามารสิบกว่ากลุ่มที่อยู่ด้านหลังระเบิดเสียงดัง ‘ปัง ปัง’ กลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าหายเข้าไปในร่างของเขา

ร่างที่พร่ามัวอยู่แต่เดิม เปลี่ยนเป็นกระจ่างชัดในพริบตา ชุดเกราะยิ่งขยายใหญ่ จนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าสีทองแดง

บนทรวงอกของเขา มีลายสักรูปดอกไม้ประหลาดสีทองที่เหมือนจริงมากดอกหนึ่ง

พริบตาที่สัญลักษณ์ดอกยักษ์ปรากฏ ปากของเงาคนก็ขยับ คำสาปโบราณซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในแดนวิญญาณ กระจายออกอย่างรวดเร็ว

หลังจากดอกไม้สีทองสั่นน้อยๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต พร้อมโชยกลิ่นคาวโลหิตเตะจมูก จากนั้นแสงใสๆ สีแดงที่อยู่บนผิวกายก็ไหลเวียนอยู่รอบหนึ่ง ก่อนลอยเอื่อยๆ ออกจากทรวงอก กลายเป็นดอกไม้เสมือนจริง

“ดอกฝูหลิงหยดโลหิต! เจ้าในตอนนี้มิใช่ร่างที่มีเลือดเนื้อแล้ว กลับเป็นร่างปีศาจดอกไม้!”

เสียงชราภาพที่ดังออกมาจากตำหนักสีทองแสดงความตื่นตระหนก!

แต่เงาคนยักษ์ไม่สนใจแต่อย่างใด เพียงก้มหน้ามองดอกไม้ยักษ์สีโลหิต พลางอ้าปากเป่า

เสียงดัง ‘ปุ ปุ’

พลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบบริเวณ ม้วนตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปในดอกไม้สีโลหิตดุจกรวย เป็นเหตุให้ท้องฟ้ามืดครึ้มลง เมฆห้าสีขนาดราวหนึ่งหมู่ปะทุขึ้นอย่างดุเดือด ทั้งฟ้าดินมีวี่แววเปลี่ยนไปตามสีของมัน

หลังจากดอกไม้สีโลหิตดูดพลังปราณฟ้าดินไปมากมาย ขณะหดขยาย พลันมีขนาดใหญ่ขึ้นสิบกว่าเท่า พลางเปล่งความรู้สึกขนพองสยองเกล้าออกมา

“เจ้าบ้าไปแล้ว ที่ตัดสินใจระเบิดตัวเองเป็นดอกไม้ชนิดนี้ หรือไม่รู้ว่าขณะที่ดอกไม้ระเบิดออก เลือดเนื้อของเจ้าก็แตกสลายเป็นเถ้าธุลีตามไปด้วย”

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เสียงชราภาพพลันแตกตื่น ขณะแฝงท่าทีหวาดกลัวขึ้นวาบ

ไม่เพียงเท่านี้!

บนท้องฟ้าเหนือสิ่งก่อสร้างสูงสุดของตำหนักสีทองเกิดความแปรปรวน แล้วเงาคนคนหนึ่งก็โผล่ออกมาอย่างน่าพิศวง

กลับเป็นชายชราหน้าเด็ก ผมขาวมันวาว สวมชุดยาวสีขาว มุมแขนเสื้อข้างหนึ่งพิมพ์ลายใบเฟิงสีม่วงแดงหนึ่งใบ แต่พอเขามองลงไปยังดอกไม้ยักษ์สีโลหิตที่อยู่ด้านล่าง หน้าก็เครียดขึ้นมา

“เอ ระเบิดสังขารก็ดีกว่าวิญญาณแท้ถูกหลอมเป็นยาเยอะ จากพลังวิญญาณแท้ของข้า อย่างมากเสียเวลาอีกสักหลายแสนปี ก็ควบแน่นเป็นร่างเลือดเนื้อใหม่ได้แล้ว ถ้าเจ้ารู้กาลเทศะ ตอนนี้ก็รีบถอนเขตอาคมกับมุกผนึกเซียนไปเสีย ข้าจะไม่ถือสาหาความเรื่องก่อนหน้านี้ หันกายจากไปทันที ในเมื่อเจ้ารู้จักดอกไม้ปีศาจชนิดนี้ ก็น่าจะชัดเจนดีถึงอานุภาพในการระเบิดตัวเองของมัน เรื่องใหญ่ไม่พูด แค่ทำให้พวกเจ้าไม่กี่คนแตกสลายเป็นเถ้าธุลีในทันทีก็เกินพอแล้ว” เงาคนยักษ์มิได้มองดอกไม้ยักษ์ที่กำลังกะพริบแสงโลหิตปีศาจแปลกๆ แต่เหลือบมองชายชราที่อยู่บนฟ้า ก่อนพูดอย่างน่าเกรงขาม

พอได้ยินคำพูดของเงาคนที่อยู่ด้านล่าง ชายชราชุดขาวก็มิได้เปิดปากพูดอะไรในทันที แต่สีหน้าเคร่งขรึมสุดๆ ส่วนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดรอบๆ เขตอาคมที่อยู่ด้านล่าง หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงในดอกไม้ยักษ์สีโลหิต และได้ยินคำพูดของเงาคน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้สุดๆ แต่แรก

ทว่าขณะอยู่ภายใต้การนั่งสมาธิของชายชราที่อยู่เหนือศีรษะ กลับไม่มีใครกล้าทำอื่นใด ยังคงรักษาพลังของเขตอาคมไว้อย่างสุดชีวิต

“ปล่อยเจ้าไป? ได้! รอให้ผนึกเจ้าเสร็จเรียบร้อย ข้าอาจทบทวนเรื่องนี้ดู”

หลังจากสีหน้าของชายชราชุดขาวเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง จู่ๆ ก็ปรากฏแววเหี้ยมเกรียมที่ไม่เข้ากันกับใบหน้าขึ้นวาบ จากนั้นร่างก็สั่นไหว หายไปในอากาศตรงที่เดิมดุจภาพมายาก็มิปาน

“ถ้าเจ้าอยากตายจริงๆ ข้าก็จะให้พวกเจ้าได้ตายสมใจ!” พอเห็นภาพนี้ เงาคนยักษ์ที่อยู่ด้านล่างพลันหน้าถอดสี แผดเสียงแหลมร้อง แต่พอเหลือบมองดอกไม้ยักษ์สีโลหิต ก็ลังเลใจเล็กน้อยที่จะดำเนินการอย่างอดไม่ได้

วาจาเมื่อครู่ ดูเหมือนผ่อนคลาย แต่ความจริงในใจเขาชัดเจนดีว่า พอไม่มีร่างเลือดเนื้ออีกครั้ง ถ้าจะหลอมขึ้นใหม่อีก เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากจริงๆ

การได้ร่างใหม่ในหลายแสนปี เว้นเสียแต่จะโชคดีสุดๆ หาไม่แล้ว ระยะเวลาเท่านี้เป็นไปไม่ได้แน่ๆ

ส่วนร่างเลือดเนื้อนี้ ควบแน่นจากดอกไม้ปีศาจฝูหลิงหยดโลหิต ก็ยิ่งยากสุดๆ กว่าจะได้มา

เขาต้องเสียแรงกายแรงใจไม่รู้มากน้อยแค่ไหน ต้องใช้เวลานานกว่าแสนปีเต็มๆ หลอมมันขึ้นมาทีละน้อย

ด้วยร่างเลือดเนื้อนี้ ขอเพียงเขาหมั่นบำเพ็ญเพียร ฟื้นฟูพลังยุทธ์กับอิทธิฤทธิ์ให้อยู่ในจุดสุดยอดแบบในอดีต ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้

แต่ถ้าสูญเสียร่างปีศาจนี้ไป เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ร่างที่เหมาะสมเช่นนี้อีกหรือไม่ การฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยาวไกลไร้วันคืนแล้ว

แต่เงาคนมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา การลังเลใจเช่นนี้เป็นไปเพียงชั่วขณะ หลังจากกัดฟัน ปากก็ส่งเสียงร่ายคำสาปออกมาอีกครั้ง พร้อมกับใช้นิ้วที่พลันพร่ามัว จิ้มไปที่ดอกไม้ยักษ์สีโลหิตอย่างจริงจัง

ดอกไม้โลหิตยักษ์กรีดร้องเสียงแหลม พอตัวดอกขยายออก กลีบดอกแต่ละกลีบพลันปรากฏรอยสีขาวเป็นเส้นๆ พลางเปล่งพลังปราณอันน่าพรั่นพรึงที่แกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าออกจากใจกลางดอกไม้

ขณะเดียวกัน เมฆวิญญาณห้าสีเป็นกลุ่มๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า ก็จับตัวรวมเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การกระตุ้นของพลังปราณฟ้าดิน กลายเป็นฝาหม้อห้าสีสะท้านฟ้า ค่อยๆ กดลงไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดเหงื่อกาฬหลั่งไหล เพียงรู้สึกว่าร่างจมลง คล้ายถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับอย่างไรอย่างนั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดเปลี่ยนเป็นช้าสุดจะเปรียบ

วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดพลันแตกตื่น ร่างส่งเสียงดังหึ่งๆ แสงวิญญาณหลายสิบกลุ่มพุ่งออกจากร่างพร้อมกัน กลายเป็นม่านแสงหลายชั้นปกป้องพวกเขาไว้

ซึ่งก็คือ สมบัติวิญญาณป้องกันร่าง พุ่งออกไปปกป้องพวกเขาเอง

แม้พวกเขาไม่เป็นไรชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ล้วนหน้าซีดด้วยความตกใจ จึงขยับร่างทยอยกันดีดตัวถอยออก การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูว่องไวดุจสายฟ้า แต่ยังช้ากว่าความเร็วในการหลบหนีตามปกติหลายเท่า ทำให้ไม่สามารถหนีออกจากขอบเขตครอบคลุม หลังจากดอกไม้โลหิตระเบิดตัวเอง

แต่เห็นชัดว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดรู้ในจุดนี้ ขณะดีดตัวถอยหนี สมบัติวิเศษหลายแบบหลากชนิดก็พุ่งออกมาบินวนไปรอบๆ ดุจผึ้งแตกรัง

พอเงาคนยักษ์เห็นภาพบาดตาเช่นนี้ แววตาก็เย็นวาบ สองมือเปลี่ยนท่าร่ายอาคม ปากเปล่งคำว่า “ระเบิด” ออกมาในที่สุด

ดอกไม้ยักษ์สีโลหิตสั่นไหว รอยสีขาวบนกลีบดอกทุกกลีบหนาขึ้นกว่าเท่าตัว ของเหลวสีแดงสดคล้ายหินหลอมเหลวพ่นออกจากรอยสีขาวเป็นสายๆ

ซึ่งพริบตาที่ของเหลวสีแดงสดเหล่านี้สัมผัสถูกอากาศ กลับกลายเป็นเปลวไฟสีแดงเข้มพร้อมเสียงดังปุๆ ลอยอยู่อย่างหนาแน่น จนช่องว่างถูกย้อมให้เป็นสีแดงแทบทั้งหมด แล้วแสงสีแดงก็หดขยายวูบๆ วาบๆ ทำท่าจะทยอยกันระเบิดออก

ขณะเดียวกัน เงาคนยักษ์ก็สั่นไหว พลันหดตัวลงจนมีขนาดเท่าคนปกติ พร้อมเปล่งแสงสีเงินแวววาวปกปิดร่างไว้

คนผู้นี้แม้ยอมใช้ร่างเลือดเนื้อเข้าแลก เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณแท้เสียหายยับเยิน ย่อมต้องทำการป้องกันแรงระเบิดตัวเองเช่นนี้ด้วย

พอเห็นว่าบริเวณทั้งหมดกำลังจะเหี้ยนเตียนในไม่ช้า เสียงเย็นๆ ของชายชราชุดขาวก็ดังขึ้นกลางอากาศเหนือดอกไม้ยักษ์อย่างเย็นชา

“คิดระเบิดตัวเอง ยังต้องดูว่าข้าเห็นด้วยหรือไม่อีก ข้ายอมแลกให้ร่างเดิมเสียหายไปหมื่นปี ก็ต้องกำราบเจ้าให้ถึงที่สุด”

สิ้นเสียง กลางที่ว่างวาบแสงสีขาว เจดีย์ยักษ์สูงกว่าร้อยจั้งหลังหนึ่งโผล่ออกมา

เป็นเจดีย์ผลึกใสทั้งหลัง พื้นผิวสลักอักขระยันต์โปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เปล่งแสงสีขาวนวลแปลกๆ ราวกับหลอมมาจากน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น

ที่แปลกเป็นพิเศษก็คือ บนยอดเจดีย์ยักษ์ ฝังลูกปัดสีน้ำเงินขนาดเท่าศีรษะไว้ลูกหนึ่ง

มองดูแวบแรกคล้ายเรียบเนียนดุจหยก แต่เมื่อมองดูดีๆ กลับพบว่าพื้นผิวสลักเขตอาคมยันต์โปร่งแสงขนาดใหญ่เล็กจำนวนนับไม่ถ้วนไว้

ในนั้น เขตอาคมยันต์ขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยเขตอาคมยันต์ขนาดเล็ก และเขตอาคมยันต์ขนาดเล็กเชื่อมต่อกับเขตอาคมยันต์ขนาดจิ๋ว ร้อยเรียงกันเป็นชั้นๆ ลึกลับซับซ้อนสุดจะเปรียบ

หากมองดูซ้ำๆ อาจทำให้รู้สึกตาลายวิงเวียนศีรษะได้

ซึ่งเจดีย์น้ำแข็งนี้กลับเป็นร่างต้นแบบระดับสูงสุดในการดำรงอยู่ของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้ ถ้าเกิดตกลงมา ไอเย็นสีขาวโพลนอันน่าสะพรึงกลัวจะทะลักออกจากใต้เจดีย์ พอวาบแสง ก็จะม้วนแสงไฟและดอกไม้โลหิตยักษ์ที่อยู่ด้านล่างเข้าไปด้านในหมด

ในแสงสีขาวอันเย็นยะเยือก การควบแน่นทั้งหมดจะหยุดนิ่งในพริบตา ราวกับเวลาที่อยู่ด้านในถูกบังคับให้หยุดลงกะทันหันอย่างไรอย่างนั้น

และขณะนี้ ตัวเจดีย์น้ำแข็งเองก็ส่งเสียงดังกระหึ่ม ก่อนทิ้งตัวลงมา

“เจดีย์ผลึกแสงประกาย! เจ้ากลับเป็นทาสวิญญาณที่สมบัติชิ้นนี้จำแลงกายมา เป็นไปไม่ได้ แบบจำลองของสมบัติชิ้นนี้ทั้งหมดควรถูกทำลายขณะเกิดความโกลาหลในวังเซียนเป่ยหมิงเมื่อหลายล้านปีก่อนแล้ว จะเกิดเป็นทาสวิญญาณได้อย่างไรกัน!”

เดิมทีเงาคนที่อยู่ด้านล่างมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยแววตาที่ขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง แต่พอเขาเห็นเจดีย์ผลึกน้ำแข็งหลังนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาวสุดจะเปรียบ พลางส่งเสียงคำรามต่ำอันน่าหวาดหวั่นออกมา