ตอนที่ 2018 ยันต์ผนึกวิญญาณแปลงลี้ลับ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เงาคนในฐานะที่เคยดำรงอยู่ในแดนเซียน ย่อมชัดเจนดีถึงความร้ายกาจของเจดีย์ผลึกแสงประกาย รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี แต่ใจเกิดอยากสู้ตาย จึงกัดปลายลิ้น อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา

โลหิตบริสุทธิ์เหล่านี้ พอออกจากปาก พลันส่งเสียงดังก้อง กลายเป็นเปลวไฟลุกโชนสีแดงเข้ม จากนั้นพอวาบก็กลายเป็นงูหลามไฟหลายตัว แต่ละตัวยาวกว่าสิบจั้ง แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าหาเจดีย์ผลึกน้ำแข็ง

เงาคนชัดเจนดีว่า ขอเพียงเขาใช้ร่างจำแลงงูหลามที่กระตุ้นด้วยอาคมลับของแดนเซียน ต้านเจดีย์น้ำแข็งไว้สักพัก ดอกฝูหลิงหยดโลหิตก็จะสลายผนึกน้ำแข็งก่อนหน้านี้จนหมด เขาจะได้ปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่

ถึงตอนนั้น พอดอกไม้โลหิตสำแดงพลังทั้งหมดออกมา แม้เป็นเจดีย์ผลึกแสงประกายก็ไม่มีทางกำราบอยู่

แต่แผนนี้ของเงาคน คลับคล้ายเป็นไปตามที่ชายชราชุดขาวคาดการณ์ไว้ทุกอย่าง

เขาจึงเพียงหัวเราะเย็นชา!

ลูกปัดสีน้ำเงินบนยอดเจดีย์น้ำแข็งหมุนอยู่กับที่เองทันที พลางส่งเสียงแหลมดังแหวกอากาศ เส้นแสงสีน้ำเงินขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือหลายสายพุ่งออกจากลูกปัด พอวาบ ก็จู่โจมใส่ร่างของงูหลามไฟเหล่านั้นดุจสายฟ้าฟาด

เสียงดัง ‘เปรี้ยง’

ไม่รู้ว่าเส้นแสงสีน้ำเงินเหล่านี้มีพลังแฝงอันน่าสะพรึงกลัวแบบไหนกัน งูหลามไฟยักษ์หลายตัวที่ดูดุร้าย ถึงได้ถูกทำลายไปพร้อมเสียงในพริบตา กลายเป็นควันสีเขียวเป็นกลุ่มๆ

เงาคนหน้าถอดสี ขณะคิดร่ายคาถาอื่นๆ กลับไม่ทันกาล

เจดีย์น้ำแข็งที่สูงกว่าร้อยจั้งได้ฉายแสงอันเย็นยะเยียบผืนใหญ่วาบ กดดอกไม้ยักษ์สีโลหิตพร้อมเงาคนไว้ด้านล่าง

พอแสงประหลาดที่ผิวของเจดีย์ผลึกน้ำแข็งกะพริบ อักขระยันต์สีทองนับไม่ถ้วนก็พุ่งพรวดๆ ออกมาตามแต่ละชั้นของเจดีย์ลงสู่ด้านล่าง ดุจห่าฝนที่ตกลงมากะทันหัน

อานุภาพไม่น่าทึ่งเลย!

ขณะเดียวกัน เงาร่างครึ่งตัวที่ชัดเจนเป็นพิเศษของชายชราชุดขาวก็โผล่ออกมานอกยอดเจดีย์ พลางตะโกนอย่างเฉียบขาดโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าไม่กี่คนยังยืนงงอะไรอีก รีบกระตุ้นเขตอาคมใหญ่กักมารเร็ว ช่วยข้าผนึกศัตรูตัวฉกาจของเผ่าเราให้เสร็จสมบูรณ์”

ผู้ที่ชายชราชุดขาวพูดด้วยย่อมเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดที่เป็นดุจวิหคตื่นคันศรเมื่อครู่

วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดท่านนี้ พอเห็นเจดีย์น้ำแข็งยับยั้งการระเบิดตัวเองของดอกไม้โลหิตยักษ์ไว้ได้ ในใจย่อมตื่นเต้นดีใจยิ่ง พอได้ยินคำพูดของชายชราอีก ขวัญที่หนีไปก็รีบกลับมา

หลังจากเห็นเงาคนแกว่งไกว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดก็ปรากฏตัวรอบๆ เขตอาคมใหม่ พยุงจานคาถาไว้ในมือ ทำการกระตุ้นเขตอาคมอีกครั้ง

อักขระยันต์ในเขตอาคมพลันปะทุขึ้น โซ่ยันต์บางข้อที่ขาดออก กลับมารวมตัวกันทีละข้อดังเดิม แล้วจึงกะพริบแสงสลับไปมารอบๆ เจดีย์น้ำแข็ง ก่อตัวเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ผืนหนึ่ง ครอบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านล่างไว้

ขณะเดียวกัน เจดีย์น้ำแข็งยักษ์ก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ พลางหดขยายไม่หยุด พร้อมแปลงกาย

ผลึกน้ำแข็งใสลึกล้ำเป็นชั้นๆ ขยับออกจากพื้นผิวเจดีย์ยักษ์มาจับตัวกัน

ส่วนเขตอาคมด้านล่างก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ พลางกะพริบวูบวาบไม่หยุด คล้ายกำลังสื่อสารกับเจดีย์น้ำแข็งก็มิปาน

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เจดีย์น้ำแข็งก็กลายเป็นภูเขายอดน้ำแข็งขนาดใหญ่สูงกว่าหลายพันจั้งลูกหนึ่งอย่างเหลือเชื่อ แช่แข็งเขตอาคมทั้งหมด กระทั่งโซ่ยันต์หลากสีหลายเส้นไว้ด้วยกัน

ส่วนเงาคนกับดอกไม้โลหิตยักษ์ดอกนั้น ย่อมอยู่ตรงใจกลางผนึกน้ำแข็ง

พอเห็นดังนี้ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แปดท่านที่ทำการกระตุ้นเขตอาคมตั้งแต่แรกค่อยโล่งอก ใบหน้าแสดงความยินดีปรีดาออกมา

แต่ขณะนั้น ชายชราชุดขาวกลับยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงหันมาทางวิญญาณทั้งแปดพลางกำชับโดยไม่อนุญาตให้สงสัย

“พวกเจ้าฟังให้ดี แม้ข้าใช้ร่างเดิมผนึกศัตรูตัวฉกาจนี้ไว้แล้ว แต่ดอกฝูหลิงหยดโลหิตนั่นเป็นดอกไม้ประหลาดที่มีเฉพาะในแดนเซียน เกรงว่าต้องใช้เวลาหมื่นปีขึ้นไปในการสลายพลังของดอกไม้นี้ทีละเล็กละน้อย ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น พวกเจ้าจะแตะต้องภูเขายอดน้ำแข็งนี้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ปราณดั้งเดิมข้าก็ไม่สามารถอยู่ห่างจากร่างเดิมมากจนเกินไป มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาไม่รู้จบในภายหลัง! เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด พวกเจ้าต้องรีบวางเขตอาคมไว้รอบๆ ต่างหาก ทำเป็นเขตต้องห้ามหลากหลายรูปแบบ ผนึกเข้ากับร่างเดิมของข้า รวมทั้งเขตอาคมกักมารอีกชั้นหนึ่ง เช่นนี้ ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดอีก รอจนข้าสลายดอกฝูหลิงหยดโลหิตนั่นจนหมด ค่อยเคลื่อนย้ายภูเขายอดน้ำแข็งไปที่ดินแดนแห่งไฟเก้ายมโลก ถึงจะค่อยๆ หลอมวิญญาณแท้เป็นยาได้ ในช่วงที่ข้าไม่สามารถแบ่งจิตออกไป ธุระในเผ่าทั้งหมดก็มอบให้สมาคมผู้อาวุโสร่วมกันตัดสินใจ ต้องทำให้เผ่าเราก้าวผ่านพิบัติภัยมารในครั้งนี้ไปให้ได้! ขอเพียงพ้นจากหายนะ ความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าเราก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”

“น้อมรับคำสั่งใต้เท้าราชาวิญญาณ!” วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดรีบคุกเข่าลง รับปากอย่างเคารพนบนอบ

จากนั้นพวกเขาทั้งแปดก็เก็บจานคาถาในมือลง หลังจากแสงวิญญาณบนผิวกายกะพริบ แต่ละคนก็กลายเป็นสายรุ้งยาว ไปทำการถ่ายทอดคำสั่งอพยพที่ด้านนอก

พริบตาเดียว ที่ยอดเขาน้ำแข็งก็เหลือเพียงเงาร่างอันเดียวดายของชายชราชุดขาว

“เจ้านึกจริงๆ หรือว่าลำพังเจดีย์ผลึกแสงประกายที่ไม่สมบูรณ์นี่จะผนึกข้าไว้ได้! รอให้ข้าดูดพลังเย็นจากเจดีย์นี้จนหมด ดูสิว่าเจ้าจะเอาอะไรมาผนึกข้าอีก!”

ด้านล่างของภูเขายอดน้ำแข็งพลันมีเสียงคำรามต่ำของเงาคนดังก้องมา

“เฮอะ ไม่เสียทีที่เป็นคนจากแดนบน ดูออกแต่แรกว่าร่างเดิมของข้าไม่สมบูรณ์ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็นึกว่าตัวเองยังมีอิทธิฤทธิ์ที่ไม่สิ้นสุดของเซียนที่แท้จริงอยู่อีกหรือ จากขั้นบำเพ็ญเพียรของเจ้าในตอนนี้ คิดที่จะดูดพลังเย็นจากร่างเดิมข้า ฝันกลางวันชัดๆ แต่เจ้าก็รักษาพลังจากวิญญาณแท้ได้แกร่งพอตัว ยังเปิดปากพูดได้ แม้ตกอยู่ภายใต้การกำราบเช่นนี้ แต่ถึงสติสัมปชัญญะของเจ้าแจ่มใส ก็เหลือเวลาเพียงน้อยนิดตรงหน้าเท่านั้น” ชายชราชุดขาวก้มหน้าลง กวาดตามองด้านล่างของภูเขายอดน้ำแข็ง กลับแค่นเสียงเย็นชาออกมา

“หมายความว่าอะไร ข้าไม่เชื่อว่าแดนล่างยังมีวิธีอะไรที่กระทั่งสติสัมปชัญญะของข้าก็สะกดไว้ได้อีก” เสียงของเงาคนขรึมลงเล็กน้อย ก่อนมีท่าทีไม่เชื่อ

“วิธีของแดนล่างยากจะสะกดพลังวิญญาณแท้ได้อย่างสมบูรณ์ก็จริง แต่ถ้าวิธีที่ข้าใช้ ไม่ใช่วิธีของแดนล่างล่ะ!”

ชายชราชุดขาวหัวเราะเย็นชาออกมา จากนั้นก็จับที่ว่างด้วยมือข้างเดียว ยันต์แผ่นหนึ่งเปล่งแสงเย็นเป็นเส้นๆ วาบปรากฏที่หว่างนิ้วของเขาอย่างน่าพิศวง

ยันต์กลับใสเหมือนผลึก ราวควบแน่นมาจากน้ำแข็ง แต่ผิวด้านบนกลับสลักอักขระยันต์สีทองไว้ยุบยิบ

ถ้าหานลี่อยู่ที่นี่ มองแวบแรกต้องจำได้ว่าอักขระยันต์เหล่านี้ก็คือแบบอักษรทองคำที่มีเฉพาะในแดนเซียน

“เสียดายของชิ้นนี้จัง ถ้าใช้ตอนนี้ ต่อไปเผชิญหน้ากับศัตรู ท่าไม้ตายก็จะลดลงหนึ่งกระบวน”

ชายชราชุดขาวเหลือบมองยันต์ กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับ แสดงอาการเจ็บปวดออกมา แต่หลังจากพูดพึมพำสองสามคำ ก็ยังคงกัดฟันสะบัดข้อมือ

ยันต์พลันส่งเสียงดังสนั่น กลายเป็นแสงสีทองกลุ่มหนึ่ง พุ่งสู่ด้านล่าง

พอกะพริบวาบ แสงสีทองก็ราวกับไร้รูป หายเข้าไปในภูเขายอดน้ำแข็ง

ตอนนี้ชายชราชุดขาวค่อยทำท่าร่ายอาคมด้วยสองมือ พลางท่องคาถาด้วยสีหน้าจริงจัง

ในภูเขายอดน้ำแข็งพลันปรากฏรัศมีแสงสีทองราวกับดวงอาทิตย์กลุ่มหนึ่ง และพอหมุน ก็เก็บแสงทั้งหมดลง กลายเป็นอักขระยันต์สีทองขนาดใหญ่ราวหนึ่งหมู่เปล่งแสงสีทองเจิดจ้าตัวหนึ่ง ตกลงด้านล่างอย่างไร้สุ้มเสียง ดุจดาวตกอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้ากำลังทำอะไร…แย่แล้ว ใช่ เจ้ายังมียันต์แดนเซียน…”

เงาคนด้านล่างพลันสัมผัสได้ถึงความผิดแผกของภูเขายอดน้ำแข็ง จึงร้องเสียงแหบขึ้นมา

แต่อักษรสีทองขนาดใหญ่พลันวาบหาย ด้วยพุ่งลงไปในเขตอาคมที่ด้านล่างแล้ว

เสียงดังกึกก้อง!

เสียงร้องของเงาคนด้านล่างหยุดลงกะทันหัน ทุกอย่างพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท

ชายชราไม่แปลกใจกับการนี้แม้แต่น้อย กลับท่องคาถาเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ถัดมา ภูเขายอดน้ำแข็งทั้งลูกก็สั่นไหว อักษรสีทองพุ่งออกมาเป็นสายๆ และขยับอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็กลายเป็นอักขระยันต์ขนาดใหญ่หนึ่งตัว กะพริบแสงสีทอง พลางประทับลงบนผิวที่เนียนเรียบของน้ำแข็ง ไม่ขยับเขยื้อนอีก

ส่วนในแสงสีขาวที่ภูเขายอดน้ำแข็งเปล่งออกมา พลันผสมกับเส้นแสงสีน้ำเงิน แล้วปล่อยไอเย็นออกพร้อมๆ กันเป็นระยะ ซึ่งเข้มข้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย

เสียงท่องคาถาจากปากของชายชราชุดขาวจึงหยุดลงทันใด พร้อมกับสีหน้าที่ผ่อนคลายลง

ตอนนี้ ถ้ามองทะลุเข้าไปที่ด้านล่างของภูเขายอดน้ำแข็ง จะพบหนุ่มน้อยหน้าสวยสวมชุดสีทอง หมดสติอยู่จริงๆ โดยร่างของเขาทั้งร่างถูกปกปิดไว้ด้วยโซ่ยันต์หลายเส้นและผลึกน้ำแข็งหลายชั้น

ตรงหว่างคิ้วของเขา กลับมีลายดอกไม้สีทองที่ไม่เหมือนใคร รูปร่างคล้ายอักขระยันต์บนผนังน้ำแข็งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

หลังจากชายชราชุดขาวใช้จิตสัมผัสกวาดตาดูผนึกด้านล่าง ก็หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งพร้อมสีหน้าอิ่มเอมใจ พอร่างสั่น ก็วาบเข้าไปในยอดเขาน้ำแข็งอย่างไร้ร่องรอย

ผู้ทรงอำนาจเผ่าวิญญาณท่านนี้ย่อมไม่รู้ว่า พริบตาที่หนุ่มน้อยหน้าสวยที่ด้านล่างหมดสติ บนพื้นผิวของดินแดนอันไกลโพ้นที่ไม่อาจคำนวณระยะทางได้ นักพรตหน้าดำท่านหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้สูงเสียดฟ้า พลันขยับใบหน้า แล้วลืมตา

“อะไรกัน ศิษย์ร่วมสำนักเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ป้ายวิญญาณแท้ถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเช่นนี้”

นักพรตพูดกับตัวเองไม่กี่คำ พลันสะบัดแขนเสื้อตรงหน้า

แสงสีเขียววาบ ห้องใต้หลังคาจิ๋วบินออกจากแขนเสื้อ กะพริบแล้วขยายขนาดเป็นสูงใหญ่กว่าสิบจั้ง ลอยอยู่ตรงหน้า

นักพรตหน้าดำขยับร่าง ก้าวเข้าไปในห้องใต้หลังคาอย่างไม่รีบร้อน

เห็นเพียงโถงใหญ่ในห้อง เรียงรายไปด้วยโต๊ะหยกขาวบริสุทธิ์หลายร้อยโต๊ะ แต่ละโต๊ะล้วนมีแผ่นไม้สีเหลืองขนาดเท่ากันกว่าสิบอันวางเรียงกันอยู่

ผิวของแผ่นไม้เหล่านี้สลักลวดลายสีเงินยุบยิบ วางอยู่บนโต๊ะนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน

หลังจากนักพรตหน้าดำกวาดตามองโต๊ะหยกจำนวนมากเหล่านี้ ก็เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นน้อยๆ กลับแสดงสีหน้าแปลกใจ พลันยกมือไปที่มุมหนึ่งของห้อง เสกกระถางธูปขนาดใหญ่ซึ่งมีสนิมเป็นจุดๆ ขึ้น

เสียงดัง ‘ซู่’

ในกระถางธูปกลับมีป้ายไม้สีเหลืองอันหนึ่งบินออกมา กะพริบแล้วตกลงในมือของนักพรตแต่โดยดี

“วิญญาณแท้ของคนผู้นี้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ละเลยไม่ได้แล้ว ต้องตามหาเขาให้เจอ!”

นักพรตมองป้ายไม้ที่กะพริบแสงสีขาวริบหรี่ในมือ ใบหน้าแสดงอาการตะลึงงันก่อน แล้วพลันวาบท่าทีมืดมนไม่หยุด

……

หานลี่ลอยตัวมือเท้าไม่ขยับอยู่บนท้องฟ้า

แต่พอแสงสีเขียวเจ็ดสิบสองสายที่อยู่ตรงหน้ากะพริบ อสูรมารสีดำหลายสิบตัวที่กำลังพุ่งเข้าหาเขา พลันถูกกลุ่มแสงกระบี่ฟาดฟันจนเป็นผุยผง กลายเป็นฝนโลหิตสาดลงจากฟากฟ้า

ทว่าอสูรมารอีกมากมายกลับกรีดร้องแล้วพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่ละตัวมีเกล็ดอยู่ด้านหลัง มีเขาเดียวอยู่บนศีรษะ

แสงกระบี่สีเขียวม้วนตัวกลับ หลังจากหมุนเป็นวงกลมหนึ่งรอบ ดอกบัวกระบี่สีเขียวดอกหนึ่งพลันบานออก

ที่ที่แสงกระบี่สีเขียววาดผ่าน อสูรมารต่างทยอยกันถูกตัดเป็นสองท่อน

กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วทั้งที่ว่างทันที

ความคมของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาไม่ใช่สิ่งที่อสูรมารระดับต่ำเหล่านี้ต้านทานได้แม้แต่น้อย

ทว่าพวกมันคลับคล้ายไม่กลัวตายเอาเสียเลย ท่ามกลางเสียงคำราม เงาดำทะมึนก็ปกคลุมเข้ามาอีก

หานลี่เห็นดังนี้ มุมปากกระตุกเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ออกมา