ตอนที่ 2019 ทุ่งหญ้าคลื่นอสูร

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

จากนั้นเขาก็ร่ายอาคมให้แสงกระบี่ม้วนตัวไปทางอสูรมารที่อยู่รอบๆ แต่กลับกลอกตา กวาดมองไปยังด้านหลัง ในที่ที่อยู่ไม่ไกล

ที่นั่น พวกบรรพชนตระกูลหล่งก็กำลังจู่โจมสังหารอสูรมารตัวอื่นๆ อยู่

สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกใช้นิ้วทั้งสิบดีดแสงสีเงินออกเป็นสายๆ ติดต่อกันดั่งพายุฝน อสูรมารจำนวนมากจึงทยอยกันตกลงจากฟากฟ้า

ชายผมยาวสกุลหลิน ในมือก็มีไม้บรรทัดหยกสีแดงเพลิงที่ใสตลอดเล่มเพิ่มขึ้นมา พอเปลวเพลิงที่ลุกโชนเป็นกลุ่มๆ พุ่งไปรอบทิศ อสูรมารแต่ละตัวก็กลายเป็นลูกไฟไปในพริบตา

ด้านบรรพชนตระกูลหล่งกับผู้อาวุโสฮุย คนหนึ่งสองมือกลายเป็นกรงเล็บยักษ์สีทอง พอตะปบเข้าไปในที่ว่าง เงากรงเล็บนับไม่ถ้วนก็ส่งเสียงหลอนดังหวีดหวิว ส่วนอีกคนหนึ่ง ขณะสะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ไอสีเขียวก็พวยพุ่งออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า พริบตาที่อสูรมารพุ่งเข้ามาใกล้คนทั้งสอง ถ้าไม่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน ร่างของพวกมันก็จะแข็งและตายด้วยพิษในทันที

ด้านคนเผ่าวิญญาณ ในมือปราชญ์เฒ่าฉางสิงไม่รู้มีตะเกียงโบราณสีเขียวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งดวงตั้งแต่เมื่อใด มีเปลวเพลิงสีม่วงหลายสิบกลุ่มพุ่งออกมาเป็นวง ครอบที่ว่างซึ่งใหญ่ราวหนึ่งหมู่ไว้ด้านล่างทั้งหมด

ที่ที่เงาสีม่วงพาดผ่าน อสูรมารจำนวนมากกลายเป็นควันสีเขียวเป็นกลุ่มๆ หายวับไป

ส่วนไป๋ชี ชนเผ่าวิญญาณลึกลับนั่น มือเท้าไม่ขยับขณะอยู่ในแสงวิญญาณปกป้องร่าง เพียงพลิ้วกายไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่ที่ที่แสงสีขาวพลิ้วผ่าน อสูรมารที่อยู่ใกล้เคียงก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ราวกับถูกใบมีดที่คมกริบนับไม่ถ้วนฟันร่างพร้อมๆ กันก็มิปาน

ด้านผู้อาวุโสร่างบางจินกู่ ก็มีอุปกรณ์ที่คล้ายฆ้องทองแดงเพิ่มขึ้นตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนแค่ส่งเสียงต่ำหึ่งๆ เท่านั้น อสูรมารทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาใกล้ พลันโซซัดโซเซดุจเมามายไม่หยุด ในที่สุดก็หัวทิ่มร่วงหล่นลง

คนสุดท้าย ชายหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์ ‘จื่อสุ่ย’ บนร่างไม่รู้มีเกราะรบสีเงินชุดหนึ่งเพิ่มขึ้นมาแต่เมื่อใด ปกป้องผิวหนังไว้ภายในชนิดไม่เผยให้เห็นแม้แต่น้อย ก่อนกลายเป็นพายุไต้ฝุ่นลูกหนึ่ง หันหัวพุ่งเข้าไปในฝูงอสูรมารที่อยู่หน้าสุด และที่ที่เสียงคำรามพาดผ่าน เห็นแขนขาอสูรมารปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ชายหนุ่มกลับมีท่าทีรุนแรงชนิดกระหายโลหิตยิ่ง

พอหานลี่ดูจบทั้งหมด คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย

กลุ่มคนอย่างพวกเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคไม่ดี หรือมาถึงทุ่งหญ้าในแดนมารในเวลาที่ไม่เหมาะสมจริงๆ

พวกเขาเดินทางเลียบทุ่งหญ้าแห่งนี้เพียงสิบกว่าวันเอง ก็เผอิญพบเจอฝูงอสูรตัวใหญ่ที่วิ่งออกมาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้าดุจกระแสน้ำเสียแล้ว

ผู้ที่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของคลื่นอสูรในแดนมารอย่างหานลี่และคนอื่นๆ ย่อมตกใจกับเหตุการณ์นี้ จึงคิดหลีกเลี่ยงฝูงอสูรโดยอ้อมไปอีกทางหนึ่งทันที

ทว่าพวกเขายังคงดูเบาความร้ายกาจของหายนะจากคลื่นอสูรมารไป ด้วยอสูรมารที่ทะลักออกมาจากทุ่งหญ้า กลับหลั่งไหลมาไม่ขาดสายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทั้งหมดเป็นอสูรมารชนิดปีศาจหมาป่าเหมือนกัน

อสูรชนิดนี้มีระดับไม่สูง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสร้างปราณ ที่ร้ายกาจสุดดูเหมือนจะพอๆ กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง แต่ด้วยมีจำนวนมาก ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปหวังจนสิ้นหวังได้

แม้พวกบรรพชนตระกูลหล่ง แรกเริ่มมาก็จัดหนักแบบไม่คิดถนอมพลังยุทธ์ สังหารอสูรมารชนิดนี้เป็นล้านตัวในคราวเดียว แต่ก็ถูกอสูรซึ่งอาศัยจำนวนที่ไม่จบสิ้น บีบให้พวกเขาตกอยู่ในวงล้อมของพวกมัน

คลื่นอสูรมารถาโถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า ล้อมรอบกลุ่มของหานลี่ไว้ ซึ่งไม่ว่าพวกมันถูกสังหารไปกี่ตัว ก็ปรากฏขึ้นอีก โดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลงตลอดกาล ราวกับมีจำนวนที่ไม่สิ้นสุดจริงๆ

แม้พวกบรรพชนตระกูลหล่งถือว่าตนมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ร่วมแรงร่วมใจกันสังหารสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว

แต่อสูรมารฝูงนี้ก็คล้ายจับตาดูกลุ่มพวกเขาอยู่ จึงพุ่งเข้าจู่โจมในระยะประชิดไม่หยุดแต่เช้าจรดค่ำเหมือนฆ่าตัวตายไม่มีผิด ชนิดไม่ให้โอกาสพวกเขาพักหายใจแม้แต่น้อย

การลงมือสังหารอสูรมารของพวกเขา จนถึงตอนนี้ก็สองวันสองคืนแล้ว ทว่าสองตามองไปข้างหน้า กลับยังคงเห็นแต่เงาดำทะมึนไปทั่ว ไม่มีวี่แววว่าจะฝ่าวงล้อมออกไปได้แต่อย่างใด

เช่นนี้ ไม่เพียงหานลี่ที่ต้องสูดอากาศเย็นเข้าปอด พวกบรรพชนตระกูลหล่งกับพวกสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาเหมือนกัน

จำนวนอสูรมารมากมายขนาดนี้ ถ้าเทียบกับคลื่นอสูรที่เกิดขึ้นกะทันหันในแดนมนุษย์ ย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว เกรงว่ามีแต่ฝูงอสูรทะเลยักษ์ในแดนวิญญาณเหล่านั้น จึงจะเทียบเคียงกันได้

หานลี่พลันยกมือข้างเดียวขึ้น เกิดเสียงดังดุจสายฟ้าฟาด แสงสีทองหนาขนาดเท่าชามข้าวหลายสายวาบประกายแสง แล้วหายเข้าไปในฝูงอสูรอีกฝูงที่กำลังพุ่งเข้ามา

ทันใด เห็นเพียงแสงสีทองกะพริบ ฟ้าผ่าเพิ่มเข้าไปอีก

อสูรมารสามถึงสี่ร้อยตัวถูกล้างบางจนเกลี้ยง กลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา

แม้อสูรมารเหล่านี้ดุร้ายไม่กลัวตาย แต่พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้และหวาดกลัวเสียงดัง การกระทำจากจิตใต้สำนึกจึงช้าลง

หานลี่อาศัยจังหวะนี้ ร่างสั่นไหว คนหายไปตรงๆ อย่างไร้ร่องรอย

ถัดมา เกิดความผันผวนข้างกายบรรพชนตระกูลหล่ง หานลี่วาบร่าง ปรากฏตัวในบริเวณนั้น

“พี่หล่ง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจไม่ค่อยดี พวกเราแม้มีพลังยุทธ์ล้ำลึก แต่อสูรมารจำนวนมากขนาดนี้อย่างไรก็ไม่มีทางสังหารหมด อีกทั้งที่พวกมันดุร้ายไม่กลัวตายเช่นนี้ ต้องมีอะไรทำนองดำรงอยู่ในระดับราชาอสูรกระตุ้นอยู่เบื้องหลัง แบบเสียหายแค่ไหนก็ต้องพัวพันพวกเราไว้ไม่ปล่อยตลอดไป” หานลี่พูดกับบรรพชนตระกูลหล่งอย่างเคร่งเครียด

“สหายพูดไม่ผิด จุดนี้ข้าก็คิดอยู่เหมือนกัน มิฉะนั้นพอถูกเราสังหารไปมากขนาดนี้ อสูรมารเหล่านี้ควรจะกลัวตายและถอยกลับไปแล้ว จึงไม่เหมาะที่เราจะต่อกรกับพวกมันต่อ ขืนถูกมารระดับสูงที่ผ่านมาเห็นเข้า ก็จะลำบากอยู่บ้าง ข้าต้องสังหารราชาอสูรตนนั้นให้ได้ จึงจะทำให้อสูรมารเหล่านี้แยกย้ายกันไป” บรรพชนตระกูลหล่งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้นพลันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงไปในที่ว่างซึ่งอยู่ไกลออกไป

เสียงดังกึกก้อง!

ฝ่ามือยักษ์ที่พร่ามัวข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล้วเลื่อนลง

พลังไร้รูปมหาศาลกดลงด้านล่างอย่างเกรี้ยวกราดทันที

อสูรมารหลายร้อยตัวร้องครวญคราง พวกมันถูกบดขยี้จนกลายเป็นเนื้อบดในพริบตา

ตอนนี้บรรพชนตระกูลหล่งค่อยเผยอริมฝีปาก ส่งเสียงหารือกับกลุ่มคนเผ่าวิญญาณไม่กี่คำ

จากนั้นจึงทอประกายตา หันมาคุยกับหานลี่

“สหายหาน ข้าสื่อสารกับสหายเชียนชิวแล้ว ในการเดินทางครั้งนี้เราสี่คนระดับบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นปลาย คิดว่าโดยลำพังแล้วสามารถฆ่าราชาอสูรได้ จากนี้ไปก็ปล่อยให้พวกท่านเซียนเยี่ยรักษาการณ์ที่นี่ไว้ เบี่ยงเบนความสนใจของอสูรมารเหล่านี้ต่อ ส่วนเราสี่คนก็แยกกันไปสี่ทิศ เสาะหาราชาอสูรนั่นแล้วสังหารเสีย จำกัดเวลาไว้สามชั่วยาม ถ้าเลยไปจากนี้ พี่หานต้องรีบกลับมา แล้วเราค่อยหาวิธีอื่นฝ่าวงล้อมคลื่นอสูรออกไป ซึ่งข้าคิดว่า ราชาอสูรนั่นไม่น่าจะอยู่ไกลจนเกินไป มิฉะนั้นพลังการควบคุมจะลดลง ไม่มีทางทำให้อสูรมารธรรมดาเหล่านี้ดุร้ายไม่กลัวตายได้หรอก”

“เช่นนี้ก็ดี เมื่อครู่ข้าใช้จิตสัมผัสสำรวจทางทิศตะวันออกดู ที่นั่นกลิ่นอายอสูรมารค่อนข้างแรง ราชาอสูรอาจซ่อนตัวอยู่ ผู้แซ่หานขอไปดูทางนั้นก็แล้วกัน”

บรรพชนตระกูลหล่งย่อมรับปากทันที จากนั้นค่อยหันไปชี้แนะผู้อาวุโสฮุยสองสามคำ แล้วจึงก้าวยาวๆ จู่โจมฝูงอสูรไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วที่คล้ายจะช้าลง

ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกับไป๋ชี วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลายสองท่าน ก็ไปทางใต้คนเหนือคน แยกย้ายกันไปสองทิศทาง

ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างคลุ้มคลั่งของอสูรมารจำนวนมาก สามคนที่เหลือพลันหายเข้าไปในฝูงอสูรอันดำมืดอย่างไร้ร่อยรอย

กลุ่มสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกมีขั้นบำเพ็ญเพียรที่อ่อนกว่า จึงทำการเปลี่ยนแผนอย่างมีสติ ด้วยการสร้างวงกลมวงหนึ่งขึ้นมา แล้วอยู่ในนั้น ต้านทานอสูรมารที่รุมเร้ากันเข้ามา

หานลี่เห็นดังนี้ จึงหายใจเข้าเบาๆ พอร่างขยับ พลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป

เสียงไอกระบี่ดัง ‘ฉับ ฉับ’

ที่ที่สายรุ้งสีเขียวพุ่งผ่าน โลหิตไหลนองเป็นสายน้ำ อสูรมารทยอยกันถูกฟันเป็นสองท่อน

หานลี่พุ่งไปครั้งนี้ ก็ร่วมสองชั่วยามกว่า

ระหว่างทาง กระบี่เจ็ดสิบสองเล่มเล็กถูกกระตุ้นราวกับเป็นมังกรทะเล บินโฉบไปมาอยู่รอบๆ ร่างที่กลายเป็นลำแสงของเขาตลอด และเผยให้เห็นไอเย็นไร้รูปที่น่าทึ่งเป็นระยะๆ ด้วย

อสูรมารส่วนหนึ่ง แสงสีเขียวยังไม่ทันตกกระทบถึง ร่างก็ถูกตัดขาดออกจากกันล่วงหน้าแล้ว

จะเห็นได้ว่า พลังยุทธ์ของหานลี่ก้าวหน้าขึ้นมาก พลังยุทธ์ไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้น กระทั่งพลังของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาก็เพิ่มขึ้นมากขณะอยู่กลางอากาศ

แต่ในใจของหานลี่คลับคล้ายวิตกกังวลอยู่บ้าง

แม้ตลอดทางที่ผ่านมา เขาพบเจออสูรมารระดับผู้นำประหลาดๆ หลายตัว แต่พลังก็ยังเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายไม่ได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ราชาอสูรจะควบคุมอสูรมารได้มากขนาดนี้

เมื่อเห็นว่าเกือบครบกำหนดสามชั่วยามแล้ว แต่อสูรมารด้านหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้เขาลังเลใจเล็กน้อย จะกลับไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากันหรือไม่

และขณะที่เขาครุ่นคิด สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ดวงตามีแววตกใจอยู่บ้าง ขณะกวาดตามองไปยังฝูงอสูรที่อยู่ด้านหน้า

แทบจะในเวลาเดียวกัน ด้านหน้าที่ไกลออกไป จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดรุนแรงดังมาเป็นระยะ ตามด้วยเหล่าอสูรมารที่เดิมทีกำลังพุ่งเข้าหาหานลี่ พลันส่งเสียงหอนออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พุ่งกลับทางเดิมอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้ ทำให้หานลี่อึ้งก่อน แต่พอตาทั้งสองข้างหรี่ลง ตัวก็กลายเป็นลำแสงไปอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

สายรุ้งสีเขียวส่งเสียงดังหวีดหวิว พริบตาเดียวก็ปล่อยแสงสีเขียวแยงตาแหวกอากาศไปฝั่งตรงข้าม

เหล่าอสูรมารที่ขวางทางอยู่ด้านหน้า พอถูกแสงกระบี่สีเขียวม้วนตัวผ่าน ต่างทยอยกันถูกตวัดตัดเป็นผุยผง แต่ถึงเป็นเช่นนี้ อสูรมารตัวอื่นๆ ยังคงไม่หันหนี เพียงก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว

หานลี่เปลี่ยนความคิด แสงกระบี่ที่กระตุ้นอยู่ด้านหน้าจึงเปลี่ยนเล็กน้อย คล้ายยังคงส่องแสงสีเขียว แต่พลังกลับถูกเก็บไว้กว่าครึ่ง ด้วยกำลังตามติดอสูรมารบางส่วนซึ่งพุ่งตรงไปยังเสียงระเบิดที่อยู่ห่างออกไป

จากความเร็วของการเคลื่อนที่ในตอนนี้ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอสูรมารมากีดขวาง เขาย่อมกลายเป็นลำแสงไปถึงที่ที่ห่างออกไปกว่าร้อยลี้ในอึดใจเดียว

แต่ขณะนั้น หานลี่กลับหยุดกลายเป็นลำแสงกะทันหัน สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยขณะกวาดตามองสิ่งที่อยู่ข้างหน้า

เห็นเพียงกลางอากาศห่างจากเขาหลายลี้ พลันมีอสูรมารตัวเขียวท่าทางเย็นชาชุดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

รูปร่างของอสูรมารเหล่านี้สูงใหญ่กว่าพวกเดียวกันมาก ขนแข็งๆ ทั้งร่างกะพริบแสงสีเขียวสลัวๆ พลางโชยกลิ่นคาวโลหิตจางๆ ออกมาเป็นพักๆ ท่าทางมีพิษสงสุดจะเปรียบ

ส่วนอสูรมารที่แตกตื่นล่าถอย พอเห็นพวกเดียวกันกลายพันธุ์ ก็วิ่งหนีออกสองข้างทางอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งอ้อมมาที่ด้านหลังของเขา แล้วหนีไป

หานลี่ไม่สนใจแต่อย่างใด กลับมองตามอสูรมารที่หลบหนี และตั้งสติมองไปยังที่ที่ห่างออกไป

เห็นเพียงด้านหลังของอสูรมารตัวเขียวชุดนี้ กลับเว้นที่โล่งขนาดใหญ่ไว้ กำลังปล่อยให้อสูรมารตัวสูงใหญ่สีเงินซีดสิบกว่าตัว ล้อมรอบเงาคนสองเงาไว้ แล้วจู่โจมอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด

ด้านข้างของอสูรมารสีเงินซีดเหล่านี้ กลับมีอสูรมารขนและผิวดำสนิทตัวหนึ่ง บนศีรษะมีเขาประหลาดห้าสีสองเขา เนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิต กำลังนอนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่กลางอากาศ

บนศีรษะของอสูรมารตัวนี้ มีของสีเงินซีดลอยอยู่เงียบๆ ด้านในปักธูปสีเทาแท่งหนึ่งซึ่งเผาไหม้ไปแล้วครึ่งแท่ง จึงมีควันสีเขียวลอยเอื่อยๆ เป็นสายออกมา

แล้วควันสีเขียวเหล่านี้ก็ล้อมรอบที่โล่งนี้ไว้ กลายเป็นวงกลมจางๆ วงหนึ่งที่แทบจะมองไม่เห็น

ในที่ที่ห่างออกไปอีก กลับมีอสูรมารตัวเขียวอีกชุด กำลังนำอสูรมารตัวดำธรรมดาตัวหนึ่งมา แต่กลับมาล้อมที่โล่งนี้อย่างแน่นหนา ชนิดน้ำยังไหลผ่านไปไม่ได้

โดยไม่ว่าจะเป็นอสูรมารชนิดไหน ปากก็มักส่งเสียงคำรามต่ำอย่างโกรธแค้นออกมาเป็นระยะ แต่กลับไม่มีสักตัวที่กล้าพุ่งเข้าไปในวงกลมยักษ์ที่ควันสีเขียวสร้างขึ้น คล้ายมีท่าทางหวาดกลัวควันสีเขียวเหล่านี้สุดๆ