บทที่ 670 ท่านหักหลังข้าถึงขนาดนี้ คิดว่าข้า....

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 670 ท่านหักหลังข้าถึงขนาดนี้ คิดว่าข้า….

“แล้วใครเป็นผู้สังหารเทพีกระบี่ตัวจริงหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบว่า “เรื่องมันยาวน่ะ… ตอนนั้นเทพีกระบี่ถูกหักหลังและโดนปิดล้อมอยู่ในอาณาเขตเทพเจ้า ในกลุ่มผู้ที่โจมตีพระองค์ท่าน มีนางมารลอกเลียนแบบรวมอยู่ด้วย นางคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เทพีกระบี่สูญเสียเลือดเนื้ออย่างหนักจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง… หากไม่ได้เป็นเพราะว่าก่อนเสียชีวิต เทพีกระบี่ได้ส่งหยดเลือดของพระองค์ลงมาที่วิหารของสาวกบนโลกมนุษย์ วิญญาณของท่านก็คงไม่สามารถกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้เช่นนี้อีกแล้ว”

“แล้วเยว่เว่ยหยางไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามต่อ

ทันใดนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายวูบวาบ เขาพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ “หรือท่านก็หลอกลวงเยว่เว่ยหยางให้เข้าสู่สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ โดยอ้างว่าจะรับการทดสอบเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งนักพรตเทวะ แต่ในความเป็นจริงนั้น ท่านมีเจตนาใช้ร่างของเยว่เว่ยหยาง เป็นภาชนะรองรับการกำเนิดใหม่ของเทพีกระบี่?”

ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ก็ถือว่าใจดำอำมหิตเกินไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งตกตะลึง

เพราะมันเป็นสิ่งที่แม้แต่บุคคลโฉดชั่วอย่างเขา ก็ยังไม่กล้าทำเลยด้วยซ้ำ

แต่คิดไม่ถึงเลยว่านักพรตใหญ่หลงเยว่ ผู้มีภาพลักษณ์เป็นหญิงชราใจดี กลับมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตถึงขนาดนี้

เรียกได้ว่าเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือขนานแท้

“มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร?”

นักพรตใหญ่หลงเยว่รีบปฏิเสธ และถามหลินเป่ยเฉินกลับมาด้วยสีหน้าสำนึกเสียใจ “ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นคนที่มีจิตใจชั่วร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ?”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

หมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างท่าน ยังกล้าถามคำถามเช่นนี้ออกมาอีกได้อย่างไร?

นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบคำถาม ก็รีบอธิบายต่อทันที “ในกลุ่มนักบวชผู้เป็นสาวกของเทพีกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นด้านวรยุทธ์ ความเฉลียวฉลาด สติปัญญาและไหวพริบ ไม่มีใครโดดเด่นสะดุดตามากไปกว่าเยว่เว่ยหยางอีกแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้านางเป็นเพียงมนุษย์ปกติ ร่างกายจะเป็นภาชนะบรรจุวิญญาณเทพเจ้าได้อย่างไร? หลินเป่ยเฉิน เจ้าคิดว่าในโลกใบนี้ มีร่างกายมนุษย์ที่สามารถทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ? ที่เยว่เว่ยหยางสามารถทำได้ เพราะนางเป็นร่างที่แท้จริงของเทพีกระบี่ต่างหาก”

ว่าไงนะ?

เยว่เว่ยหยางเป็นร่างที่แท้จริงของเทพีกระบี่อย่างนั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าสมองของเขาที่เริ่มกลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง พลันถูกข้อมูลชุดใหม่ของนักพรตใหญ่หลงเยว่ปั่นป่วนจนรวนเรไปหมดเป็นครั้งที่สอง

เด็กหนุ่มถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านป้าหมายความว่าอย่างไร?”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบว่า “เจ้าจำเรื่องหยดเลือดที่เทพีกระบี่ทิ้งลงมาบนโลกมนุษย์ก่อนเสียชีวิตได้หรือไม่… เยว่เว่ยหยางกำเนิดขึ้นมาจากหยดเลือดนั้น นางเกิดมาเพื่อเป็นร่างสืบทอดของเทพีกระบี่”

“หา…”

เมื่อหลินเป่ยเฉินขบคิดตามที่หญิงชราอธิบาย เขาก็ไม่สงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใด เยว่เว่ยหยางถึงมีพลังมากมายมหาศาลขนาดนั้น

ที่แท้เด็กสาวก็มีตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป

“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดีขอรับ เยว่เว่ยหยางเกิดมามีเลือดเนื้อจิตใจ นางมีชีวิตเป็นของตนเอง นางมีความคิดเป็นของตนเอง นางมีความสุข ความโกรธ ความเศร้าและความสนุกสนานเป็นของตนเอง จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่ให้วิญญาณของผู้อื่นเข้ามาอยู่ในร่างกายของนางตามใจชอบ…”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองสมควรพูดสิ่งที่คิดออกไป

เขาไม่สามารถทนรับฟังเหตุผลของนักพรตใหญ่หลงเยว่ได้อีกแล้ว

เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรม

นักพรตใหญ่หลงเยว่เงียบงันไปเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “เจ้ายังไม่รู้ว่านางขาดสิ่งใดไป”

ข้าไม่รู้ แล้วท่านรู้หรืออย่างไร?

หลินเป่ยเฉินกำลังจะโต้แย้งกลับไป แต่เขาก็ฉุกใจคิดได้ว่าโต้เถียงต่อไปก็คงไร้ประโยชน์

นักพรตใหญ่หลงเยว่มีวิธีคิดแตกต่างจากเขามากเกินไป

หญิงชราอธิบายต่ออีกครั้ง “สิ่งที่เจ้าไม่รู้ก็คือการกำเนิดใหม่ของเทพีกระบี่ครั้งนี้ วิญญาณของเยว่เว่ยหยางได้หลอมรวมกับวิญญาณของพระองค์ท่านเป็นหนึ่งเดียว ข้าไม่ได้หลอกลวงให้นางเข้าไปอยู่ในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์… แต่มันคือโชคชะตาของนางที่ต้องเกิดมาจากหยดเลือดของเทพีกระบี่ เพื่อเป็นภาชนะรองรับวิญญาณของพระองค์ท่านตั้งแต่แรก เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถกระทำแทนได้อีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินพบประเด็นที่ตนเองสามารถพูดโต้เถียงออกไปได้โดยไม่รู้ตัว “ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมวิญญาณส่วนที่เป็นเยว่เว่ยหยางถึงจดจำข้าไม่ได้และยังพยายามสังหารข้าอีกล่ะขอรับ… หากวิญญาณของนางยังหลงเหลือความทรงจำอยู่บ้าง นางคงไม่ทำเช่นนั้นแน่ๆ”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “การที่วิญญาณหลอมรวมกัน จะทำให้ความทรงจำในอดีตลบเลือนไปหมด เรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

วันนี้เขาไม่น่ามีปากมีเสียงกับหญิงชราเลยจริงๆ

ยิ่งพูด ก็ยิ่งรู้สึกพ่ายแพ้

สนทนามาถึงตรงนี้ พวกเขาก็ออกมานอกวิหารพอดี

“รีบไปเถิด”

นักพรตใหญ่หลงเยว่หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ถึงพลังของเจ้าจะลดลง แต่ด้วยทักษะแปลงโฉมอันเลิศล้ำของเจ้า มันจะทำให้เจ้าสามารถหลบหนีลงจากภูเขานี้ไปได้อย่างปลอดภัย ส่วนในระยะนี้ ถ้าข้าไม่ได้ติดต่อไป ก็อย่าเสนอหน้ามาที่นี่เด็ดขาด บัดนี้เทพีกระบี่ได้กำเนิดใหม่ขึ้นมาแล้ว พระองค์ท่านยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูพลังกลับคืนมา ภารกิจแรกคือการจัดการมือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อให้สำเร็จ อีกไม่นานจะเกิดสงครามระหว่างนักบวชในวิหารแห่งนี้ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ข้าจะส่งคนไปบอกข่าวเจ้าแล้วกัน”

“สงครามหรือขอรับ?”

เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น “พวกชาวทะเลมันมาเคาะประตูเมืองอยู่ทุกวัน ท่านยังคิดจะทำสงครามกลางเมืองได้ลงคออีกหรือ?”

ไม่มีผู้ใดจะซวยซ้ำซวยซ้อนเท่ากับชาวเมืองที่ต้องติดแหงกอยู่ในนครเจาฮุยอีกแล้ว…

นักพรตใหญ่หลงเยว่ทอดสายตามองข้ามหัวเด็กหนุ่มไปยังกำแพงเมืองที่อยู่ไกลแสนไกล และพูดว่า “สงครามจำเป็นต้องมีผู้เสียสละ อีกไม่นานเดี๋ยวเจ้าก็ชิน… นอกจากนี้ เทพีกระบี่คงใช้เวลาฟื้นฟูพลังไม่นาน รับรองว่ากว่าที่เจ้าจะรู้ตัว มือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อก็คงถูกสังหารไปเรียบร้อย ข้าขอยืนยันว่าสงครามระหว่างนักบวชจะไม่ส่งผลกระทบต่อสงครามนอกกำแพงเมืองเจาฮุยเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

เขารู้สึกผิดหวังกับการสนทนาครั้งนี้จริงๆ

นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่ใช่คนที่เสียสละ นางจะไปรู้รสชาติของความเจ็บปวดได้อย่างไร

นักพรตใหญ่หลงเยว่มองออกว่าหลินเป่ยเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงพูดต่อ “หากเจ้าลองคิดดูให้ดี เจ้าก็จะเข้าใจว่าเพราะเหตุใด จักรวรรดิเป่ยไห่ถึงเริ่มพ่ายแพ้ให้แก่จักรวรรดิจี้กวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่ชาวทะเลก็กล้าที่จะเหยียบเท้าขึ้นบกและบุกโจมตีเมืองของพวกเรา นี่เป็นเพราะว่านางมารลอกเลียนแบบที่แอบอ้างตัวเป็นเทพีกระบี่นั้นกำลังเผยให้เห็นความอ่อนแอของมันออกมา แรงศรัทธาของสาวกลดน้อยลงเรื่อยๆ แม้แต่บัลลังก์ขององค์จักรพรรดิก็ไม่มั่นคงอีกต่อไป… หากเจ้าอยากช่วยเหลือผู้คนและเป็นเสมือนแสงสว่างในชีวิตของพวกเขา เจ้าก็ต้องช่วยเหลือเทพีกระบี่ตัวจริงกลับขึ้นสู่ตำแหน่งของพระองค์ท่านให้ได้อีกครั้ง หลังจากนั้น โลกใบนี้ก็จะกลับมาอยู่ในความสงบสุขดังเดิม”

หลินเป่ยเฉินไม่อยากฟังสิ่งที่นักพรตใหญ่หลงเยว่พูดอีกแล้ว เขาจึงหันหลังเดินออกมาทันที

เขาไม่มีทางเชื่อคำพูดของหญิงชราอีกเด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของใครอีกแล้ว

เด็กหนุ่มไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้ใดอีกต่อไป

เอาเวลาทั้งหมดกลับไปสร้างสถานศึกษาดีกว่า

เมื่อสร้างสถานศึกษาได้สำเร็จและมีลูกศิษย์เพียงพอตามที่ภารกิจกำหนดไว้ หลินเป่ยเฉินก็จะได้เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย หรือถ้าโชคช่วย เขาอาจจะเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จเช่นกัน

เมื่อเวลานั้นมาถึง หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจจะบุกไปที่เมืองเฉียนเกาและตัดหัวเว่ยหมิงเฉินด้วยกระบี่ของเขาเอง พอชำระแค้นเสร็จเรียบร้อย ค่อยหาทางกลับโลกมนุษย์ทีหลังก็ยังไม่สาย

“ช้าก่อน”

จังหวะนั้น นักพรตใหญ่หลงเยว่ส่งเสียงเรียกจากข้างหลัง

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมอง

นักพรตใหญ่หลงเยว่ยกมือขึ้นและโยนวัตถุสีทองชิ้นหนึ่งมาให้

“นี่คือผลึกทองคำจากอาณาเขตเทพเจ้า เมื่อนำไปติดไว้กับกระบี่สายฟ้า มันจะช่วยเพิ่มพลังการโจมตีได้อีกหลายเท่า หวังว่าเจ้าจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็แล้วกัน”

หญิงชรายิ้มออกมาเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินรับผลึกทองคำทรงสี่เหลี่ยมชิ้นนั้นไว้ในมือและสำรวจดูอย่างระมัดระวัง

เป็นไปได้หรือที่จะโคจรพลังใส่เข้าไปในผลึกทองคำก้อนนี้

แต่สัญชาตญาณของเขากำลังบอกว่าทำได้

“เฮอะ ท่านหักหลังข้าถึงขนาดนี้ คิดว่าข้าจะยอมรับของขวัญจากท่านอีกหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเก็บผลึกทองคำใส่กระเป๋าในอกเสื้อและกล่าว “หึหึ ท่านคิดถูกแล้ว”

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เดินลงจากวิหารบนเนินเขาไปหน้าตาเฉย…