“เว้นแต่พวกที่มีโลหิตเทพกับอสูรฐานพลังจากดวงวิญญาณอื่นจะเจอกับผลสะท้อนกลับและถูกอสูรอัญเชิญกลืนกิน จะมีพลังเท่าใดก็ไร้ค่า”
ฐานพลังของคนที่ไม่ใช่อสูรจะไม่ถูกยอมรับจากดวงวิญญาณที่อัญเชิญมา
นั่นจึงอธิบายเหตุผลที่คนคิดค้นวิชานี้ต้องตายในท้ายสุด
แล้วเขาจะคิดค้นวิชานี้ขึ้นมาทำไมกันเล่า?ซือหยูคิดต่อไป ตอนนี้ซือหยูมีโลหิตเทพและอสูรสามหยดในหม้อเก้ามังกร และพวกมันก็เข้าผสานกับโลหิตของซือหยูไปแล้ว เพราะเหตุนี้ เขาเลยไม่ได้ถูกมังกรเก้าหัวกลืนกินสินะ?
“ถ้าข้ามีโลหิตอสูรมากพอข้าจะใช้การอัญเชิญอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไม่มีปัญหา”
ซือหยูอ่านต่อไป แต่ซือหยูนั้นก็ฉลาดพอที่จะไม่ใช้วิชานี้ต่อหน้าพันธมิตรบูรพานี่คือความลับของตระกูลราชวงศ์อสูร มันจะแปลกถ้าหากเขาอัญเชิญอสูรออกมาและเขาเองก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นอสูร หากเรื่องนั้นเกิดขึ้น ไม่ว่าจะโต้แย้งอย่างไรก็ไม่มีใครฟังเขาอีกแล้ว ใครก็สังหารซือหยูได้อย่างไม่ยากเย็น
“ข้าจะต้องไม่ใช้วิชานี้โดยไม่จำเป็น”
ซือหยูพูดกับตัวเอง
ซือหยูเก็บตำราและคิดถึงวิธีโต้กลับ
“ข้าต้องการเวลาข้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิผีจะทำสิ่งที่ข้าให้ทำสำเร็จหรือไม่ เขากำลังทำอะไรอยู่กัน? ถ้าสำเร็จ ตัวข้าเองอาจจะรอดพ้นอันตรายไปได้”
จักรพรรดิผีไม่ได้ปรากฏตัวมาานแล้วเขาน่าจะกำลังทำเรื่องบางอย่างที่สำคัญอยู่
ในทีแรกซือหยูเตรียมทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เวลากำลังกระชั้นชิด ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมการช้าเกินไปเล็กน้อย
“ฉินเฟยเฉินจะต้องเล่ากำลังเล่าเรื่องให้เทพฟังไปแล้วหลายคนมันจะต้องพูดเรื่องที่ข้าฆ่าฉินคั่ว ถ้าหากข้าไม่เตรียมให้พร้อม ข้าอาจจะถูกฉินเฟยเฉินกับเทพเหล่านั้นสังหารเอาได้ ถึงตอนนั้นข้าก็ปกป้องตัวเองไม่ได้แล้ว”
ซือหยูมองหลุมศพเทพตำราที่นี่ปลอดภัยเป็นการชั่วคราว เพราะมันคือที่ที่ไม่มีใครคาดคิดได้
ณพันธมิตรบูรพา แผ่นดินไหวเล็ก ๆ ได้เกิดนขึ้นในท่ามกลางหมู่เทพ
เทพหลายคนถูกฉินเฟยเฉินเชิญมาเพื่อพูดเรื่องที่ซือหยูสังหารผู้คุมกฎ
ถ้าไร้หลักฐานพวกเขาก็คงไม่สนใจ ฉินคั่วเป็นคนตระกูลฉิน ซือหยูจะสังหารคนตระกูลฉินหรือ?
แต่ฉินเฟยเฉินนั้นมีหลักฐานที่ไม่มีใครปฏิเสธได้! มันมาจากคันฉ่องกลับแสงที่แสดงภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ชายคนหนึ่งซัดฉินคั่วลงกับพื้นและเอาดวงวิญญาณของเขาไป
ถ้าหากนั่นไม่ใช่ซือหยูแล้วจะเป็นใครกันเล่าที่รู้ความลับของซือหยูทั้งหมดในจิวโจวแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนบอกว่าซือหยูสังหารผู้คุมกฎ
แม้เทพอื่นจะตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงมีหลักฐานสั้นๆ เพียงเท่านั้น ฉินเฟยเฉินก็อ้างว่าคันฉ่องนั้นมิอาจบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้าหรือหลังจากนั้นได้
แม้เทพที่ได้เห็นจะไม่อยากลงโทษซือหยูพวกเขาก็มิอาจละเลยหลักฐานของฉินเฟยเฉินได้
สุดท้ายเหล่าเทพและฉินเฟยเฉินก็ต้องตกใจที่พบว่าซือหยูหายตัวไปอย่างมิอาจตามหาเจอ!
ไม่ว่าจะที่ตระกูลเทพกระเรียนหรือเทพอื่นมันก็ไม่มีใครหาตัวซือหยูเจอเลย
“มันรู้ล่วงหน้าและหนีไปจากพันธมิตรบูรพารึ?”
ฉินเฟยเฉินสีหน้าคงเดิม
เทพเซียนคันฉ่องหงุดหงิดในใจนางกับฉินเฟยเฉินเตรียมการอย่างดีเพื่อที่จะสังหารซือหยูให้ตาย นางถึงกับไปอยู่รอบ ๆ เรือนตระกูลเทพกระเรียนเพื่อที่จะสังหารซือหยูอย่างลับ ๆ ในทันทีที่เทพคนอื่นรู้ความจริง
แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าซือหยูจะหายตัวไป!
ฉินเฟยเฉินกับเทพเซียนคันฉ่องไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้
“จับตาดูความเคลื่อนไหวตระกูลเทพกระเรียนทุกคนที่เข้าออกตระกูลจะต้องถูกรายงานต่อข้า!”
เทพเซียนคันฉ่องพูดด้วยความใจเย็นครั้งนี้ ชื่อเสียงของทั้งตระกูลนางกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะไม่ยอมผิดพลาด
ถ้าซือหยูหนีไปจนไม่มีทางกลับมาที่พันธมิตรบูรพาอีกก็เป็นเรื่องดีแต่ถ้าหากจู่ ๆ เขากลับมาในสักวันหนึ่งและบอกความจริงของตระกูลเทพตำราและตระกูลเทพเซียนคันฉ่องล่ะก็…นั่นจะเป็นภัยพิบัติแน่นอน
แต่คนตระกูลเทพกระเรียนก็กังวลใจไม่ต่างกัน
“พี่หยางไท่ท่านได้สืบเรื่องที่อยู่ของเทพขนนกตระกูลข้าหรือไม่?”
เหอหลูจูพูดคุยกับหยางไท่อย่างสุภาพนอบน้อมและกังวลเขาพูดเข้าเรื่องทันทีที่เห็นหยางไท่เข้ามาเยี่ยม
ข่าวเรื่องเทพขนนกสังหารผู้คุมกฎนั้นได้มาถึงตระกูลเทพกระเรียนอย่างรวดเร็วพวกเขาคิดว่าซือหยูได้หนีไปแล้ว
หลังจากที่หยางไท่รู้สถานการณ์เขาแอบส่งเครือข่ายข่าวกรองไปค้นหาซือหยู แต่ก็ไร้ร่องรอย
ซือหยูหายตัวไปจากพันธมิตรบูรพาอย่างสิ้นเชิงราวกับว่าเขาระเหยไปเฉย ๆ “คนของข้าสืบเรื่องเรือกระดูกเทพที่ออกจากแผ่นดินใหญ่มาเกินสองปีแต่ก็ไม่มีบันทึกใดที่ระบุว่ามีเทพขนนกอยู่บนเรือ! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่เคยกลับตระกูลตั้งแต่ที่ออกจากงานชุมนุมเทพ ราวกับว่าเขาได้ข่าวล่วงหน้าและหนีออกจากพันธมิตรไป แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะหายไปจากโลกนี้เฉย ๆ”
หยางไท่ถอนหายใจ
ถึงอย่างนั้นหยางไท่ก็ฉลาดพอที่จะคิดถึงที่ซ่อนที่เป็นไปได้ของซือหยู
มีที่แห่งเดียวเท่านั้นที่ที่ซือหยูจะไม่ต้องออกจากพันธมิตรบูรพาและไม่มีเทพคนใดสัมผัสได้!
นั่นคือโลกสุสานเทพ!
ที่นั่นมีผนึกแข็งแกร่งคนนอกมิอาจเข้าถึง แม้สัมผัสของเทพก็มิอาจทะลวงเข้าไปได้ มันคือความเป็นไปได้เดียวสำหรับการหายตัวไปของเขา
แต่หยางไท่ก็ไม่คิดจะบอกใครไม่แม้แต่กับตระกูลเทพกระเรียน
หากมีใครรู้เข้าเขาก็กลัวว่าต่อให้ฉินเฟยเฉินไม่ทำให้ซือหยูตาย ซือหยูก็ผิดจนต้องตายเป็นร้อยครั้งแค่เข้าไปในสุสานเทพด้วยตัวเอง!
เพราะมีแหล่งพลังเทพอยู่มากมายที่นั่นมากเสียจนเทพคนอื่นอิจฉา
เหอหลูจูขมขื่นในทีแรกไม่ว่าซือหยูจะหนีไปหรือไม่ สิ่งที่เขาทำก็ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเทพกระเรียนเสียหาย!
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงช่วงนี้ข้าส่งคนที่แข็งแกร่งจากตระกูลข้ามาที่นี่ หากใครจะมาทำร้ายเรือนตระกูลเทพกระเรียน ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนปลอดภัยจนกว่าเทพขนนกจะกลับมา”
เหอหลูจูตาลุกวาว
“พี่หยางไท่กำลังจะบอกว่าเทพขนนกจะกลับมาหรือ?”
หยางไท่ยิ้มปลอบใจ “เจ้าคิดว่าเทพขนนกจะหนีไปทั้งๆ แบบนี้หรือ?”
ตั้งแต่ที่เขาย่างกรายมาตั้งรกรากที่พันธมิตรบูรพาเขาไม่เคยพ่ายแพ้แม้สักครั้ง
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”
เหอหลูจูถอยกลับไปอย่างไม่สบายใจ
หยางไท่บอกลาหลังออกจากตระกูลเทพกระเรียน สีหน้าเขาเยือกเย็นลงและถอนหายใจยาว
“ซือหยูครั้งนี้เจ้าทำเกินไป ต่อให้เจ้าขอให้พ่อข้าช่วย มันก็คงช่วยได้ไม่มาก ถ้าเจ้าไม่มีแผนอื่น เจ้าก็ซ่อนตัวที่นั่นไปอีกหลายปีเสีย เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ข้าจะหาทางรับเจ้ากลับมาและแอบพาเจ้าหนีไปจากพันธมิตรบูรพา”
นับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบจนถึงวันนี้หยางไท่เริ่มหวังดีต่อซือหยู
คงน่าเสียดายที่คนเช่นนี้จะตายในมือคนชั่วช้าอย่างฉินเฟยเฉิน หยางไท่ไม่มั่นใจว่าซือหยูจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ได้ดีนัก
เป็นเพราะตัวเขาเองที่มีจุดอ่อนให้ศัตรูได้เล่นงาน
…
เป็นเวลาสี่เดือนแล้วหลังจากที่ซือหยูหายตัวไป
ที่โลกเทพอุปกรณ์หวังยุ่นเสวียนอยู่ในห้องและเกาหัวด้วยความกระวนกระวายใจ
“ข้าควรจะทำอะไร?ข้าจะทำยังไง? ข้าจะช่วยซือหยูได้ยังไง? เขามีอาชญาแผ่นดินติดตัว ต่อให้เทพสูงสุดทั้งเก้าก็ไม่มีอำนาจอภัยให้เขา แม้แต่ท่านพ่อก็ช่วยไม่ได้”
“ซ้ำร้ายข้ายังไม่รู้ว่าซือหยูหายไปไหนคงดีกว่าถ้าเขาหนีออกจากพันธมิตรบูรพาไปแล้ว มิเช่นนั้นเขาต้องตายแน่!”
หวังยุ่นเสวียนได้ยินจากพ่อตนว่าในระหว่างที่ซือหยูหายตัวไปซือหยูได้กลายเป็นอาชญากรที่หลบหนีไปจากเทพเซียนคันฉ่องเทพคนใดที่พบเขาจะต้องจับเขา มิเช่นนั้นจะถูกนับว่าเป็นอาชญากรที่หลบหนีเหมือนกับซือหยู
ดังนั้นซือหยูจะถูกพบตัวทันทีที่เขาปรากฏตัวในโลกใบใดก็ตาม
ตามที่เทพอุปกรณ์พูดพวกเขาไม่อยากจะจัดให้ซือหยูเป็นอาชญากรต้องโทษ แต่การชะลอก็ทำได้เพียงจำกัด ตระกูลเทพเซียนคันฉ่องไม่เพียงแต่กดดันเทพอื่น เรื่องนี้ยังไปถึงหูของฑากิณีอีกด้วย นางพูดว่ากฎจะต้องเป็นไปตามกฎ ดังนั้นจึงมีคำสั่งให้จับตัวเขาตามมา
“น่าเสียดายนักถ้าเขาอยู่ที่นี่ พันธมิตรบูรพาจะได้กลายเป็นพันธมิตรโฉมใหม่ เจ้าพวกชั่วช้าเทพตำรานั่นทำให้ซือหยูต้องมาเป็นแบบนี้…”
หวังยุ่นเสวียนพูดด้วยความชิงชัง
หากซือหยูกลายเป็นอาชญากรข่าวก็ย่อมเผยแพร่ออกไปทั้งโลก ตั้งแต่สามัญชนจนถึงเทพทุกคนพูดถึงเรื่องซือหยู
ซือหยู…เทพดาวรุ่งผู้ได้รับความนิยมจากเทพมากมายได้สังหารผู้คุมกฎในอดีตและตอนนี้กำลังเป็นผู้ต้องหาจากพันธมิตรร้อยเทพ สถานการณ์กำลังเลวร้ายรุนแรง
บางคนรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นซือหยูนั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาและเป็นปาฏิหาริย์ที่เขาได้รับการยอมรับจากเทพในระยะเวลาอันสั้น
แต่อนิจจามีคนริษยาเขา เขาเองก็ทำพลาดในอดีตและกำลังถูกตระกูลเทพตำราเปิดโปง
“เจ้าพวกตระกูลเทพตำรามันชั่วร้าย!เทพขนนกเป็นคนดียิ่งนัก เขาไม่เคยทำร้ายใคร เขาดำเนินชีวิตทีละก้าวด้วยสติปัญญาและพรสวรรค์ของตัวเอง จนสุดท้ายก็มาถึงก้าวที่เขาชนะใจเทพหลายคน ส่วนคนที่จะไม่ชอบใจเขาก็เห็นจะมีแต่เทพตำราที่ชั่วช้าและอยากให้ซือหยูตายไม่ใช่รึ?”
“เฮ้อ!แต่ข้าได้ยินว่าในงานชุมนุมเทพแต่ละครั้ง เทพหลายคนจะปลดปล่อยแหล่งพลังเทพออกมาชุบเลี้ยงพันธมิตรและดวงวิญญาณของพวกเรา ในสิบรุ่นที่ผ่านมากินเวลานับล้านปี ไม่มีเทพจากตระกูลเทพตำราคนใดเลยที่ปลดปล่อยแหล่งพลังเทพมาสู่แผ่นดินใหญ่!”
“ข้าก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมอืนกันทายาทเทพหลายคนบอกว่าตระกูลเทพตำรามิได้จุนเจือพันธมิตร พวกมันแทบจะเป็นตระกูลกบฏ!”
“เจ้าพวกสุนัขหน้าด้าน!ทุกอย่างที่พวกมันทำเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ! พวกมันเสพสุขในพันธมิตรบูรพา ได้รับความเคารพจากพันธมิตรบูรพา แต่ไม่ทำสิ่งใดเพื่อจุนเจือพันธมิตรเลย พวกมันไม่คิดว่าตัวเองเเป็นคนพันธมิตรแต่กลับหน้าไม่อายที่จะอยู่อาศัยในพันธมิตรของพวกเรา”
“ใครกล้าเห็นต่างจากนี้บ้างหรือ?ตระกูลเทพตำราก็แค่พวกเดรัจฉานที่เลวยิ่งกว่าสุกรและสุนัข! แต่ข้าได้ยินว่านี่เป็นคำสั่งจากฑากิณี นางใจกว้างและรักโลกพันธมิตร นางคิดว่าทุกสิ่งควรจะจัดการด้วยความรัก บางทีนางอาจจะคิดว่าตระกูลเทพตำราจัดการได้ด้วยวิธีเดียวกัน”
ทุกคนที่ได้ฟังได้แต่หมดหวังเพราะนี่เป็นคำสั่งฑากิณี แม้พวกเขาจะไม่ยินยอม พวกเขาก็ไม่มีอำนาจที่จะต่อต้าน!
ตู้ม!
ที่แผงโต๊ะใกล้ๆ ฉินเฟยเฉินหน้าแดงและทุบโต๊ะเสียงดัง
ในวันนี้เขาถูกกลุ่มทายาทเทพจากหลิวลี่และเทพเซียนคันฉ่องเพื่อที่จะดื่มสุราและหารือเรื่องที่อยู่ของซือหยู
แต่ผลที่ได้คือพวกเขาได้ยินคนเมาข้างนอกพูดก่อนที่สุราจะยกมาด้วยซ้ำพวกเขาพูดจาให้ร้ายตระกูลเทพตำรา
ฉินเฟยเฉินโกรธแค้นนี่มันโลกแบบไหนกัน?
ซือหยูทำลายตระกูลเทพตำราสังหารคนตระกูลเทพตำราเกือบหมด อีกทั้งยังทำลายสุสานเทพตำราในอดีต เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าตระกูลเทพตำราถูกซือหยูทำลายป่นปี้ แต่พวกเขากลับถูกให้ร้ายโดยข่าวลือของสามัญชนรึ?
“พี่ฉินไม่ต้องใส่ใจคนพวกนั้นหรอกพวกมันก็แค่หนุ่มสาวธรรมดาสามัญ พวกมันไม่พอใจตระกูลเทพอยู่แล้ว แต่แล้วจะทำไมกัน? พวกมันก็แค่กลุ่มมดปลวกที่ถูกปกครอง มาหารือเรื่องที่อยู่ของซือหยูกันจะดีกว่า”
ฉินเฟยเฉินกระดกขวดด้วยความโกรธ
“พี่ฉินหลังจากสืบมาครึ่งปี เราคิดว่าซือหยูอาจจะไม่ได้หนีไปจากพันธมิตร”
หลิวลี่กล่าว
ฉินเฟยเฉินตกใจ
“เจ้าจะบอกว่ามันซ่อนตัวอยู่ในพันธมิตรรึ?”
หลิวลี่พยักหน้า
“ใช่แล้ว!ข้าแอบส่งผู้คุมกฎไปสืบเรื่องเรือกระดูกเทพที่เข้าออกพันธมิตรตลอดหกเดือน ทุกลำไร้ร่องรอยของซือหยู ซือหยูน่าจะยังอยู่ในพันธมิตร”
หลิวลี่เองก็เป็นผู้คุมกฎที่มีอำนาจหลิวลี่สามารถเคลื่อนกำลังผู้คุมกฎไปทำการสืบลับ ๆ ได้
“แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน?”
ฉินเฟยเฉินตึงเครียดถ้าซือหยูเจอเทพที่ช่วยเขาได้ ซือหยูก็มีโอกาสพูดความจริงเบื้องหลังภายใต้การปกป้องจากเทพคนนั้น…
หลิวลี่กล่าว
“มีที่แห่งเดียวเท่านั้น!มันคือสุสานเทพ! มันซ่อนตัวอยู่ที่นั่น!”
“เจ้าว่าไงนะ?”
ฉินเฟยเฉินกับคนอื่นๆ ตัวแข็งทื่อ
“มันจะไปซ่อนตัวที่นั่นได้ยังไง?มันไม่มีแม้แต่วิธีเปิดทางด้วยซ้ำ ต่อให้มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในผนึก มันก็รุนแรงพอที่เทพหลายคนจะสัมผัสได้!”
หลิวลี่พูดอย่างไร้อารมณ์ “ถ้ามีเทพสักคนช่วยเขามันก็ไม่ยากที่จะเปิดทาง ส่วนเรื่องสัมผัสผนึก เทพที่แข็งแกร่งย่อมปกปิดมันจากภายนอกได้ไม่ใช่รึ?”
ทุกคนหายใจเข้ายาวหมายความว่าซือหยูคิดจะซ่อนตัวอยู่ในสุสานเทพสักระยะรึ?
แต่ฉินเฟยเฉินไม่คิดเช่นนั้นโดยเฉพาะเมื่อคิดถึงระดับสติปัญญาและการวางอุบายของซือหยู
เขาตะโกน
“แล้วพวกเจ้ารออะไรกันอยู่?บอกลุงหลิวเซี่ยนให้เฝ้าที่นั่น หากซือหยูออกมาเมื่อไหร่ มันจะตายโดยไม่ต้องสืบเรื่องบุกเข้าไปในสุสานเทพ ฮ่าๆๆๆ ถ้ามันตายตั้งแต่ตรงนั้น จะไม่มีเทพหน้าไหนช่วยมันได้!”
หลิวลี่ยิ้มอยู่นาน
“ช้าก่อนพอข้าไม่ได้ไปตามลำพัง เขายังเตรียมของขวัญไปให้ซือหยูอีกด้วย ต่อให้มีเทพปกป้องเขา เทพนั่นก็ไม่รอดเหมือนกัน!”
ณชายแดนพันธมิตร เรือรบลำหนึ่งได้ฝ่าจักรวาลรีบเทียบท่า บุรุษและสตรีที่เป็นเซียนลงมาจากเรือ และทั้งสองก็คือจักรพรรดิผีและเจี๋ยนอู๋เชิง
ที่สุสานเทพซือหยูฝึกฝนอย่างสงบมาสี่เดือน หยกที่เขาสวมรอบเอวส่องแสงขึ้น
ซือหยูลืมตาช้าๆ คลื่นแสงเปล่งประกายออกมา เขาหายใจจนลมเต็มปอด
“สุดท้ายก็จะได้เริ่มแล้วตระกูลเทพตำรา เทพเซียนคันฉ่อง และตระกูลที่ช่วยปกปิดความลับพวกมัน…พวกเจ้าพร้อมแล้วสินะ? ข้าจะเป็นคนร้าย…หรือพวกเจ้าจะเป็นพวกคนเล่นกับไฟแล้วตกตายไปเองล่ะ?”
เขายืนขึ้นสะบัดฝุ่นที่อาบร่างตัวเขาและก้าวออกจากสุสานเทพ!
การต่อสู้ที่จะสั่นไหวไปทั้งพันธมิตรบูรพากำลังจะเริ่มขึ้น!
ซือหยูมองท้องนภาและพูดอย่างเยือกเย็น
“ข้าต้องการโลหิตเทพให้ตกเป็นพิรุณรดดินแดนพันธมิตรให้เลือดหยดล้างมลทินเทพโสโครกเหล่านั่นเสีย!”