ตอนที่ 1202 - แบ่งแหล่งพลังเทพ

The Divine Nine Dragon Cauldron

เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังจะถูกศัตรูเปิดโปงซือหยูพูด
  “เราต้องระวังมากกว่านี้ห้ามให้ใครนอกจากเรารู้เรื่องนี้เด็ดขาด!”
  “ใช่!สบายใจเถอะ ท่านแม่สนับสนุนเรา ตราบเท่าที่เรื่องยังไม่ใหญ่พอ ท่านแม่จะช่วยปกปิดให้เราได้…”
  เจิ้งหยวนชิงพูดกับเรื่องการสืบคดีนี้ เทพเจิ้งนั้นกำลังช่วยนางอยู่ แม้แต่ตอนที่ร่วมมือกับซือหยูและเทพจิง นางก็ยังทำเป็นไม่รู้อะไร เป็นสัญญาณบ่งบอกว่านางแอบสนับสนุนพวกเขาอยู่
  เมื่อได้ฟังเทพจิงจึงหายวิตก
  ขณะนี้ตระกูลของโลกหลายใบก็ได้คารวะกับหลุมศพเทพของตน ชั้นแสงของพลังเทพหลายร้อยสายผสมผสานกันถือกำเนิดขึ้นปกคลุมทั้งโลกเอาไว้  ด้วยพลังที่ผสานกันนี้มันมิอาจถูกทำลายแม้ว่าจะมีเทพมากกว่ายี่คนสิบรวมพลังกัน
  เทพแต่ละคนได้กลับไปโดยไม่อยู่ให้นานกว่านี้
  ซือหยูเทพจิง และเจิ้งหยวนชิงมองหน้ากันและทำเป็นจะกลับ พวกเขามาถึงขอบโลกสุสานเทพอย่างเงียบเชียบ
  “ข้าเตรียมการสำหรับวันนี้มานานแล้ว!”
  เทพจิงเลียริมฝีปากเขาเรียกค่ายกลหลายสีที่มีพลังเทพมากกว่ายี่สิบชนิดรวมกันออกมา เขาใช้เวลาอย่างมากในการสะสมพลังเหล่านั้น
  แม้พลังเทพที่มีจะอ่อนแอมันก็แกร่งพอที่จะเปิดทางให้คนหนึ่งคนผ่านได้เป็นอย่างน้อย เท่านี้ก็มากพอที่สามคนจะเข้าไปแล้ว
  หลังจากเตรียมการเทพจิงได้ใช้ค่ายกลและเปิดทาง
  เขาทำอย่างแนบเนียนไม่มีใครคนใดรู้ตัว
  ซือหยูเข้าสู่โลกสุสานอีกครั้งเขาเหลือบมองเหล่าสุสานตรงหน้า
  “เราสามคนต้องแยกกัน!เจิ้งหยวนชิงกับข้าจะไปที่สุสานตระกูลเทพเซียนคันฉ่องแล้วจะไปที่ของเทพตำรา เทพจิง ท่านรับหน้าที่คุ้มกัน”
  เทพจิงขมวดคิ้วนี่ไม่ใช่แผนที่คิดกันไว้แต่แรก!
  ถ้าหากเขาทำหน้าที่คุ้มกันเขาจะไม่มีเวลารวบรวมแหล่งพลังเทพ หากเป็นเช่นนั้น นี่จะไม่ใช่การเสียเปล่าหรือ?
  ซือหยูมองเจิ้งหยวนชิงเจิ้งหยวนชิงเองก็กระพริบตา เทพจิงจึงได้เข้าใจ
  นางเป็นบุตรสาวของเทพนางมิอาจขโมยแหล่งพลังเทพมาเป็นของตัวเองได้ ถ้าเทพจิงหลีกทางให้สสักหน่อย นางจะไม่เสียเปล่าเช่นกัน
  เทพจิงรู้ความหมายในการกระพริบตาของเจิ้งหยวนชิงและรีบตอบ
  “โอ้ไม่มีปัญหา ข้าจะบอกพวกเจ้าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เจ้าสองคนรีบไปหาเถอะ”
  เทพจิงยังคงเหลือบมองรอบๆ และเลียริมฝีปาก ตราบเท่าที่เขาไม่ไปที่สุสานตระกูลเทพตำราและเทพเซียนคันฉ่องจนเจอเจิ้งหยวนชิง เขาก็สามารถปล้นเอาพลังเทพจากสุสานอื่นได้
  เทพจิงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อแผนที่วางไว้หลายปีกำลังจะสำเร็จ
  เจิ้งหยวนชิงแปลกใจเล็กน้อยทำไมจะต้องไปค้นดูที่สุสานเทพเซียนคันฉ่องกัน? นี่มันผิดไปจากแผนแรกนิดหน่อย
  แต่สุสานตระกูลเทพเซียนคันฉ่องนั้นน่าสงสัยไม่ต่างกันและถ้าหากพวกเขาเข้ามาแล้ว พวกเขาก็ไม่น่าจะทิ้งโอกาสนี้ไป
  เจิ้งหยวนชิงพยักหน้าตกลง
  “ย่อมได้!”
  จากนั้นทั้งสองก็ได้มาอยู่ที่หน้าสุสานตระกูลเทพเซียนคันฉ่อง นางเหลือบมองซือหยู  “ข้าขอเตือนเจ้าก่อนทุกอย่างในสุสานเทพจะต้องไม่ถูกสัมผัสนอกจากเจ้าจะรวบรวมเบาะแส! ข้าเป็นหัวหน้าผู้คุมกฎอาวุโส ข้าจะไม่อยู่เฉยมองดูเจ้าปล้นหลุมศพใคร”
  ซือหยูยิ้ม
  “ใจเย็นเถอะข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
  ทั้งสามแยกกันไปซือหยูมาที่สุสานตระกูลเทพตำราด้วยรอยยิ้ม
  “มาสิข้าขอดูแหล่งพลังเทพที่พวกเขาสะสมมาเป็นล้านปีหน่อย”
  ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หลุมศพตระกูลเทพตำรานั้นหักพังไปพร้อมกับเจตจำนงเทพ ไม่ว่าจะถูกเอาแหล่งพลังเทพไปเท่าใด คนนอกก็ไม่มีทางรับรู้
  เมื่อซือหยูไปที่หลุมศพเทพไม้ก็ออกมาก่อนที่ซือหยูจะได้ปลดปล่อยมุกวิญญาณเก้าหยก เทพไม้มองดูกระดูกหักที่มีแหล่งพลังเทพอันยอดเยี่ยม นางเบิกตากว้าง
  “แหล่งพลังเทพแบบสมบูรณ์!”   ซือหยูแสยะยิ้ม
  “ใช่แล้วมันเป็นแบบสมบูรณ์! ซากเทพถูกฝังหลายร้อยคนและปกป้องที่นี่เอาไว้ พวกมันไม่ได้เสียหายเลย
  “ข้าขอแค่ส่วนเดียวเพื่อฟื้นพลังคครึ่งส่วนกลับมาหากได้สองส่วน ข้าจะได้พลังในอดีตกลับคืนมา หากได้สามส่วน…”
  “ไม่มีส่วนที่สามซะหรอก!”
  ซือหยูเรียกเทพกิเลนออกมา
  “แหล่งพลังเทพนี้เป็นของเทพตำราหากกลืนกินไปก็มากพอที่เจ้าจะฟื้นฟูตัวกลับมา”
  เทพกิเลนอ้าปากกว้าง
  “นี่มัน…พื้นที่หวงห้ามของพันธมิตรสุสานเทพ! เจ้าแอบเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
  ตั้งแต่ที่ซือหยูช่วยชีวิตเขาเขาก็อยู่แต่ในหอคอยร้อยชั้นและไม่รู้อะไรในโลกภายนอกเลย
  “ไม่ต้องห่วงเจ้าจะเอาพลังไปฟื้นฟูตัวเองเท่าใดก็ได้…”   ซือหยูพูด
  มีแหล่งพลังเทพแบบสมบูรณ์ถึงห้าแหล่งหากให้สองแหล่งกับเทพไม้และอีกสองกับเทพกิเลน ส่วนสุดท้ายจะเป็นของ…
  ซือหยูคิดอยู่สักครู่
  “เจ้าสัมผัสมันได้นี่ออกมาซะ คำสุดท้ายเป็นของเจ้า”
  “ฮ่าฮ่าเจ้าหนู ทำไมเจ้าถึงใจดีนักล่ะ?”
  ซือหยูสัมผัสได้ถึงเสียงหัวเราะประหลาดจากเทพปีศาจ
  แสงสีแดงแล่นออกมาและกลายร่างเป็นสุนัขร่างยักษ์ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณชั่วร้ายเทพปีศาจปรากฏตรงหน้าวพวกเขา
  เทพปีศาจออกจากมิติวิญญาณได้ด้วยตัวเองแล้ว!
  ทั้งเทพไม้และเทพกิเลนสะพรึงกลัว
  เทพปีศาจเหลือบมองทั้งคู่
  “เฮ้ถึงเทพสองคนที่ข้าเพิ่งจะได้เจอเป็นครั้งแรก ข้าขอแนะนำตัวสักหน่อย ข้าคือจักรพรรดิเทพผู้สังหารฟ้าดิน และเป็นเทพที่ขวางอสูรและสังหารอสูร เจ้าจะเรียกข้าว่าท่านเทพปีศา…”
  “เทพกิเลนแหล่งพลังเทพของเจ้าใหญ่กว่าข้าหนึ่งนิ้ว นั่นมันไม่ยุติธรรม!”
  “เพทไม้เจ้าคิดก่อนที่จะพูดได้หรือไม่? เจ้าเลือกพลังที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว เจ้ายังจะมาตำหนิทางเลือกข้าได้ยังไง?”
  เทพปีศาจพยายามเรียกร้องความสนใจจากทั้งสองเทพ
  “ข้าคือผู้สังหารฟ้าดินเทพผู้กั้นขวางเทพอื่นและอสูร…”
  “ข้าไม่สนแต่ของเจ้าใหญ่กว่าข้า ถ้าเจ้าไม่แลกกับข้า ขะ…ข้าจะร้องไห้! ถ้าเจ้าทำให้เทพีสง่างามสูงส่งร้องไห้ล่ะก็…เจ้าจะถูกตราหน้าเป็นคนชั่วจากเหล่าเทพ!”
  “หา!เจ้าพูดความจริงจะดีกว่า เจ้ามันเทพีหน้าด้านที่ขาดทั้งความสง่าและความสูงส่ง!”   “อะแฮ่ม…นี่พวกเจ้าข้าคือจักรพรรดิผู้สังหารฟ้า…”
  “อะไรของเจ้า!เทพกิเลน เจ้าเกือบจะตายอยู่แล้ว ทำไมถึงอยากได้แหล่งพลังเทพนักหนา? รีบแบ่งมาให้ข้าอีกได้แล้ว! เจ้าใช้มากไปก็เสียเปล่าเท่านั้นแหละ!”
  “อะแฮ่ม…ข้าคือจักรพรรดิ…”
  “หน้าด้านนักเจ้าหิวโหยสิ่งที่จะทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อ เจ้ามันก็แค่…”
  ตู้ม…
  “พวกเจ้าสองคน!ข้าคือจักรพรรดิ…”
  เทพไม้กับเทพกิเลนมองหน้ากันและถาม
  “เจ้าโง่นี่มันเป็นใครกัน?”
  “ข้าไม่รู้”
  “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
  “โอ้งั้นก็แยกย้ายกันไปนอนเถอะ”
  พรึ่บ!
  พรึ่บ!   เทพทั้งสองกลับสู่มุกวิญญาณเก้าหยกและหอคอยด้วยแหล่งพลังเทพที่เก็บไว้เหลือไว้เพียงแต่เทพปีศาจที่สับสน
  “อะไรกัน!เจ้าเทพต่ำต้อยสองคนนั่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
  เทพปีศาจฉีกยิ้ม
  “เมื่อก่อนข้าไม่ต้องสนใจคนอย่าพวกมันด้วยซ้ำ!”
  ซือหยูพูดเบาๆ
  “หยุดเหลวไหลได้แล้วเอาแหล่งพลังเทพไปแล้วก็ไปซะ”
  หา?เทพปีศาจมองซือหยูหัวจรดเท้า
  “เจ้าอยากให้ข้าไปจริงๆ รึ?”
  “ข้าเบื่อการเป็นรังให้เทพเต็มทนแล้วเจ้าไปเรียนรู้วิธีพึ่งพาตัวเองก็แล้วกัน…”
  ซือหยูถอนหายใจ
  เทพปีศาจใบหน้าดำมืด
  “รัง…เจ้าคิดว่ากำลังเลี้ยงหมาอยู่เรอะ?ก็ได้…ก็ได้ ข้าขอเป็นหมาจริง ๆ ก็แล้วกัน”
  สีหน้าใจเย็นกลับมาที่เทพปีศาจอีกครั้ง
  “เจ้ามีปัญหาอะไรรึ?”
  ซือหยูถอนหายใจเบาๆ นอกจากหยุนหยาซือแล้ว คนที่รู้จักซือหยูดีที่สุดก็น่าจะเป็นเทพปีศาจที่เป็นทั้งศัตรูและมิตร
  “ข้ากำลังมีปัญหาใหญ่และถ้าข้าจัดการได้ไม่ดี ข้าจะตาย ดวงวิญญาณข้าจะถูกทำลาย ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบเช่นใด”
  ซือหยูพูดเมื่อเขาออกจากที่นี่ไปแล้ว ความอันตรายอีกมากมายและการต่อสู้อันรุนแรงจะรอคอยเขาอยู่
  เทพหลายคนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
  “เจ้าจึงส่งข้าออกมากก่อนที่เจ้าจะตายสินะ”
  เทพปีศาจย่อร่างขนาดยักษ์ลงมาเขาหัวเราะและตอบ
  “เจ้าผ่านอะไรมามากแล้วเจ้ายังกังวลเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นจากนี้อีกหรือ?”   ซือหยูยิ้มอย่างขมขื่น
  “เจ้าพูดถูกแต่ครั้งนี้…ข้าไม่มั่นใจ”
  เทพปีศาจเล่นกับแหล่งพลังเทพในมือก่อนจะขว้างมันกลับคืนซือหยู
  “เจ้าเก็บมันไว้ดูดกลืนเองเถอะถึงจะได้ผลน้อยกับเจ้า มันก็จะให้กำลังพิเศษกับเจ้า”
  “หากมันได้ผลน้อยกับข้าแล้วทำไมเจ้าถึงให้มันกับข้าแทนที่จะใช้เองเล่า?”
  ซือหยูส่ายหน้าเขาเรียกตำราวิชาวิญญาณที่ได้จากฉินเฟยเฉินขึ้นมา
  เพราะมีวิชาบนโลกมากมายถูกบันทึกเอาไว้ตำรานี้จึงมีสติปัญญาและสามารถชี้จุดบกพร่องของการฝึกฝนได้ มันเป็นของล้ำค่า เทพตำรามีมันเพียงราวสามเล่มเท่านั้นแม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนาน
  เมื่อเห็นท่าทางเด็ดขาดของซือหยูเทพปีศาจยิ้มและรับแหล่งพลังเทพกลับมา
  “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้า ลากันตรงนี้”
  ซือหยูมองตำราโดยไม่เงยหน้า  “อืมลาก่อน”
  เทพปีศาจมองซือหยูราวกับจะพูดอะไรแต่ก็ถอนหายใจออกมาแทน
  “บางทีเจ้าก็อย่าฝืนตัวเองให้มากนักล่ะ”
  เมื่อพูดบเทพปีศาจได้กลายเป็นแสงโลหิตหายตัวไป
  ซือหยูวางตำราลงเขารู้สึกว่างเปล่าในใจ เขายิ้มอย่างขมขื่น
  เขาเคยฝืนตัวเองเมื่อไหร่กัน?
  ซือหยูอ่านตำราอย่างตั้งใจต่อไป
  หลังจากใช้ความคิดมานานซือหยูก็นึกถึงวิชาเก้ามังกรอสูร ตำราในมือของเขาสั่นเล็กน้อย ที่ปกตำรา มีปากผุดขึ้นมาและเปล่งเสียง
  “วิชาผสมเป็นระดับตำนานแปดขั้น ในขั้นสุดท้าย…จะเป็นวิชาระดับเทพ ตกทอดมาจากบทพื้นฐานของ ‘อัญเชิญอสูรศักดิ์สิทธิ์’ แห่งตระกูลราชวงศ์อสูร”
  ปึก!   ซือหยูมือสั่นแรงพอที่จะทำตำราหล่นลงบนพื้น
  เขารู้สึกมานานแล้วว่าขั้นสุดท้ายของเก้ามังกรอสูรนั้นแปลกประหลาดแปดขั้นแรกล้วนเป้นมังกรวิเศษที่อัญเชิญมากโดยจิตวิญญาณ แต่ขั้นสุดท้ายนั้นคืออสูรของจริงที่ยังมีชีวิตอยู่!
  ภายใต้การควบคุมของซือหยูไม่ว่าจะเป็นอสูรที่อ่อนแอหรือแข็งแกร่ง เขาก็อัญเชิญออกมาได้ทั้งนั้น
  พวกที่อ่อนแอก็เช่นอีกาอสูรพวกที่แข็งแกร่งก็เช่นมังกรเก้าหัว
  “ตามพละกำลังของโลหิตอสูรพลังของดวงวิญญาณที่ถูกวิชาเก้ามังกรอสูรอัญเชิญออกมาจะแตกต่างกันออกไป หากได้โลหิตอสูรวิเศษมา ผู้อัญเชิญจะใช้วิชาได้เต็มที่และอัญเชิญเทพออกมาได้”
  ซือหยูหัวใจเต้นแรง!
  “แต่อสูรวิเศษคืออะไรกัน?”   เขาถามตัวเองเขามีข้อมูลเรื่องเผ่าอสูรอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยได้ยินคำว่า ‘อสูรวิเศษ’ มาก่อนเลย