เหล่าเทพประสานสายตากัน
‘ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็ถือโอกาสนี้เอาสุสานเทพตำราออกไปจากโลกและขับเทพตำราออกจากพันธมิตรร้อยเทพได้สินะ?’
เป็นเพราะขุมทรัพย์เทพตำราเทพหลายคนที่กังวลว่าความลับจะถูกเปิดเผยจึงไม่กล้าพูดเรื่องนี้ และตอนนี้พวกเขาเริ่มจะมีโอกาสได้คิดแล้ว
ถ้าเทพตำราสร้างขุมทรัพย์เทพตำรามาอีกชิ้นความลับของพวกเขาก็จะถูกเปิดเผยอยู่ดีในเวลาหลายยุคสมัย นั่นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้!
เมื่อทุกคนคิดถึงความเป็นไปได้นี้ฑากิณีก็พูดอย่างอ่อนโยน
“เทพผู้ล่วงลับทุกท่านเคยปกป้องโลกใบนี้เยี่ยงวีรบุรุษบางคนอาจไม่ต้องการทำนุบำรุงโลกหลังจากตัวตาย แต่เราก็มิอาจลืมสิ่งที่เขาทำยามเมื่อยังมีลมหายใจ การกล่าวโทษพวกเขาในตอนนี้ถือว่าจิตใจคับแคบ เทพอย่างเราควรมีจิตใจกว้างขวาง!”
ซือหยูขมวดคิ้วเล็กน้อยนางกำลังบอกว่าข้าใจแคบรึ?
ซือหยูไม่เห็นด้วยกับฑากิณีเพราะตระกูลเทพตำราไม่เคยปกป้องโลกนี้ถ้าหากพวกเขาอยากจะปกป้องโลกจริง ทำไมพวกเขาจึงไม่แสดงเจตจำนงในการปกป้องโลกหลังจากความตายเล่า?
และการตอบสนองแปลกๆ ของเหล่าเทพตำราผู้ล่วงลับนั้นก็ทำให้ซือหยูกังขาว่าตระกูลเทพตำรากำลังคิดร้ายกับพันธมิตรอยู่ด้วย
แม้เทพตำราจะเป็นหนึ่งในร้อยเทพที่ก่อตั้งพันธมิตรขึ้นมาพวกเขาก็ไม่ได้นับว่าพันธมิตรบูรพาเป็นบ้านเกิด
คำพูดของฑากิณีดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เปี่ยมไปด้วยเมตตาแต่สำหรับซือหยู นางเป็นเพียงแค่เทพที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเท่านั้น
ตระกูลเทพตำรามิได้ปกป้องอะไรเลยแต่กลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ความลับของเทพทุกคนมาครอง แต่ฑากิณีได้ปกป้องพวกเขาอย่างไร้หลักการ นั่นทำให้เทพทุกคนที่เสียสละเยี่ยงวีรบุรุษต้องผิดหวัง รวมถึงผู้สืบทอดของเหล่าเทพด้วย
เทพหลายคนค่อนข้างหงุดหงิดในใจและผิดหวังแต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ฑากิณีมิได้พูดผิดแต่พวกเขาหาได้คล้อยตามไม่
และถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้คล้อยตามพวกเขาก็ต้องให้คำสัญญาออกมา
“เราจะทำตามคำชี้แนะของฑากิณี!”
ซือหยูแอบถอนหายใจตอนนี้เขารู้แล้วว่าการปกป้องของราชินีเหล่าเทพผู้มีเมตตาคือเหตุผลที่สุสานบรรพบุรุษตระกูลเทพตำรายังคงอยู่บนโลกใบนี้ได้มาเนิ่นนาน
ซือหยูจ้องมองฑากิณีด้วยความระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ
บนโลกนี้มีผู้คนจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่สองประเภทหนึ่งคือคนไร้เดียงสาจิตใจงาม และอีกพวกคือคนที่คิดร้ายมีนัยยะซ่อนเร้น
ซือหยูไม่รู้ว่าฑากิณีจะเป็นเทพแบบใด
“งานชุมนุมเทพจบสิ้นแล้วพวกท่านทุกคนกลับได้ โลกสุสานเทพจะปิดในอีกไม่นาน!”
ฑากิณีกล่าว
หลังจากเจอความวุ่นวายเข้าแทรกงานชุมนุมเทพได้จบลงก่อนเวลา
ในงานชุมนุมเทพครั้งก่อนหน้าเทพผู้ล่วงลับจะปลดปล่อยแหล่งพลังเทพหนึ่งปี แต่เมื่อขั้นตอนถูกขวางและทำต่อไม่ได้ พิธีเลยต้องหยุดเสียก่อนล่วงหน้า
“ตามท่านปรารถนา!”
ก่อนจะออกไปจากโลกเทพที่เหลือซ่อมแซมสุสานบรรพบุรุษของตัวเอง
พูดกว้างๆ เทพส่วนใหญ่พึงพอใจกับเรื่องวันนี้เว้นเสียแต่การถูกขัดขวางการปล่อยพลังเทพ ซือหยูพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าพูดออกมาและทำสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าทำนั่นทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจ
“ฮ่าๆๆๆ!เทพขนนกช่างน่าสนใจนัก! คนบ้า ๆ อย่างเขาคือตัวอย่างอย่างดีสำหรับพวกชั่วช้า!”
เทพจิงหูหันไปมองพลางยิ้มเยาะในใจคนบ้า ๆ รึ? ใครก็ตามที่คิดว่าเขาเป็นคนบ้าย่อมตายอย่างทุกข์ทรมานทุกหนไป
“ฑากิณีเมตตาเกินไป!ให้ตายเถอะ! มีนางปกป้อง ตระกูลเทพตำราจึงอยู่บนโลกนี้ได้หลายปีและถึงกับสร้างขุมทรัพย์เทพตำราออกมา!”
เทพหลายคนถอนหายใจหมดหวัง
ที่หน้าสุสานบรรพบุรุษตระกูลเทพตำรา
ฉินเฟยเฉินมองกระดูกที่เหลวแหลกของบรรพบุรุษและพูดด้วยความชิงชังที่ฝังรากลึกในใจ
“ซือหยู!เจ้ามันเลวเกินไปแล้ว!” เขารู้ว่าซือหยูกำลังจะทำลายตระกูลเทพตำราให้สิ้นซากรวมถึงสุสานบรรพบุรุษของเขาด้วย!
เทพเซียนคันฉ่องพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เก็บกระดูกบรรพบุรุษเจ้าเสียโดยเฉพาะแหล่งพลังเทพ!”
เมื่อได้ฟังฉินเฟยเฉินได้ทำการเก็บกวาดทุกสิ่งด้วยความแค้นใจ
ใบหน้าเขามีแต่ความเกลียดชัง!
“เจ้าล้างบางคนตระกูลข้า!เจ้าทำลายรากฐานตระกูลข้า! เจ้าทำลายบรรพบุรุษข้า! ข้าจะไม่มีวันอยู่ใต้นภาเดียวกับเจ้า!!”
ฉินเฟยเฉินกล่าวอย่างเยือกเย็น
เทพเซียนคันฉ่องมองเขาด้วยความเวทนาซือหยูโหดร้ายเกินไปมาก! นางไม่คิดว่าซือหยูจะทำลายทั้งตระกูลเทพตำราในเวลาสองวันติดต่อกัน!
แต่พูดตามตรงหากฉินเฟยเฉินระวังมากกว่านี้ สถานการณ์จะต่างออกไป
“เฟยเฉินอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม รอจนกว่าเทพตำราจะกลับมา เขาจะเก็บกวาดให้เจ้า!”
ฉินเฟยเฉินยิ้มเชิงไม่เห็นด้วย
“พ่อข้าจะไม่กลับมาในอีกหนึ่งปี!ท่านอา ซือหยูจะไม่เคลื่อนไหวในหนึ่งปีหรือ?”
ไม่เลย!
เทพเซียนคันฉ่องกล่าว
“ก่อนเทพตำราจะกลับมาเจ้าจงอยู่ที่เรือนข้า ข้าไม่คิดว่าซือหยูจะฆ่าเจ้าในเรือนข้าหรอก!”
แววตานางเยือกเย็น
ฉินเฟยเฉินส่ายหน้า
“ท่านอาสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ยามที่เรามีขุมทรัพย์เทพตำรา เทพอื่นหวาดกลัวเราและไม่กล้าทำอะไรกับตระกูลข้า ท่านไม่เห็นวันนี้หรือ? หากไร้ฑากิณี บรรพบุรุษข้าก็ถูกขุดขว้างออกไปในธารดาราแล้ว!” “ถ้าซือหยูคิดสังหารข้าเขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากเทพอื่น! ท่านอา ข้าไม่คิดว่าท่านจะรับมือเทพหลายคนได้พร้อมกันหรอก!”
เทพเซียนคันฉ่องไม่พูดอะไรแววตานางมีแต่ความชิงชังไม่ต่างจากฉินเฟยเฉิน นางรู้ว่าสถานการณ์ได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว
ถ้าซือหยูกล้าบุกสังหารฉินเฟยเฉินถึงเรือนตระกูลเทพเซียนคันฉ่องเทพเหล่านั้นจะต้องสนับสนุนซือหยูแม้ว่าจะไม่ได้มาจู่โจมด้วยตัวเอง
เวลานี้เทพอื่นทั้งหมดได้เลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับซือหยู!
“ท่านอาหนีไปก็ไร้ประโยชน์!”
ฉินเฟยเฉินพูดต่อ
“เราต้องหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้ได้!”
เวลานี้เรือนเขาถูกทำลาย เขากลายเป็นคนไร้บ้าน ฉินเฟยเฉินแค้นใจถึงที่สุด เขาตระหนักว่าเขาไม่ควรคิดสังหารซือหยูตั้งแต่แรก
ถ้าหากมีโอกาสอีกครั้งเขาจะไม่มีทางคิดสังหารซือหยูเลย เพราะเขามิอาจรับกับผลที่ตามมาได้
“เจ้ามีหนทางหรือ?”
เทพเซียนคันฉ่องถาม
ฉินเฟยเฉินพยักหน้า
“มีสิ!วิธีที่จะไม่ให้เทพพวกนั้นช่วยเหลือซือหยู!”
“บอกข้ามาข้าจะช่วยเจ้าเอง!”
เทพเซียนคันฉ่องเลิกคิ้วพูดนางกำลังคล้อยตามความคิดของฉินเฟยเฉิน
ฉินเฟยเฉินตอบ
“ซือหยูอาจดูเข้มแข็งแต่มันมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่! มันเคย…ขัดกฎพันธมิตรร้อยเทพ! มันเคยฆ่าผู้คุมกฎฉินคั่วด้วยตัวเองกับมือ! นี่คืออาชญาแผ่นดินที่อภัยให้ไม่ได้!” ในพันธมิตรใครก็ตามที่กล้าสังหารผู้คุมกฎล้วนต้องโทษประหาร แม้แต่เทพเองก็ฝ่าฝืนกฎข้อนี้ไม่ได้
ถ้าหากความผิดของซือหยูถูกเปิดโปงจะไม่มีใครปกป้องซือหยูจากการถูกลงโทษได้เลย นั่นรวมถึงเทพจิงหรือกระทั่งฑากิณี!
“แต่เราจะตกอยู่ในอันตรายถ้าเขาบอกเหตุผลที่เขาฆ่าฉินคั่ว!เพราะฉินคั่วตายเพราะพยายามปกป้องราชาเขตกลางที่เป็นอสูร! เราปกปิดความจริงข้อนี้จากเทพอื่นไม่ได้!”
“การสมคบคิดกับเผ่าอสูรเป็นความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าการสังหารผู้คุมกฎ!มันคือสิ่งต้องห้ามในพันธมิตร! ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษโดยทั้งพันธมิตร ทั้งตระกูลจะถูกเนรเทศออกจากพันธมิตร!”
เทพเซียนคันฉ่องไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
แผนของฉินเฟยเฉินคือแผนที่เสี่ยงที่สุดแล้ว
“ข้ารู้ว่ามันเสี่ยงมาก!เราอาจจะตายไปพร้อมกับมัน แต่ข้าไม่คิดว่าการเสี่ยงนี้จะถูกซือหยูมองออกได้! หากใช้วิธีนี้ มันจะต้องไม่ทันตั้งตัวแน่!”
ฉินเฟยเฉินตาลุกวาว
“ยิ่งกว่านั้นเราต้องไม่ทำให้ซือหยูพูดอะไรที่เสี่ยงกับเรา! เราต้องฆ่ามันก่อนที่มันจะได้พบกับเทพอื่น!”
ได้ยินเช่นนี้เทพเซียนคันฉ่องหยุดคิดอยู่นาน ต่อให้ความตายของซือหยูจะน่าสงสัย แต่คนตายย่อมกลับมาบอกความจริงกับเทพที่เหลือได้!
“ท่านอาท่านต้องช่วยข้านะ! มิเช่นนั้นข้าคงฆ่าซือหยูคนเดียวไม่ได้!”
เทพเซียนคันฉ่องเริ่มลังเลมันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะเดิมพันอนาคตของตระกูลนางในการสังหารซือหยู?
แต่นางก็ทำใจที่จะฆ่าเขาเมื่อตระหนักว่าซือหยูคือเพียงคนเดียวนอกจากตระกูลเทพตำราที่รู้เรื่องการสมคบคิดของตระกูลนางกับเผ่าอสูร!
“เอาล่ะ!วางแผนฆ่ามันกันเถอะ เราจะต้องทำให้ได้!”
…
ซือหยูอยู่หน้าสุสานตระกูลเทพกระเรียนอยู่นานเขาครุ่นคิดถึงเรื่องต่าง ๆ
เขารู้ว่าการสังหารฉินเฟยเฉินไม่สำเร็จจะนำพาปัญหามาสู่เขาไม่รู้จบ
“ถ้าฉินเฟยเฉินไม่โง่มันต้องรู้ว่าข้าจะพยายามฆ่ามันก่อนที่เทพตำราจะกลับมา! มันจะรู้อีกด้วยว่าข้าได้เปรียบ และข้าฆ่ามันได้ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน!”
“มันรู้ว่าตัวเองอยู่ในทางตันมันจะต้องพยายามทำอะไรโง่ ๆ แน่!”
ซือหยูแววตาเยือกเย็นเขาทำการวิเคราะห์จากสถานการณ์ปัจจุบันของฉินเฟยเฉิน
“ถ้าข้าเป็นฉินเฟยเฉินข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ศัตรูสิ้นซากในความจนตรอกนี้! มันจะต้องเปิดเผยเรื่องที่ข้าสังหารผู้คุมกฎแน่! และเพื่อที่จะหยุดข้าไม่ให้เผยเรื่องที่มันร่วมมือกับเผ่าอสูร มันจะไม่มีวันให้โอกาสข้าได้แก้ตัว มันจะต้องลอบสังหารข้าต่อหน้าเทพคนอื่น!”
หากฉินเฟยเฉินอยู่ที่นี่เขาคงจะต้องทึ่งอย่างแน่นอนที่แผนของตัวเองถูกซือหยูทำนายได้อย่างแม่นยำ!
“หากเรื่องต้องเป็นแบบนั้นข้าก็อันตรายมากแล้ว!”
ซือหยูคิดในใจเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะแก้ตัวต่อหน้าเทพและรอดชีวิตจากพลังของเทพได้!
เวลานี้เป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูจะปกป้องตัวเองจากพลังของเทพ!
ต่อให้เขารอดชีวิตจากการลอบสังหารของเทพได้แต่เขาจะแก้ตัวต่อหน้าเทพคนอื่นได้อย่างไร? หากเขาล้มเหลว เขาก็ยังคงต้องตายอยู่ดี ซือหยูขมวดคิ้วเพราะเขาสับสนกับสถานการณ์อันยากลำบากนี้
ไม่ผิดจากที่เขาคิดเลยปัญหาไม่รู้จบจะรุมเร้าเขาตราบเท่าที่ฉินเฟยเฉินยังมีชีวิตอยู่ เขาจำเป็นต้องปลิดชีวิตฉินเฟยเฉินให้ได้!
“ฮื่ม!มาดูเถอะว่ากลไม้ใดจะดีกว่าในฉากสุดท้าย!”
ซือหยูแววตาเย็นชาจนน่ากลัวเขารู้ว่าการต่อสู้สุดท้ายของเขากับฉินเฟยเฉินจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน!
ถ้าเขาแพ้เขาจะต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน! ถ้าฉินเฟยเฉินแพ้ เขาจะถูกลบหายไปพร้อมกับเทพตำราและเทพอื่นที่เกี่ยวข้อง!
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการต่อสู้สุดท้ายระหว่างซือหยูกับฉินเฟยเฉินจะเต็มไปด้วยอันตรายและสิ่งที่มิอาจคาดเดา
“ข้าจะได้เปรียบมากเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ข้าได้จากสุสานเทพผู้ล่วงลับเหล่านี้!”
ซือหยูคิดในใจเขาไม่อยากจะพ่ายแพ้การต่อสู้สุดท้ายกับตระกูลเทพตำรา
หลังจากออกจากโลกสุสานเทพซือหยูไปเจอกับเทพจิง
“เจิ้งหยวนชิงอยู่ที่ไหนกัน?”
เทพจิงถามด้วยความกระวนกระวาย
ซือหยูตอบ
“นางกำลังมา!”
ตามคาดเจิ้งหยวนชิงมาถึงในเวลาต่อมา จากนั้นนางก็มองซือหยูและเทพจิงด้วยความกระวนกระวายใจ
“เราจะต้องทำมันจริงๆ รึ? หากมีคนจับได้ เราจะต้องโทษฐานดูหมิ่นเทพ! มันอันตรายมากถ้าเทพพวกนั้นรู้!”
“อะไรนะ?”
เทพจิงคิดลึกไปในคำพูดของนางและเริ่มสงสัย
“เจ้ากำลังพูดถึงเทพคนใดกัน?”