[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 2 หอนางโลมมักจะมีเรื่องแปลกๆ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ในวันที่ไม่มีลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงช่างยากลำบาก อย่างน้อยมันก็ลำบากสำหรับคนห้าคนที่ดื่มเหล้าจนเมา จั่งซุนชงหัวเราะเสียงดัง ลุกขึ้นมาเต้นรำ หลี่หวยเหรินยืนจูบเปลือกต้นไม้ไม่หยุด หลี่เฉิงเฉียนห้อยคออ้วกอยู่บนกิ่งไม้เตี้ยๆ มีแค่เฉิงฉู่มั่วที่สภาพดีหน่อย เขานั่งเคี้ยวกระดูกเปล่าอยู่ตรงนั้นอย่างเอร็ดอร่อย 

 

 

อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนพรม ซือซือลูบหัวของอาจารย์ ส่วนเสี่ยวอู่ช่วยเช็ดปากให้อาจารย์ ขณะที่ตี๋เหรินเจี๋ยป้อนน้ำส้มสายชูให้อาจารย์ แต่ก็น่าเสียดายที่อาจารย์อ้วกออกมาทั้งหมด 

 

 

หลี่หวยเหรินจูบต้นไม้ไปนานๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่าย เขาตะโกนขึ้นมาว่าอยากจะไปหอนางโลม ต้องไปให้ได้ คลานไปก็จะไปให้ได้ และแล้วคนเมาทั้งห้าคนก็เดินโซซัดโซเซไปขึ้นรถม้า องครักษ์ของหลี่เฉิงเฉียนพาพวกเขาไปที่เมืองฉางอัน 

 

 

ตี๋เหรินเจี๋ยไม่รู้ว่าอะไรคือหอนางโลม เขาพึ่งจะตะโกนขึ้นมาว่าเขาจะไปด้วยก็ถูกเสี่ยวอู่บิดหู ถูกซือซือกระทืบเข้าให้ เรียกคนใช้ที่อยู่ไกลๆ มาเก็บของ ตัดสินใจจะไปบอกฮูหยินว่าอาจารย์ไปหาผู้หญิงพวกนั้น 

 

 

รสนิยมของหลี่เฉิงเฉียนนั้นยุ่งยากจริงๆ เห็นบั้นท้ายขนาดใหญ่ของเหลาเป่าจึที่หอเอี้ยนไหลโหลวก็ส่ายหน้า เห็นหญิงงามของหอหมิงเย่วเก๋อก็ส่ายหน้า สรุปก็คือเขาส่ายหน้าให้กับผู้หญิงทุกคน หลี่หวยเหรินถามด้วยความโมโห “เจ้าจะไปที่ไหนกันแน่ เดินทั่วตรอกผิงคังฟางแล้ว” 

 

 

“ข้าไม่ใช่ไม่พอใจ หอเอี้ยนไหลโหลวก็ไม่เลว บั้นท้ายอ้วนๆ ของเหลาเป่าจึไม่เลวเลยทีเดียว แต่คอของข้ามันไม่ยอมฟัง มันมักจะส่ายคออยู่ตลอดเวลา” 

 

 

คนขับรถม้ารีบพาชายขี้เมาทั้งห้าคนไปที่หอเอี้ยนไหลโหลว เหลาเป่าจึไม่ได้ไปไหน รูปร่างของเหย่าเหนียงอ้วนขึ้นมาก หน้าอกโตขึ้นไม่น้อย แต่ว่าเอวก็ใหญ่ขึ้นมากเหมือนกัน เดินไปเดินมาเหมือนอวี้ฉือกง ทุกย่างก้าวช่างมั่นคง เมื่อครู่ยังรู้สึกเสียใจที่ปล่อยหมูทองตัวใหญ่ไปสองสามตัว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกลับมาอีกครั้ง ไม่กล้ารอช้า โบกผ้าเช็ดหน้าราวกับเห็นคนรัก จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว 

 

 

หลี่หวยเหรินจับแขนและพูดว่า “เหย่าเหนียง รูปร่างของเจ้าตอนนี้ ข้าคงแบกรับมันไว้ไม่ได้ เอวอันบอบบางร่างน้อยของเจ้าตอนนั้นไปอยู่ที่ใดแล้ว” 

 

 

เหย่าเหนียงถือโอกาสบิดแขนหลี่หวยเหรินเบาๆ ด่าเขาว่าไม่มีหัวใจ จากกันครั้งก่อนก็ไม่กลับมาอีกเลย ทำให้นางเสียใจเลยเอาแต่กิน สุดท้ายถึงได้กลายเป็นแบบในตอนนี้ 

 

 

คนมีสติปัญญาครบถ้วนดีจะรู้ว่าคำพูดในหอนางโลมไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เหย่าเหนียงลากหลี่หวยเหรินขึ้นไปชั้นบน นางชอบสิ่งของหนักๆ ที่อยู่ในแขนเสื้อของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมาก 

 

 

ห้องห้องเดียวใช้พื้นที่ทั้งชั้น โต๊ะข้างหน้าหลี่เฉิงเฉียนและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยผลไม้และขนม มีแต่โต๊ะของอวิ๋นเยี่ยที่เต็มไปด้วยแตงกวาและขนมอีกนิดหน่อย เหย่าเหนียงจำคนที่หลงใหลในแตงกวาคนนี้ได้เป็นอย่างดี 

 

 

คนเมามักจะปรนนิบัติรับใช้ยาก รางวัลที่เหล่าขุนนางเอาให้ตอนมีสติคือเงิน หากถือโอกาสโกงพวกเขาตอนเมา ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด ความจริงเงินแค่สองสามเหรียญพวกเขาไม่ได้สนใจ แต่แค่เหล่าขุนนางมีนิสัยไม่ชอบถูกหลอกลวง 

 

 

ขณะที่นอนอยู่บนเก้าอี้นุ่ม นางรำพากันยกกะละมังมาช่วยเช็ดหน้าและล้างเท้าให้กับเหล่าขุนนาง ดูแลอย่างดีสมกับที่เป็นคนดูแลแขกที่มีฝีมือชำนาญการ ทำให้คนได้รับการปรนนิบัติรู้สึกสบาย เมื่อดื่มน้ำแปลกๆ ลงไปในท้องก็มีสติขึ้นมาทันที 

 

 

เห็นว่าเหล่าขุนนางทั้งหลายกลับมามีสติกันแล้ว เหย่าเหนียงยิ้มราวกับพระโพธิสัตว์ ไขมันใต้คางสั่นสะเทือนและพูดว่า “ได้ดูแลปรนนิบัติรับใช้พวกท่านช่างเป็นเกียรติกับหอของเรา ไม่ทราบว่าพวกท่านอยากจะดูการร่ายรำหรืออยากได้คนมาดูแล มีนางรำมาจากทางสุดขั้วตะวันตก ชุดเต้นรำสวยงามเป็นที่สุด ร่ายรำราวกับผีเสื้อ ผู้ชายใช้หัวสะบัดผ้า เป็นวงๆ ดูแล้วงามตาเป็นที่สุด” 

 

 

“อืม ในฉางอันไม่ค่อยจะได้เห็นการร่ายรำที่บริสุทธิ์ของอียิปต์ แต่ว่าการร่ายนี้ผู้ศรัทธาเอาไว้ร่ายรำฟังคำสอนของเทพเจ้า จะมีคนยอมร่ายรำหรือ” 

 

 

“ไอ้หยา ท่านช่างมีความรู้การศึกษา พวกเขามาจากดินแดนที่ชื่อว่าไอจวี๋ ช่างน่าสงสาร ได้ยินสาวน้อยที่พอจะพูดได้บอกว่าผู้คนทั้งโลกอยากจะฆ่าพวกเขา บอกว่าพวกเขาเป็นคนสกปรก แต่ว่าข้าเคยไปแอบดู พวกเขาสะอาดสะอ้านแล้วยังไม่มีกลิ่นเหม็น ดูๆ ไปแล้วก็เห็นว่าพวกเขาน่าสงสารจึงได้รับพวกเขาไว้ ให้ข้าวพวกเขากิน” 

 

 

“เหย่าเหนียง ที่พวกเขาบอกว่าสกปรกคือสมองที่สกปรก ถูกเทพเจ้าทอดทิ้ง เจ้าไม่กลัวว่าเทพเจ้าของพวกเขาจะมาลงโทษเจ้าหรือ” อวิ๋นเยี่ยพึ่งเคยได้ยินคนที่ดูหมิ่นเทพเจ้าเป็นครั้งแรก จึงอยากจะเจอกับพวกเขา โดยทั่วไปแล้วคนที่ดูหมิ่นเทพเจ้าต้องมีความสามารถถึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ ไม่เช่นนั้นคงจะถูกสำนักเผาจนตายไปนานแล้ว 

 

 

“ฮ่า ข้าไม่กลัว นี่คือต้าถัง ข้ากลัวตำรวจ แต่ไม่มีทางกลัวเทพเจ้าอะไรนั่น เชิญท่านนั่งรอสักครู่ ข้าจะไปเรียกพวกเขาออกมาร่ายรำเดี๋ยวนี้” 

 

 

พอปรบมือ ทันใดนั้นก็มีเพลงเบาๆ ดังขึ้นมา ราวกับเสียงของธรรมชาติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ นุ่มนวลราวกับสายลมอ่อนโชยพัดผ่านเข้ามา นุ่มนวลราวกับหิมะที่ตกลงบนกิ่งสน นางรำสี่ห้าคนสวมผ้าปิดหน้าเดินออกมาจากประตูลับ ฝีเท้าที่แผ่วเบา กระโปรงหลากสีสันโบยบินไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย กลายเป็นวงกลมวงใหญ่ เป็นอย่างที่เหล่าเป่าจึพูดไว้ไม่มีผิด ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน ราวกับผีเสื้อที่สวยงาม 

 

 

ผ้าปิดหน้าเนื้อบางเบาที่เผยให้เห็นเพียงดวงตาอันสดใส แข็งกระด้าง และไร้ความปรารถนา นี่ควรเป็นแก่นแท้ของการร่ายรำนี้ แต่ในสายตาไม่มีความนับถือและความคาดหวังใดๆ ทว่ามันคือความเย็นชาอย่างหนึ่ง ซึ่งมันไม่ถูกต้องนัก 

 

 

อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันถามก็มีผู้ชายสี่ห้าคนสวมชุดคลุมสีขาวออกมาจากทางประตูลับ บนหัวมีผ้าคาดหัวยาวๆ ทันทีที่ผู้ชายพวกนั้นออกมา คนพวกนั้นก็พากันเอามือขวามาวางไว้ที่หู ราวกับว่ากำลังฟังเสียงอะไรจากไกลๆ แต่ไม่เห็นว่าพวกเขาจะขยับไปไหน จู่ๆ เสื้อคลุมก็ลอยขึ้นเอง ผ้าผูกหัวก็ลอยขึ้นมาด้วย หากผู้หญิงเป็นดอกมู่เหมียนฮวาที่สดใส เช่นนั้นผู้ชายก็คงจะเป็นเหมือนดอกหล่าปาฮวาสีขาว ดนตรีที่บรรเลงออกมาจากเครื่องดนตรีที่คล้ายกับซวิน เสียงราวกับมีคนกำลังสวดมนต์อยู่ไกลๆ ใช่แล้ว การร่ายรำนี้ไม่ใช่ร่ายรำให้คนดู เป็นการร่ายรำถวายแด่เทพเจ้า ตอนนี้พวกเขาเอามันออกมาขาย หากไม่ใช่การดูหมิ่นเทพเจ้าแล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ ไม่แปลกที่สำนักจะต้องการเอาพวกเขาไปทำเป็นฟืนในเปลวไฟ 

 

 

หลี่หวยเหรินเห็นว่าไม่ใช่ระบำหน้าท้อง เขาไม่พอใจเป็นอยากมาก ผู้หญิงพวกนี้แต่งตัวมิดชิดขนาดนี้ ไม่เห็นเนื้อหนังมังสาเลยสักนิด น่าเบื่อ ข้าอยากดูระบำหน้าท้อง 

 

 

“ไสหัวลงไป ถอดเสื้อผ้าแล้วค่อยขึ้นมาร่ายรำ ข้าอยากดูร่ายรำที่บิดตูดเป็นเชือก” นิสัยเลวทรามของชายหนุ่มช่างยากที่จะควบคุม เอาเงินมาด้วยก็เพื่อมาสนุก ไม่ได้จะมาดูชายหญิงสี่ห้าคนที่แต่งตัวเป็นดอกไม้ 

 

 

ไม่รู้ว่าเหลาเป่าจึโผล่ออกมาจากไหน นางโวยวายใส่พวกเขาที่กำลังตัวสั่นทันที “เห็นว่าพวกเจ้าน่าสงสาร ให้โอกาสพวกเจ้าหาเงิน ไม่ดูแลพวกท่านให้ดี ยังทำให้พวกท่านโมโห รนหาที่จริงๆ” 

 

 

บนโลกใบนี้ไม่มีเหลาเป่าจึคนไหนที่เป็นคนดี นางยังดึงปิ่นปักผมออกมาแทงผู้หญิงที่น่าสงสารพวกนั้น ปากเอาแต่ตะโกนว่า “บอกให้พวกเจ้าสวมเสื้อผ้าเหมือนนางรำข้างนอกพวกเจ้าก็ไม่ยอม พลาดโอกาสหาเงินดีๆ ไปจนได้ คงต้องให้อดตายทั้งเป็น” 

 

 

ผู้หญิงทุกคนกำลังช่วยบังผู้หญิงที่อยู่ตรงกลาง พวกนางยอมให้ตัวเองถูกแทง แต่ก็ไม่มีทางยอมให้เหลาเป่าจึแตะต้องผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางคนนั้น 

 

 

จั่งซุนชงปรบมือหัวเราะเสียงดัง เห็นเหลาเป่าจึวิ่งเข้าไปในฝูงแกะราวกับเสือ เขาตะโกนอย่างพอใจ แล้วยังโยนเหรียญในแขนเสื้อออกไปดูความสนุก หลี่เฉิงเฉียนไม่มีอะไรโยนออกไป เขาแย่งเหรียญมาสองสามเหรียญแล้วโยนลงไปบ้าง เหย่าเหนียงชอบอกชอบใจ นางจึงไล่แทงแรงขึ้นกว่าเดิม 

 

 

อวิ๋นเยี่ยแค่ยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา เขาจะดูว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางคนนั้นจะอดทนได้นานแค่ไหน เฉิงฉู่มั่วยิ่งชอบรังแกผู้อ่อนแอ เขากอดแขนและปล่อยให้นางรำที่อยู่ข้างๆ เอาองุ่นป้อนเข้าปาก 

 

 

ท่ามกลางความโกลาหล มีหนังสือเล่มบางเล่มหนึ่งตกลงมา อวิ๋นเยี่ยพูดกับนางรำที่อยู่ข้างๆ หนึ่งประโยค นางรำคนนั้นก็วิ่งไปเอาหนังสือที่อยู่ตรงกลางมาให้อวิ๋นเยี่ยดู 

 

 

น่าเบื่อ ก็เป็นแค่หนังสือ ‘หลักการเรขาคณิต’ ธรรมดาๆ เขียนเมื่อเก้าร้อยกว่าปีที่ก่อน สิ่งสำคัญของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่มันมีทฤษฎีขั้นสูงอะไร แต่เพราะว่ามันเป็นหนังสือคณิตศาสตร์ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ มีประโยชน์ในการฝึกฝนความคิดเชิงตรรกะของผู้คน โดยเฉพาะหลังจากที่ไฮปาเทียปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์แบบ มันก็ถูกใช้มาเป็นพันปี 

 

 

พลิกไปได้หน้าสองหน้า อวิ๋นเยี่ยก็ถึงกับนั่งไม่ติด หนังสือเล่มใหญ่มาก แต่มันกลับทำมาจากหนังแกะอย่างดี ข้างหลังยังมีอักษรรูปแบบใหม่เพิ่มเข้ามา อักษรรูปร่างสวยงาม นี่ไม่ใช่ลายมือของผู้ชาย 

 

 

อวิ๋นเยี่ยทนต่อความโหดเ**้ยมของเหย่าเหนียงไม่ไหวแล้ว หากยังไม่ทันได้พูดอะไร ผู้หญิงคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาคว้าหนังสือในมือของเขาออกไป กอดมันไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่น องค์รักษ์ที่อยู่สองฝั่งกำลังจะพุ่งเข้าไปทำโทษผู้หญิงชั้นต่ำที่ทำให้ท่านโหวขุ่นเคืองคนนั้น เหย่าเหนียงยิ่งโมโหขึ้นกว่าเดิม ผู้ชายพวกนั้นหันหลังออกมาล้อมรอบผู้หญิงคนนั้นไว้ตรงกลาง พร้อมที่จะรับการลงโทษ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยบอกให้พวกองครักษ์ถอยไป ไล่เหย่าเหนียงออกไปด้วย ก่อนจะเดินมาข้างหน้าพวกเขา พูดกับกับผู้หญิงที่อยู่ข้างในวงล้อมว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพื่อนๆ ของข้าก็เช่นกัน เพียงแค่พวกเขาพึ่งจะออกมาจากสนามรบ นิสัยรุนแรงนิดหน่อย ข้าอยากจะถามเพียงไม่กี่ประโยค ไฮปาเทียเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า นางตายไปแล้วกว่าสองร้อยปี เหตุใดเจ้าถึงมีต้นฉบับของนาง อีกอย่าง ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า หากมันไม่เป็นอันตรายต่อต้าถัง เพราะข้านับถือไฮปาเทีย ข้ายินดีที่จะช่วยให้พวกเจ้ากลับไปแคว้นของพวกเจ้า เจ้ามาจากเมืองย่าลี่ซานต้าใช่หรือไม่” 

 

 

ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางอ้าปากกว้าง เธอคิดไม่ถึงว่าฝั่งตะวันออกที่แสนไกลจะมีใครรู้จักไฮปาเทีย มันเป็นไปไม่ได้ 

 

 

หลี่เฉิงเฉียนและคนอื่นๆ ก็ฟังไม่เข้าใจ ไฮปาเทียอะไร ย่าลี่ซานก็ไม่เข้าใจ นี่คือกลุ่มนางรำ ไม่มีความกดดันอะไร ชอบก็เอากลับไป พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมาย 

 

 

ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรสักอย่าง อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าฟังภาษากลางของต้าถังออก เช่นนั้นเจ้าก็พูดออกมาเถอะ ข้าฟังภาษาของพวกเจ้าไม่รู้เรื่อง ต้าถังไม่ต้องการภาษาแปลกๆ พวกนั้น” 

 

 

ดูเหมือนนางจะโมโห เอะอะโวยวายอะไรสักอย่าง อวิ๋นเยี่ยกางมือออก “ข้าฟังไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าเจ้าจะบอกว่าข้าเย่อหยิ่ง ข้าฟังไม่เข้าใจ เจ้าพูดไปก็เสียเปล่าไม่ใช่หรือ” 

 

 

นางโมโห ผลักองครักษ์ออกไปแล้วเดินไปนั่งตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยย้ายโต๊ะเข้ามาวางไว้ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคนอย่างกระตือรือร้น ตัวเองหย่อนตัวนั่งลง ยิ้มแล้วมองไปที่นาง 

 

 

“คนต้าถังล้วนแต่เย่อหยิ่งเหมือนเจ้าทุกคนเลยหรือ พวกเจ้าไม่กลัวผู้คนเกลียดชังหรือ” 

 

 

“ชาวต้าถังไม่เคยอยากให้ใครมาชอบ มันทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากกว่า” 

 

 

ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดแบบนี้ หลี่เฉิงเฉียน จั่งซุนชง หลี่หวยเหรินและเฉิงฉู่มั่วก็พากันยิ้มพยักหน้า แม้แต่เหย่าเหนียงที่แอบอยู่ตรงมุมก็คิดว่าคำพูดของท่านโหวสมเหตุสมผล จากนั้นนางก็หันไปเตะที่ก้นของนางรำทีหนึ่ง