“ท้องฟ้าสีฟ้า ใบไม้สีเหลือง ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ห่านหงส์บินจากทางเหนือลงใต้ สีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่หาได้ยาก ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว” อวิ๋นเยี่ยเก็บพัดในมือ สอดเข้าไปด้านหลังคอเสื้อ เฉิงฉู่มั่ว จั่งซุนชงและหลี่หวยเหรินก็เลียนแบบเขา พวกเขาคุ้นชินกับการที่จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยเกิดเป็นโรคประสาทขึ้นมาตั้งนานแล้ว
“เยี่ยจึ ตอนนี้หญ้ายังเขียวอยู่เลย จะมีใบไม้สีเหลืองได้เช่นไร ตอนที่ข้าอยู่ที่เป่ยไห่ เหล่าห่านหงส์กำลังฟักไข่ พวกมันไม่มีทางบินมาถึงฉางอันได้เร็วขนาดนี้ ข้าเดินกองทัพมาเป็นพันลี้ ไล่ตามรัชทายาทชนเผ่าเกาชังทั้งวันทั้งคืน พูดได้ว่าเป็นความดีความชอบที่ได้มาอย่างยากลำบาก แต่เจ้ากลับเพลิดเพลินอยู่ที่บ้าน ไม่หาอะไรอร่อยๆ มาให้ข้ากินหน่อยหรือ งานเลี้ยงเมื่อครู่ ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”
หลี่หวยเหรินกัดฟันถามอวิ๋นเยี่ย ที่แท้เขากะจะมากินมื้อใหญ่ที่ตระกูลอวิ๋น ใครจะไปรู้ อาหารต้อนรับของตระกูลอวิ๋นไม่แตกต่างอะไรกับอาหารทั่วไปของตระกูลตัวเอง
“หนังสือหนังหาที่เรียนมาไปไหนหมด งานเลี้ยงที่เยี่ยจึจัดให้พวกเราที่จองเอาไว้ตั้งแต่ตอนก่อตั้งประเทศ ขึ้นฉ่ายหมักน้ำส้มสายชู รังนกดอกโบตั๋น เกล็ดหิมะดอกพีช เป็ดเจิงชี่ เนื้อตุ๋น แล้วยังมีบะหมี่เย็น อาหารหลักเป็นข้าวหวงเหลียง อาหารเจ็ดอย่างนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฝ่าบาทต้อนรับพวกเราก็ยังต้องมีอาหารเหล่านี้ กลับมาหลังจากสู้รบกว่าร้อยครั้ง ตระกูลเหล่าโหวอ๋องต้องทำการต้อนรับเป็นอย่างดี เอาเนื้อหมูชิ้นใหญ่มาให้กิน นี่เจ้ายังเห็นเยี่ยจึเป็นคนอยู่หรือไม่”
จั่งซุนชงมองหลี่หวยเหรินด้วยสายตาที่ดูถูก รู้สึกว่าไอ้คนนี้ไม่เหมือนนายท่านที่เกิดในตระกูลโหวอ๋อง
“พวกเจ้าพูดมากจริงๆ รอให้ข้าท่องประโยคสุดท้ายออกมาแล้วพวกเจ้าค่อยเอะอะโวยวายได้หรือไม่ ความสง่างามที่สะสมมาสองปี พึ่งจะท่องออกมาได้แค่สองสามประโยคก็ไม่ให้ข้าท่องให้หมด ฟังซะ ประโยคสุดท้ายคือคลื่นทะเลปกคลุมไปด้วยควันโขมง กวีที่สวยงาม ประโยคที่สวยงาม! เอาล่ะ ตอนนี้ถามได้แล้ว”
เฉิงฉู่มั่วสูดจมูกทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ภูเขาแห่งนี้มีกลิ่นหอมแปลกๆ คงจะไม่มีถ้ำอยู่ในนั้น โชคดีนะที่เมื่อครู่ข้าไม่ได้กินอะไรไปมากมาย เพราะข้ารู้ว่าเยี่ยจึไม่มีทางทำให้ข้าผิดหวังอย่างแน่นอน”
หลี่หวยเหรินรีบสูดจมูกสองสามครั้งอย่างรวดเร็ว พยักหน้าอย่างพึงพอใจและพูดกับจั่งซุนชงว่า “เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว ฝ่าบาทเชิญเหล่าผู้อาวุโสจัดงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักว่านหมินที่พึ่งจะสร้างเสร็จใหม่ เสาที่พึ่งทาสีใหม่ กลิ่นนั้นสามารถทำให้คนเป็นลมได้ การไม่รู้ว่าพวกเขากินสีทาเสาหรือว่ากินข้าว พวกเราจะสบายใจมากกว่า”
จั่งซุนชงปรบมือ เขาก็คิดว่าการจัดการแบบนี้เป็นการดีที่สุดแล้ว
หันหน้าไปทางป่าสน มีคนโผล่ขึ้นมาจากกอหญ้าเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าทุกคน ตี๋เหรินเจี๋ย เสี่ยวอู่และซือซือกำลังวางชามลงบนโต๊ะเตี้ยๆ หลิวจิ้นเป่าที่เต็มไปด้วยเหงื่อหยิบหัวหมูสีทองที่ร้อนระอุออกมาจากเตาที่ทำมาจากดินโคลนสีเหลือง กลิ่นหอมหวนที่ว่ามาจากหัวหมูย่าง
เด็กทั้งสามพากันมาโค้งคำนับทำความเคารพ หลังจากที่รู้ว่าพวกเขาคือลูกศิษย์ทั้งสามคนของอวิ๋นเยี่ย เฉิงฉู่มั่วและอีกสองคนก็รู้สึกสนิทสนมโดยธรรมชาติ จั่งซุนชงหยิบปิ่นปักผมหยกสองอันออกจากแขนเสื้อให้เด็กผู้หญิงทั้งสอง เอาแหวนที่นิ้วโป่งให้กับตี๋เหรินเจี๋ย เฉิงฉู่มั่วช่างเรียบง่าย ดึงดาบสั้นจากข้างหลังออกมาให้ซือซือ ดาบสั้นที่เอวเอาให้เสี่ยวอู่ อีกอันที่อยู่หลังศอกเอาให้ตี๋เหรินเจี๋ย หลี่หวยเหรินบอกว่าพวกเขาสองคนไม่จริงใจ เอาอะไรก็ไม่รู้มาหลอกล่อเด็กๆ เขาเอาแท่งทองคำสามแท่งออกมาให้พวกเด็กๆ สามคนคนละแท่ง ให้พวกเขาเอาไปซื้อขนมกิน ซือซือยังพอได้ เด็กคนนี้ไม่ค่อยเห็นแก่เงิน แต่ไม่เหมือนกับเสี่ยวอู่ นางยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ และมักจะจ้องไปที่ทองของตี๋เหรินเจี๋ยอยู่ตลอดเวลา
อวิ๋นเยี่ยหยิบพลั่วออกมา ขุดใต้ต้นสนสองสามครั้งแล้วหยิบไหเหล้ามาวาง นี่คือเหล้าของเขาเอง สามปีก่อนไม่มีอะไรจะทำจึงลองฝังเหล้าไว้เหมือนอย่างที่ในตำนานเขาว่ากัน เดิมทีเขาลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ต่อมาเห็นว่าในสมุดบัญชีของตระกูลบอกว่าเขาเคยฝังเหล้าเอาไว้ถึงจำขึ้นมาได้ เอาออกมาดื่มตอนนี้ก็คงจะพอมีรสชาติอยู่บ้าง
เฉิงฉู่มั่วชอบดื่มเหล้าเป็นอย่างมาก เห็นอวิ๋นเยี่ยขุดเหล้าออกมาจากพื้นดิน เห็นว่าข้างบนเป็นดิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นของดีแน่นอน เขารีบคว้ามันมา ใช้แขนเสื้อเช็ดดินโคลนออกให้สะอาด สุดท้ายเอาชามปิดให้สนิทแล้วเขย่า เห็นว่าเหล้าหนึ่งไหเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว กลิ่นของเหล้าก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เฉิงฉู่มั่วหลงใหลเป็นอย่างมาก
“เอาจอกใหญ่มาสี่ใบ ไม่มีส่วนแบ่งของหลิวจิ้นเป่า” หลิวจิ้นเป่าที่กำลังกลืนน้ำลายรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสถานะ เขาจึงต้องยืนน้ำลายไหลอยู่ไกลๆ
เหล้าที่เดิมทีไม่มีสีกลายเป็นสีเหลืองข้น หลี่หวยเหรินตบที่หน้าอกของตัวเองด้วยความชอบอกชอบใจ ขณะที่กำลังจะเทเหล้าก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังออกมาจากป่าต้นสน “คนไร้ยางอายทั้งสามคน พวกเจ้าแอบหนีออกมาจากงานเลี้ยง ทำไมไม่เรียกข้า”
เฉิงฉู่มั่วบอกตี๋เหรินเจี๋ยด้วยความเสียดาย “เสี่ยวเจี๋ยไปเอาจอกมาอีกใบหนึ่ง มีแขกมาเพิ่ม ช่างน่าเสียดายเหล้าดี”
พึ่งจะเริ่มรินเหล้า หลี่เฉิงเฉียนก็เดินออกมาจากถนนเล็กๆ แม้แต่ชุดราชสำนักก็ยังไม่ได้เปลี่ยน ดูเหมือนว่าเขาคงจะหนีออกมาจากงานเลี้ยงฉลองของฮ่องเต้เช่นเดียวกับสามคนนี้
“เจ้ายังต้องอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาท พวกข้าจะกล้าเรียกเจ้าออกมาได้อย่างไร งานเลี้ยงฮ่องเต้พวกข้าสามคนก็เป็นแค่กุ้งตัวเล็กๆ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ว่าเจ้าเป็นรัชทายาท เป็นครึ่งหนึ่งของตัวเอกในงาน”
“เหลวไหล ท่านลุงเฉิงกำลังโม้อยู่กับท่านลุงอวี้ฉือ หลี่ไซว่คุยเรื่องสงครามกับเสด็จพ่อ หลี่จีไปหาเสด็จแม่ของข้า ขอให้นางเป็นแม่สื่อให้กับลูกสาวขี้เหร่ของเขา ท่านลุงที่เก้ากับท่านลุงที่สิบสามก็กำลังแข่งกันดื่มเหล้า หลิวหงจีนั่งดูการร่ายรำจนน้ำลายไหล มีเรื่องของข้าที่ไหนกัน เอ่อใช่ เสด็จพ่อของข้าให้ท่านอาของข้าแต่งงานกับเซวียว่านเหริน เขาคนนั้นเป็นคนซื่อบื้อ ท่านอาของข้าช่างน่าสงสารเสียจริง”
เขาเล่าเรื่องในพระราชวังอย่างไม่หยุดหย่อน ทันใดนั้นก็เห็นว่ามีเด็กสามคนถือของขวัญกำลังมองมาที่เขา เขาถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองรีบร้อนออกมา ไม่ได้เอาอะไรมาด้วยทั้งนั้น นึกขึ้นได้ เขาจึงควักตราประทับออกมาจากแขนเสื้อ ประทับบนเสื้อผ้าของเด็กทั้งสามคนแล้วบอกว่า “ให้โอกาสพวกเจ้าขอร้องข้าคนละหนึ่งเรื่อง”
พูดเสร็จก็นั่งลงบนพรม ไม่มีหน้ามองสายตาที่ผิดหวังของเด็กทั้งสามนั้น
อวิ๋นเยี่ยพูดกับเด็กทั้งสามอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ นี่คือโอกาสที่ดี องค์รัชทายาทไม่ได้ให้คำมั่นสัญญากับใครง่ายๆ เก็บเสื้อผ้าชุดนี้ไว้ให้ดี เมื่อมีความลำบากอะไรก็ไปหารัชทายาท”
หลี่เฉิงเฉียนมีหน้ามีตาขึ้นมาทันที เขาถึงได้ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด เพียงแค่เหล้าจอกเล็กๆ ก็ทำเอาเขารู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน เขาเกือบจะล้มลงไป สามคนนั้นก็เหมือนกัน
อวิ๋นเยี่ยเคี้ยวถั่วและมองดูคนโง่สี่คนนั้น เหล้าแรงหนึ่งไหเหลืออยู่แค่ครึ่งไห ยังจะดื่มเหล้าเข้าไปอีกหรือ เฉิงฉู่มั่วพึ่งจะนั่งได้มั่นคง เขาส่ายหน้าและพูดว่า “เหล้าดี ดื่มเข้าปากไปช่างอ่อนโยน แต่ทำไมมันถึงได้ลงไปก่อกบฏในท้อง”
อวิ๋นเยี่ยเทเหล้าเพิ่มลงในจอกของตัวเองและลิ้มรสช้าๆ รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว โชคดีที่ทั้งสี่คนนี้ไม่มีใครโง่ เรียนรู้การดื่มเหล้าประเภทนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นบรรยากาศก็ดูสง่างามขึ้นมาไม่น้อย
“เยี่ยจึ ตอนที่พวกข้าเข้ามาทำไมถึงไม่เห็นเจ้า ไม่ได้เห็นรูปลักษณ์อันสง่างามของข้าคือความสูญเสียของเจ้า” จั่งซุนชงฉีกเนื้อหมูพร้อมกับถามอวิ๋นเยี่ย
“หมู่บ้านของตระกูลข้ามีหกสิบเจ็ดคน คนที่กลับมามีเพียงห้าสิบสามคน อีกสิบสี่คนตายไปในสนามรบ แล้วยังมีคนพิการอีกสองคน ข้าจะมีอารมณ์มีความสุขได้เช่นไร ตอนที่จากไป ข้าเป็นคนไปส่งพวกเขาด้วยตัวเอง ข้านับแล้วสามครั้ง ไม่ผิดแน่นอน ทั้งหมดหกสิบเจ็ดคน ตอนที่กลับมาข้าก็นับแล้วสามครั้ง บวกคนที่ตาบอดไปข้างหนึ่งอีกหนึ่งคน แขนหักอีกหนึ่งคน จิตใจของอีกห้าสิบสามคนที่เหลือคงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก”
“คิดอะไรเหลวไหล ออกไปรบจะไม่ให้ตายได้เช่นไร ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล แค่เดินผ่านก็ยังตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสนามรบ ต้าถังอยากได้ถนนสำหรับการค้าขาย อยากได้ฝ้ายที่เจ้าพูดถึง อยากได้คลังสมบัติของคนอื่น อยากได้ที่ดิน ก็ย่อมต้องพึ่งพาชีวิตของเหล่าทหาร ของพวกนี้ไม่มีใครให้กันง่ายๆ ไม่มีคนตายก็เอามาไม่ได้หรอก”
เฉิงฉู่มั่วดื่มเหล้าทีหนึ่งและพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ จากนั้นเขาก็ปลดกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นหน้าอกที่เต็มไปด้วยรอยแผล
“นี่คือที่ระลึกที่ชาวเกาชังมอบให้ข้าตอนที่ข้าเข้าไปโจมตีเมือง หากไม่ใช่เพราะเกราะที่เจ้าทำให้ข้า ตอนนี้เจ้าคงได้ไว้อาลัยให้ข้าแล้ว หลี่เฉิงเฉียนดีหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้ามากนัก เหล่าทหารตายไปเป็นกอง เขาจึงสั่งสังหารหมู่ ก้นของไฮว่เหรินแทบจะแบ่งออกเป็นสี่ส่วน กว่าจะจับรัชทายาทของชนเผ่าเกาชังได้ เยี่ยจึ ตอนนี้เจ้าก็เป็นแม่ทัพแล้ว มีคนตายเจ้าไม่สบายใจยังพอรับได้ แต่อย่าแสดงสีหน้าท่าทางออกมา เราต้องกินข้าวชามนี้ ตอนที่เจ้าโจมตีหลิ่งหนานไม่มีคนตายเลยหรือ”
“หากข้าบอกเจ้าว่าคนที่ข้าพาไปด้วยกลับมาครบทุกคน นอกจากพิการไปสองคน คนที่เหลืออยู่ไม่มีใครตาย พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ คนที่ได้รับบาดเจ็บพวกนั้น ได้รับบาดเจ็บตอนที่สู้กับชาวต้าสือ สุดท้ายข้าเอาชาวต้าสือที่จับได้ทั้งหมดไปแขวนคอไว้บนเกาะ พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าชาวบ้านของหมู่บ้านข้ามีแต่คนชอบใช้ปาก แต่ไม่อนุญาตให้ลงไม้ลงมือ มีแค่ข้าที่ลงไม้ลงมือระบายอารมณ์ได้”
“เป็นไปไม่ได้ สู้รบจะต้องมีคนตาย ตั้งแต่สมัยโบราณก็ไม่มีใครหนีพ้น นอกจากเจ้าไม่ได้สู้รบแล้วก็ไม่ได้ยึดครองอาวุธ ส่งเหล่าทหารไปเปล่าประโยชน์” หลี่เฉิงเฉียนตะโกนออกมา จั่งซุนชงและหลี่หวยเหรินก็พากันพยักหน้า
“ข้าเอาข้าวกลับมามากกว่าหนึ่งล้านตัน บรรเทาความอดอยากในเหอเป่ย เอาสมบัติล้ำค่าเข้าสู่คลังประเทศกว่าสามล้านเหรียญ เติมเต็มช่องโหว่ให้กับคลังประเทศ แล้วยังมีเรืออีกสองสามลำ พวกเจ้าสู้ข้าได้หรือไม่”
“เจ้าพูดเหลวไหลมากมายเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่” ในที่สุดหลี่เฉิงเฉียนก็ถามตรงประเด็น
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร ก็แค่อยากจะต่อยพวกเจ้าสักที พวกเจ้าไสหัวไปกันหมด ทิ้งข้าไว้ที่ฉางอันคนเดียว ไอ้โต้วเยี่ยนซานจับตัวข้าไป ไอ้เฝิงอั้งเอาลูกธนูชี้หน้าข้ายังพอรับได้ คนทั้งโลกพากันเล่นงานข้า แม้แต่ไอ้จางเลี่ยงยังกล้าคิดอะไรกับภรรยาของข้า เฉิงฉู่มั่ว ท่านแม่ของเจ้าขอร้องให้ข้าไปช่วยเจ้าที่ทะเลทราย ฉงจึ ท่านพ่อของเจ้ามาร้องขอเอาเงินจากข้า ไฮว่เหริน ท่านพ่อของเจ้าบังคับให้ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือ ที่เกลียดที่สุดคือเจ้า หลี่เฉิงเฉียน เสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้ามักจะชอบทรมานข้า เฆี่ยนข้า หนึ่งพันครั้ง เฆี่ยนเสร็จก้นของข้าคงจะกลายเป็นก้นเหล็ก
ข้าฆ่าโต้วเยี่ยนซานได้ เฝิงอั้งข้าก็ทำให้เขากลัวได้ แต่คนที่เหลืออยู่ ข้าจะกล้าแตะต้องใคร แตะต้องคนเฒ่าคนแก่ไม่ได้ แล้วยังไม่อนุญาตให้ข้ามาระบายกับคนอายุน้อยอีกหรือ”
พูดเสร็จเขาก็พุ่งเข้าไป ต่อยอยู่ตั้งนานกว่าจะพอใจ เดิมทีมีเรื่องซวยๆ สี่คนห้าคนแบ่งเท่าๆ กันก็ไม่น่าอนาถเช่นนี้ ทว่าตอนนั้นกลับมีเขาอยู่ที่เหมืองหลวงเพียงคนเดียว เหล่าคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่เห็นเขาเป็นคนนอก เรียกใช้เขาราวกับเป็นลูกชายตัวเอง ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว พวกเขาทั้งสี่คนกลับมาแล้ว คนพวกนั้นคงจะไม่มาวุ่นวายกับเขาอีกใช่หรือไม่