บทที่ 451.1 รอดูอีกหน่อย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ธุระเรื่องร้านยาและโรงทานแจกโจ๊กล้วนถูกจัดการหมดแล้ว เดิมทีหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่นึกว่าจะต้องออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังชายแดนแคว้นสือหาวต่อเหมือนทุกครั้ง มีวัตถุหยินเพศชายสองตนที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพชายแดน ซึ่งความปรารถนาก่อนตายของพวกเขาเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แม้ตัวคนจะไม่อาจเป็นดั่งใบไม้ที่ร่วงกลับคืนสู่ราก ทว่าความปรารถนากลับอยู่ที่บ้านเกิดนั้น

แต่เฉินผิงอันกลับอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน จนกระทั่งยามสนธยาของวันนี้เขาถึงมาหยุดอยู่ตรงประตูเมือง มองไกลๆ ส่งเด็กหนุ่มร่างผอมดำคนหนึ่งไปจากเมือง แล้วจึงไปเยือนร้านขายเนื้อหมาในตรอกที่ประตูร้านปิดสนิทมารอบหนึ่ง เห็นว่าสองด้านบนกำแพงแปะภาพเทพทวารบาลเฉาหยวนสององค์ของต้าหลีที่ในมือขุนนางบุ๋นถือแผ่นฮู้ (แผ่นฮู้ว่าราชการ ลักษณะเป็นวัตถุแบนยาวทำจากหยก งาช้างหรือไม้ไผ่ขึ้นอยู่กับฐานะของขุนนางที่ถือ ซึ่งขุนนางมักจะถือไว้ยามเข้าเฝ้าในท้องพระโรง) ขุนนางบู๊ถือกระบอง เฉินผิงอันถึงได้กลับไปยังโรงเตี๊ยม

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ตรงประตูเมือง เฉินผิงอันได้เจอกับกวนอี้หรานผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีอีกครั้ง ฝ่ายหลังจงใจสลัดทหารบู๊ผู้ติดตามข้างกายทิ้ง แล้วเดินมายืนอยู่ตรงประตูข้างกายเฉินผิงอันเพียงลำพัง เขาถามเบาๆ ว่า “คิดจะปล่อยสายเบ็ดยาวหวังตกปลาตัวใหญ่ จงใจปล่อยเสือกลับภูไปชั่วคราว จะได้สะดวกให้ตามหาพื้นที่ฝึกตนของปีศาจน้อยตนนี้ หวังพบโชควาสนาที่เป็นวัตถุเซียนสักชิ้นสองชิ้น? หรือว่าปล่อยไปทั้งแบบนี้ ให้ปีศาจน้อยตนนี้จากไปไกล ถือว่าเป็นการสร้างบุญครั้งหนึ่ง?”

ภูตผีปีศาจบนภูเขาสามารถจำแลงร่างกลายเป็นคนได้ แสดงว่าต้องมีโชควาสนายิ่งใหญ่ติดตัว หากไม่พลัดหลงเข้าไปในถ้ำสถิตตระกูลเซียนที่ถูกปล่อยร้าง ก็แสดงว่าต้องกินสมุนไพรยาวิเศษประเภทหลิงจือที่รวบรวมปราณวิญญาณของฟ้าดินแห่งหนึ่งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแบบใด อย่างแรกสามารถสืบสาวเบาะแสไปจนพบ ส่วนอย่างหลังก็สามารถหล่อหลอมร่างของภูตผีได้โดยตรง นี่ล้วนเป็นทรัพย์สินก้อนไม่เล็กที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้รับได้

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นอย่างหลัง”

กวนอี้หรานเอ่ยอย่างเสียดาย “น่าเสียดายนัก หากเจ้าไม่ปรากฏตัว ข้าก็มีสหายสองคนที่บ่นว่าตัวเองยากจนข้นแค้นอยู่ทุกวัน จึงหมายหัวปีศาจน้อยในร้านขายเนื้อหมาตนนี้มานานแล้ว แต่ในเมื่อเจ้ายื่นมือเข้าแทรก ข้าจึงโน้มน้าวให้พวกเขาล้มเลิกความคิด เดิมทีก็เป็นแค่ของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่มเข้ามา และในยามปกติก็ยังมีกิจในกองทัพให้ทำ แน่นอนว่าหากเจ้าเลือกอย่างแรกก็ยังพอจะทำได้”

เฉินผิงอันถาม “ข้ายื่นเท้าเข้าแทรกเช่นนี้ จะไม่เป็นการลดทอนผลประโยชน์ของเพื่อนร่วมงานเจ้าให้น้อยลงหรือ? จะทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่?”

กวนอี้หรานยิ้มบางๆ “แม้ข้ากับสหายสองคนนั้นจะเป็นผู้ฝึกตน แต่อันที่จริงกลับถือเป็นคนในกองทัพของต้าหลีมากกว่า ดังนั้นแค่เจ้าเอ่ยประโยคนี้และมีน้ำใจนี้ก็เพียงพอแล้ว ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ยากนักที่จะเจอคนบ้านเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันมากมายก็ได้ แต่ความเกรงใจบางอย่าง หากมีย่อมดีที่สุด แต่หากไม่มีก็ไม่เป็นไร อย่างมากวันหน้าเมื่อพบเจอกันก็แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน ทุกอย่างอิงตามกฎหมายของต้าหลีและกฎเกณฑ์ในกองทัพเราก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ถูกต้อง”

กวนอี้หรานหัวเราะเสียงดังกังวาน “ข้าดีใจมากที่ได้มาพบเจอคนบ้านเดียวกันที่ได้ดิบได้ดีอย่างเจ้าในสถานที่ที่ห่างจากบ้านเกิดมาถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้เช่นนี้”

เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวตน ในอนาคตขอแค่มีโอกาส ข้าจะต้องมาดื่มเหล้ากับพี่กวนแน่นอน”

กวนอี้หรานเลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีชูแขนกำหมัดทุบลงบนเกราะเหล็กตรงหน้าอกตัวเองเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะจดจำไว้จริงๆ แล้ว! บอกไว้ก่อนว่า อยู่บนสนามรบ พี่น้องช่วยเหลือข้า ต่อให้ติดค้างชีวิตข้าก็ไม่เป็นไร มีเพียงติดค้างเหล้าข้ากวนอี้หรานเท่านั้น ต่อให้เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ยังทำไม่ได้!”

การพบเจอกันโดยบังเอิญในต่างถิ่นต่างแดนของคนบ้านเดียวกันครั้งนี้ มีแต่ความปิติยินดีทั้งตอนพบปะและจากลา

หลังจากที่คนหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวผู้นั้นออกห่างจากประตูเมืองไปไกลก็มีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพสองคนที่สวมเสื้อเกราะเบาของคลังยุทโธปกรณ์ต้าหลีซึ่งทำขึ้นพิเศษพากันเดินมาช้าๆ คนหนึ่งคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำ อีกคนหนึ่งคือสตรีเรือนร่างบอบบาง

สตรีมองประเมินกวนอี้หรานที่คล้ายจะยังอารมณ์ดีไม่คลาย แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “อี้หราน เพิ่งจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปี เจ้าก็ต้องเสียเงินเทพเซียนตั้งมากมายไปเปล่าๆ แบบนี้ ไม่ใช่ลางที่ดีเลยนะ แต่เจ้ายังอารมณ์ดีขนาดนี้เชียวหรือ?”

กวนอี้หรานหัวเราะฮ่าๆ “ข้าต้องอารมณ์ดีสิ ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อความยินดีของข้าได้”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเอ่ย “ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกไปได้ง่ายๆ อีกทั้งยังไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ต่อปีศาจน้อยตนนั้น กลับกันยังจงใจคุ้มกันเขามาส่งถึงหน้าประตูเมือง บวกกับการตั้งโรงทานแจกโจ๊กและร้านยาในเมืองก่อนหน้านี้ ตามรายงานของสายลับ เขาไม่ได้เพิ่งมาทำที่เมืองนี้เป็นแห่งแรก แต่ทำทุกสถานที่ที่ผ่านมา หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะมีผู้ฝึกตนบนภูเขาที่จิตใจดีงามดุจพระโพธิสัตว์เช่นนี้ แต่หากเปลี่ยนมาเป็นคนผู้นี้ ดูจากคำพูดและการกระทำของเขาแล้วกลับพอจะเข้าใจได้ ข้ารู้สึกว่าอี้หรานทำไม่ผิด เดิมทีก็เป็นคนบ้านเดียวกัน คู่ควรให้เป็นสหายร่วมดื่มเหล้ากับพวกเราแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ขาดทุนหรอก”

หญิงสาวที่เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่กลับห้อยกระบี่เล่มใหญ่บ่นขึ้นว่า “บุรุษอย่างพวกเจ้านี่นะ ล้วนมีแต่พวกเฮงซวยแบบนี้ แค่เจอคนที่ถูกใจเข้าหน่อยก็ชอบตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน คุ้มแล้วหรือ?”

กวนอี้หรานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นางชี เจ้าพูดถึงบุรุษอย่างพวกเราแบบนี้ ข้าไม่ชอบใจแล้วนะ ข้ามีเงินเยอะกว่าอวี๋ซานฝางมากนัก ไหนเลยจะต้องตบหน้าตัวเองให้ดูอ้วน ปีนั้นใครกันที่บอกว่าคุณชายเสเพลลูกหลานคนรวยอย่างข้าแค่ผายลมก็ยังมีกลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดงแล้วน่ะ?”

“ปากสุนัขไม่งอกงาช้างจริงๆ!” สตรีที่เรือนร่างบอบบางดุจกิ่งหลิวในฤดูใบไม้ผลิกำหมัดทุบเข้าที่ไหล่ของกวนอี้หราน ทำเอากวนอี้หรานเซถอยไปหลายก้าว ส่วนนางก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง

กวนอี้หรานแสยะปากนวดไหล่ตัวเอง เขาเจ็บมากจริงๆ ทว่าก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ส่วนบุรุษร่างกำยำที่มีชื่อว่าอวี๋ซานฝางกลับทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

สตรีคือผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่มาจากศาลลมหิมะ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนภูเขาเจินอู่ที่รับหน้าที่เป็นขุนนางบู๊ระดับกลางและสูงในกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีแล้ว สตรีแซ่ชีผู้นี้กลับไม่มีโอกาสนั้น นางจึงได้แต่เลือกเส้นทางอีกทางหนึ่งที่มีอนาคตยาวไกล ทว่าสำหรับเรื่องนี้กองทัพชายแดนต้าหลีกลับไม่รู้สึกประหลาดใจ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของศาลลมหิมะส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ หลังจากลงเขามาแล้วก็ชอบเป็นจอมยุทธพเนจรที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง บางครั้งก็เป็นอย่างสตรีผู้นี้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพบู๊ที่สำคัญบางคน

อวี๋ซานฝางโอบไหล่กวนอี้หราน พูดเสียงเบาว่า “อี้หราน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ จะอย่างไรข้าก็น่าจะรู้จักเจ้ามาเจ็ดแปดปีแล้วกระมัง แต่กระนั้นข้าก็ยังนึกว่าเจ้าเป็นลูกหลานตระกูลแม่ทัพที่ระดับขั้นไม่สูงไม่ต่ำในเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่ถูกตระกูลทิ้งขว้างไว้ในสถานที่เละเทะแบบนั้น มาอยู่ทีก็นานเกือบสามปี แล้วก็ยังเป็นได้แค่ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพระดับขั้นต่ำที่สุดในกองทัพของพวกเรา ต้องรู้ว่าสำเนียงคนเมืองหลวงนี้ของเจ้าเป็นที่รังเกียจของคนมากมาย กลับกลายเป็นชีฉีเสียอีกที่เพิ่งรู้จักเจ้าได้แค่สองปี และเพิ่งได้เดินทางลงใต้มาด้วยกันครั้งนี้เท่านั้น แต่นางกลับเป็นคนเดียวที่มองสถานะชาติตระกูลของเจ้าออก ยืนกรานบอกว่าเจ้าเป็นลูกหลานคนรวย เพราะอะไร? พี่น้องอย่างพวกเราที่เคยนั่งอึก้นเย็นในหน้าหนาวมาด้วยกันกลุ่มนี้ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย หรือว่าพวกเจ้าสองคนได้…”

อวี๋ซานฝางที่ถูกกวนอี้หรานสลัดจนหลุดเอานิ้วหัวแม่มือสองนิ้วดันกัน แล้วหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ฝ่ายหลัง

กวนอี้หรานกล่าวอย่างระอาใจ “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าชีฉีผู้นี้ชื่นชมเลื่อมใสเซียนกระบี่เว่ยจิ้นที่เป็นอาจารย์อาน้อยคนละสายในศาลลมหิมะของนางมานานแล้ว”

กวนอี้หรานถอนหายใจ “และข้าเองก็มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วด้วย บอกกับเจ้าตามตรง นางเป็นทายาทสายตรงของตระกูลชนชั้นสูงแห่งหนึ่งในเมืองหลวง เพียงแต่ว่าข้าไม่เคยพบหน้านางมาก่อน คิดแล้วก็ตลก ในอนาคตที่ต้องแต่งงาน ต้องรอให้ถึงวันที่ได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเสียก่อนถึงจะรู้ว่าเมียตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไร”

อวี๋ซานฝางกล่าวอย่างใคร่รู้ “เป็นสตรีโชคร้ายบ้านใดกัน ถึงได้มาเจอกับบุรุษในกองทัพหยาบกระด้างที่แท้จริงอย่างเจ้าได้?”

“ใครเขาพูดจาว่าร้ายพี่น้องของตัวเองอย่างเจ้าบ้างเล่า” กวนอี้หรานใช้ฝ่ามือของมือข้างหนึ่งยันด้ามดาบที่เป็นดาบรบของกองทัพต้าหลี เดินเคียงไหล่กับอวี๋ซานฝางไปบนถนนในแคว้นต่างถิ่นด้วยกัน เมื่อกวาดตามองรอบด้าน สองข้างทางของถนนล้วนติดภาพเทพทวารบาลเฉาหยวนหลากสีสององค์ของต้าหลีไว้แทบทั้งหมด แซ่สกุลที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นต้าหลีก็มีอยู่แค่ไม่กี่สกุล เฉาหยวนสองแซ่แน่นอนว่าเป็นแซ่ใหญ่ในแซ่ใหญ่ของต้าหลีอีกที เพียงแต่ว่าอันที่จริงแล้วแซ่ของนายพลเอกที่สามารถงัดข้อกับเฉาหยวนได้นั้นก็ยังมีอีกสองแซ่ แซ่หนึ่งคืออวี๋ ทว่าพวกเขาอยู่บนภูเขา แทบจะไม่สนใจเรื่องราวทางโลก อีกแซ่หนึ่งอยู่ในราชสำนัก แต่ก็ไม่เคยยื่นมือเข้าแทรกเรื่องทางกองทัพ ภูมิลำเนาอยู่ในมณฑลอี้โจว ภายหลังย้ายไปอยู่เมืองหลวงเป็นเวลาสองร้อยปีแล้ว ทุกครั้งที่ทายาทสายตรงของตระกูลกลับบ้านเกิดไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แม้แต่กรมพิธีการต้าหลีก็ยังต้องให้ความสำคัญ แม้กระทั่งราชครูต้าหลีก็ยังเคยพูดกับฮ่องเต้ยิ้มๆ ว่า เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ช่วงเวลาอันน่าสังเวชที่ขันทีในวังเข้าก้าวก่ายเรื่องการเมือง พระญาติฝ่ายภรรยากุมอำนาจ แคว้นหัวเมืองก่อกบฏ ผู้ฝึกตนผลัดกันลงสนามรบอย่างกำเริบเสิบสาน เป็นเหตุให้ตลอดทั้งต้าหลีตกอยู่ในสภาวะวุ่นวายไร้ระเบียบ หากไม่เป็นเพราะตระกูลนี้ช่วยกอบกู้สถานการณ์ มุมานะชดเชยแก้ไขข้อบกพร่องให้ราชวงศ์ต้าหลี ป่านนี้ต้าหลีคงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จนไม่เหลือสภาพดีไปนานแล้ว

อวี๋ซานฝางสอดสิบนิ้วประสานกัน ยืดแขนออกไปข้างหน้า ยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนื้อ ข้อต่อกระดูกทั่วร่างลั่นดังกร๊อบๆ ‘ผู้ฝึกตนอิสระ’ ครึ่งตัวที่ด้วยโชควาสนาส่วนตัวหลายประการจึงค่อยๆ ได้รับการเลื่อนขั้นจากทหารลาดตระเวนของกองทัพขึ้นมาเป็นเลขาธิการฝ่ายบู๊ผู้นี้พูดชวนคุยว่า “อันที่จริงบางครั้งเวลาที่พวกเราพี่น้องดื่มเหล้าพูดคุยกันก็มักจะรู้สึกว่าเจ้าไม่ค่อยเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่เหมือนตรงไหนกันแน่ กลับบอกไม่ถูก ช่วยไม่ได้ เมื่อเทียบกับลูกหลานแม่ทัพที่ถูกยัดเข้ามาในกองทัพกลุ่มนั้นแล้ว คนที่ถูกสายลมเม็ดทรายของชายแดนล้างตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างพวกเรา แต่ละคนล้วนตาไม่ดี อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับลูกหลานขุนนางพวกนั้นได้ติด”

กวนอี้หรานยิ้มกล่าว “คนที่ข้านับเป็นสหายมีสามประเภท คนที่กล้าพูดว่าตายก็คือตายบนสนามรบ บัณฑิตที่มีความกล้าหาญอย่างแท้จริงในวงการขุนนาง สุดท้ายก็คือคนดี…บนภูเขา”

กวนอี้หรานรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “เสียดายก็แต่ดูเหมือนคนประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สามจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยาวนานนัก ในสนามรบไม่ต้องพูดมาก ผ่านความเป็นความตายมานานหลายปีขนาดนี้ ต่อให้พี่น้องที่ดีที่สุดตายไป พวกเราก็ไม่ได้ร้องไห้จะเป็นจะตายเหมือนพวกสตรีกันอีกแล้ว คนประเภทที่สาม เมื่อก่อนข้ารู้จักคนหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่าอวี๋อิน เป็นคนวัยเดียวกันที่ข้านับถือมากเป็นพิเศษ เขาดีอย่างไรน่ะหรือ ก็ดีจนทำให้เจ้ารู้สึกว่า…ต่อให้วิถีทางโลกจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ขอแค่มีเขาอยู่ตรงหน้า คอยพูดจาคอยลงมือทำเรื่องราวต่างๆ ก็เพียงพอแล้ว แค่เจ้ามองแผ่นหลังที่ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกลก็รู้สึกเบิกบานใจแล้ว แต่ผู้ฝึกตนที่ดีมากขนาดนี้กลับต้องตายไปอย่างไม่คุ้มค่าถึงเพียงนั้น ตระกูลที่ฝากความหวังไว้ให้เขา ราชสำนักของพวกเรา เพื่อสถานการณ์ใหญ่แล้วก็เลือกจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีเรื่องเลย ข้ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูก แต่บุคคลยิ่งใหญ่เหล่านั้นจะฟังคำพูดที่ออกมาจากปากของบุคคลตัวเล็กๆ อย่างข้ากวนอี้หรานงั้นหรือ? ไม่มีทาง ต่อให้…ข้าจะแซ่กวนก็ตาม”

อวี๋ซานฝางพูดขัดคอกลั้วเสียงหัวเราะ “แซ่กวนแล้วทำไม ร้ายกาจนักหรือ? ไม่ใช่แซ่กวนเมืองอวิ๋นไจ้ที่อยู่ในลำดับของนายพลเอกผู้ค้ำยันแคว้นสักหน่อย บนหนังสือสำมะโนครัวที่อยู่ในกองทัพของเจ้าเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าเจ้ามาจากเมืองหลวง นิสัยของแม่ทัพพวกเราเป็นอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? ป่านนี้เขาก็คงพลิกค้นประวัติเจ้าจนปรุแล้ว เขาบอกกับพวกเราว่าเจ้ามาจากตระกูลแม่ทัพระดับสามของเมืองหลวง อย่าว่าแต่จะเป็นเพื่อนบ้านในตรอกอี้ฉือที่บ้านนายพลเอกอยู่ติดกับนายพลเอก บ้านเจ้ากรมกับบ้านเจ้ากรมทะเลาะกันผ่านกำแพงบ้านเลย แม้แต่ถนนฉือเอ๋อร์ที่มีบ้านแม่ทัพตั้งเรียงราย ตระกูลของเจ้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติจะไปสร้างเรือนเล็กๆ อยู่ ทำไม หรือเจ้ามีสายสัมพันธ์เป็นญาติพี่น้องกับสกุลกวนเมืองอวิ๋นไจ้? เพราะปีนั้นแม่ทัพหลิวที่เป็นทั้งสหายร่วมรบเก่าและเป็นทั้งศัตรูคู่อาฆาตค้นพบว่าทหารลาดตระเวนหนุ่มใต้บังคับบัญชาของตนคนหนึ่งเป็นลูกหลานแม่ทัพระดับสองในเมืองหลวงที่ไม่เปิดเผยตัว บรรพบุรุษเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ระดับสองมาก่อน อีกทั้งยังได้รับยศศักดิ์ที่ทำให้คนน้ำลายสออีกด้วย เพราะฉะนั้นแม่ทัพของพวกเราจึงรู้สึกว่าถูกแม่ทัพหลิวข่ม ตอนนี้จึงเอาแต่ฝันกลางวัน อยากให้ในบรรดาพวกลูกกระต่ายใต้บังคับบัญชาของตนมีลูกของแม่ทัพระดับหนึ่งแฝงตัวอยู่กับเขาด้วย ตลกจะตายอยู่แล้ว”

กวนอี้หรานลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “หากวันใดข้าตายไป ไม่แน่ว่าท่านแม่ทัพของพวกเราอาจต้องทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะแล้วก็ทั้งด่าข้าไปด้วย”

อวี๋ซานฝางกล่าวอย่างตกตะลึง “อะไรกัน เจ้าเป็นลูกหลานสกุลกวนที่บรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่ที่มณฑลอี้โจวจริงๆ หรือ?”

กวนอี้หรานพยักหน้ารับ “ในสกุลกวนเมืองอวิ้นไจ้มณฑลอี้โจว ข้าคือหลานของหลานทวดสายตรง ช่วยไม่ได้ แม้ว่าบรรพบุรุษของข้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่กระดูกกลับแข็งเป็นพิเศษ อายุมากถึงร้อยปี อาหารมื้อหนึ่งยังสามารถกินเนื้อได้สองจิน ดื่มเหล้าได้หนึ่งจิน ปีนั้นใต้เท้าราชครูเห็นเขายังรู้สึกประหลาดใจเลย”

อวี๋ซานฝางเหลือกตามองบน “จะให้ข้าเชื่อเจ้ากับผีน่ะสิ! หากเจ้าเคยเจอราชครูชุยมาก่อน ข้าก็เคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหมือนกัน!”

กวนอี้หรานหัวเราะหึหึ “ข้าบอกแล้ว เจ้าไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว”

อวี๋ซานฝางกล่าวอย่างกังขา “ใช่จริงๆ หรือ?”

กวนอี้หรานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ ยังจำเมื่อช่วงปลายปีของปีก่อนได้ไหม มีครั้งหนึ่งที่ข้าลากลับเมืองหลวง ชีฉีบอกว่านางเคยติดตามผู้ถ่ายทอดมรรคาไปเมืองหลวงช่วงเดือนหนึ่ง บางทีตอนนั้นที่ข้าเดินทางไปเยี่ยมญาติในตรอกอวี่ฮวา หรือไม่ก็ถนนฉือเฮ่อร์ ชีฉีอาจจะเคยเห็นข้าโดยบังเอิญ เพียงแต่ว่ากฎเกณฑ์ของสองสถานที่นั้นเข้มงวด ชีฉีจึงไม่กล้าสะกดรอยตามข้าไป แน่นอนว่าตอนนั้นชีฉียังไม่รู้จักข้า จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบหาตัวตนของข้า”

อวี๋ซานฝางแอบยื่นมือออกมา ทำท่าลับๆ ล่อๆ คล้ายอยากจะลูบศีรษะของกวนอี้หราน

กวนอี้หรานเบี่ยงหัวหลบ พูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “ทำอะไร? คิดถึงสตรีจนเป็นบ้า เลยเห็นข้าเป็นชีฉีไปแล้วหรือไง?”

อวี๋ซานฝางถูมือ “ชีวิตนี้ยังไม่เคยลูบคลำบุคคลยิ่งใหญ่มาก่อน ก็เลยอยากจะลองสัมผัสดูบ้าง จุ๊ๆๆ สกุลกวนเสาค้ำยันแคว้น! วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะต้องมอมเหล้าเจ้าให้เมา ถึงเวลานั้นจะลูบจนพอใจเลยล่ะ แล้วจะเรียกเหล่าพี่น้องให้มาลูบคลำกันจนครบทุกคนด้วย”

กวนอี้หรานหัวเราะตาหยี “เรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ หากเจ้าทำได้ลงคอ วันหน้าข้าจะไปสู่ขอน้องสาวที่รอแต่งงานอยู่ที่บ้านซึ่งเจ้าบอกว่าเป็นเทพธิดาผู้นั้นมา แล้วถึงเวลานั้นจะเรียกเจ้าว่าพี่เขยทุกวันเลยเชียว”

อวี๋ซานฝางเตะป้าบเข้าที่ก้นของกวนอี้หราน

กวนอี้หรานไม่ได้หลบเลี่ยง ยอมให้อีกฝ่ายเตะแต่โดยดี

คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปอีกครั้ง

—–