บทที่ 451.2 รอดูอีกหน่อย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จู่ๆ อวี๋ซานฝางก็ทอดถอนใจ “เรื่องนี้ ตอนที่เหล่าพี่น้องพากันจากไป เจ้าควรจะพูดสักหน่อย ต่อให้แค่จะแอบเล่าให้พวกเขาฟังก็ยังดี”

กวนอี้หรานเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ข้าพูดไม่ออก”

อวี๋ซานฝางพยักหน้ารับเงียบๆ “ก็จริงนะ”

กวนอี้หรานพลันคลี่ยิ้ม “วันใดข้าตายอยู่บนสนามรบ ความจริงจะเปิดเผย ถึงเวลานั้นท่านแม่ทัพของพวกเราก็ดี เจ้าก็ช่าง จะดีจะชั่วนี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถตบอกพูดกับเหล่าทหารม้าคนอื่นได้”

อวี๋ซานฝางส่ายหน้า “เจ้าห้ามตาย”

กวนอี้หรานก็ส่ายหน้าเช่นเดียวกัน เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “เพียงแค่เพราะข้าเป็นลูกหลานสกุลกวนมณฑลอี้โจว มีชาติกำเนิดเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นข้าก็เลยตายไม่ได้งั้นหรือ? ต้าหลีไม่มีเหตุผลเช่นนี้”

อวี๋ซานฝางยิ้มกล่าว “เจ้าคิดไปไกลแล้ว ข้าแค่รู้สึกว่า ปีนั้นเจ้ามองคนวัยเดียวกันที่ชื่ออวี๋อินผู้นั้นอย่างไร ตอนนี้ข้าก็มองเจ้าแบบนั้น วันหน้าเจ้าได้เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักต้าหลีของพวกเรา ต่อให้เวลานั้นเจ้าไปเยือนเมืองหลวงด้วยรูปลักษณ์ของคนแต่มีสันดานของหมา ไม่สวมเสื้อเกราะอีกต่อไป วันๆ สวมใส่ชุดขุนนาง ส่วนข้ายังใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพชายแดน ไม่แน่ว่าชีวิตนี้พวกเราสองคนอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก แต่ข้าก็ยังรู้สึก…วางใจ อืม ก็คือค่อนข้างจะวางใจ”

กวนอี้หรานพยักหน้ารับ

อวี๋ซานฝางถามอย่างใคร่รู้ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ลูกหลานแม่ทัพน้อยใหญ่อย่างพวกเจ้า ทำไมถึงดูจะชอบปิดบังชื่อแซ่แล้วมาเป็นทหารลาดตระเวนในกองทัพชายแดนที่ไม่สะดุดตากันนักนะ?”

กวนอี้หรานยิ้มกล่าว “ในตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ ลูกหลานแม่ทัพทุกคนที่พอจะรักหน้าตาตัวเองล้วนหวังว่าชีวิตนี้ตนจะเคยเป็นทหารลาดตระเวนของกองทัพชายแดนตัวจริงสักครั้ง ไม่ได้อาศัยคุณความชอบของบรรพบุรุษ แต่อาศัยความสามารถของตัวเองบั่นหัวของศัตรูมาแขวนไว้ข้างอานม้า วันหน้าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เมื่อกลับไปที่ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์แล้ว ต่อให้เป็นคนหนุ่มสาวที่รุ่นบิดามีชีวิตได้ย่ำแย่ที่สุด แต่เมื่อเคยเป็นทหารลาดตระเวนในกองทัพมาก่อน ยามที่เจอกับพวกลูกเต่าหลานตะพาบของพวกเจ้ากรมทั้งหลายในตรอกอี้ฉือ หากเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ขอแค่ไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลจนเกินไปก็สามารถอัดอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ หลังจบเรื่องก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเดือดร้อนไปถึงเหล่าบรรพบุรุษและตระกูล จะไม่มีทางเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาแน่นอน นับตั้งแต่ท่านปู่ข้ามาจนถึงรุ่นของข้า ล้วนเป็นเช่นนี้”

อวี๋ซานฝางจุ๊ปากชื่นชม “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

กวนอี้หรานกระทืบเท้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ดังนั้นกีบเท้าม้าเหล็กต้าหลีของพวกเราจึงมาเหยียบย่ำที่นี่ได้ยังไงล่ะ”

อวี๋ซานฝางถามเสียงเบา “อี้หราน เจ้าว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า ในอนาคตวันใดวันหนึ่ง เจ้าจะกลายเป็นลูกหลานคนแรกของสกุลกวนเมืองอวิ๋นไจ้ที่ได้รับยศแม่ทัพบู๊?”

“ขอให้สมพรปากเจ้า ขอให้สมพรปากเจ้า”

กวนอี้หรานรีบโค้งคำนับขอบคุณ พอยืดตัวขึ้นตรงแล้วก็เอ่ยสัพยอกว่า “ได้รับบรรดาศักดิ์โดยใช้สถานะของทูตผู้ตรวจการไม่ได้หรือ?”

อวี๋ซานฝางตบไหล่กวนอี้หราน “ในเมื่อเป็นลูกหลานสกุลกวนแล้วก็ต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาวางโตให้น้อยหน่อย ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่สำเนียงคนเมืองหลวงก็ถูกคนรังเกียจขนาดนี้แล้ว วันหน้าจะยังใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าต้องถูกพวกเราพี่น้องลูบคลำเป็นสตรีทุกวันเลยหรือ?”

กวนอี้หรานลูบคลำปลายคาง “มีเหตุผล มีเหตุผลมากๆ”

……

บนยอดเขาสุ้ยซาน

องค์เทพเกราะทองกล่าวอย่างระอาใจ “หากยังเสียเวลาต่อไป ข้าก็อยากจะรู้นักว่าวันหน้าเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ผู้อำนวยการใหญ่ที่มีกิจธุระรัดตัวผู้นั้นถูกเจ้าถ่วงเวลามานานแค่ไหนแล้ว? ต่อให้ในอดีตเขาจะเลื่อมใสในหลักการเหตุผลอันบิดเบี้ยวของเจ้าสักแค่ไหน ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเจ้าก็ต้องถูกบั่นทอนไปจนสิ้นอยู่ดี”

ซิ่วไฉเฒ่านั่งขัดสมาธิ ใช้มือสองข้างถูใบหู “ฝนจะตก สตรีจะแต่งงาน ก็แล้วแต่เขาเถอะ”

องค์เทพเกราะทองเอ่ยเนิบช้า “ตามข่าวที่ได้มา ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ภูเขามังกรพยัคฆ์เหมือนจะไม่ปกติสักเท่าไหร่ ฮว่อหลงเจินเหรินที่มาจากอุตรกุรุทวีปผู้นั้น หลังจากคนผู้นั้นปล่อยกระบี่ออกไปก็ดูเหมือนว่าจะช่วยให้เสียเรื่องซะแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรื่องร้ายใหญ่เทียมฟ้าในสายตาของคนอื่น จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้ต้องการพอดี?”

เดิมทีองค์เทพเกราะทองก็พูดถึงไปอย่างนั้นเอง อย่าว่าแต่เทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นเทียนซือใหญ่ของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์เอง ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร องค์เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานอย่างเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี

แต่ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาสามท่านที่มาจากสามสายของลัทธิขงจื๊อต่างก็ไปชนตอกับป๋ายเจ๋อ บัณฑิตผู้ผิดหวัง และยังมามีทางฝั่งของซิ่วไฉเฒ่านี้อีก หากไม่ต้องกลับไปมือเปล่า ก็ต้องไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบหน้ากัน เรื่องนี้ต่อให้เป็นองค์เทพหลักของภูเขาสุ้ยซานก็ยังอดรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นกังวลไม่ได้

เพราะเรื่องนี้ใหญ่เกินไป เกี่ยวพันกับสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าซึ่งเป็นรากฐานที่สุด

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ลูกศิษย์ของข้า เมื่อเทียบกับสายบุ๋นใหญ่สายอื่นแล้วก็ถือว่ามีน้อยมากๆ ช่วยไม่ได้ ข้าค่อนข้างช่างเลือก ใครก็เทียบกับ…”

องค์เทพเกราะทองหลุดหัวเราะพรืด “คำพูดประจบยกยอประเภทนี้ พูดให้ข้าฟังคนเดียว มันสนุกนักหรือไง?”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “ถึงอย่างไรก็สนุกกว่าพูดให้ตัวข้าเองฟังล่ะน่า”

องค์เทพเกราะทองปิดปากไม่เอ่ยอะไรอีก

ซิ่วไฉเฒ่าเห็นว่าเจ้าหมอนี่ไม่คิดจะโต้เถียงกับตนก็ให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ได้แต่พูดต่อไปว่า “เหล่าต้า (ต้าแปลว่าใหญ่ ในที่นี้หมายถึงศิษย์ใหญ่ ศิษย์คนแรก ลำดับแรก) อย่างชุยฉานมีความสามารถมากที่สุด ชอบดันทุรังทำในสิ่งที่คิดว่าถูก เดิมทีนี่ก็เป็นท่าทีที่ดีที่สุดของคนที่ต้องสร้างความรู้ แต่ชุยฉานฉลาดเกินไป เขามองโลกใบนี้ในแง่ลบ แล้วก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น”

“พูดถึงเหล่าซาน (ซานคือลำดับที่สาม) กันก่อน ฉีจิ้งชุนมีความรู้ดีที่สุด แล้วก็ไม่ได้ธรรมดาสามัญเพียงแค่ว่าความรู้ของเขาสูงที่สุดด้วย ต่อให้เป็นข้าที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ยังต้องเอ่ยชมเขาด้วยประโยคว่า ‘ครอบจักรวาล เป็นภาพอันงดงามดูลานตาไปหมด’ หากไม่เป็นเพราะมาเจอกับอาจารย์อย่างข้า แต่ไปอยู่สายของหลี่เซิ่งหรือไม่ก็หย่าเซิ่ง ไม่แน่ว่าความสำเร็จของเขาจะสูงยิ่งกว่านี้ และฉีจิ้งชุนก็มองโลกใบนี้ในแง่บวก”

“กลับมาพูดถึงเหล่าเอ้อร์ (เอ้อร์คือลำดับที่สอง) นิสัยของจั่วโย่วพยศดื้อดึงที่สุด แต่อันที่จริงเป็นคนดีมาก ดีมากเป็นพิเศษ ตอนที่ยังใช้ชีวิตอย่างยากจนอยู่ในตรอกเก่าโทรม ข้าก็ให้เขาเป็นคนดูแลเงิน เมื่อเทียบกับอาจารย์ที่เก็บเงินไม่อยู่อย่างข้าแล้ว ให้เขาเก็บเงินก็เป็นประโยชน์กว่ามาก ชุยฉานบอกว่าจะซื้อตำราหมากล้อม ฉีจิ้งชุนบอกว่าจะซื้อหนังสือ อาเหลียงบอกว่าจะดื่มเหล้า ข้าจะไม่ให้เงินได้หรือ? คนที่ยากจนเหมือนไม้ไผ่เหลาเล็กอย่างข้าต้องตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วนแน่นอน ต้องให้จั่วโย่วดูแลเงิน ข้าถึงจะวางใจ คุณสมบัติ ความสามารถ พรสวรรค์และสันดานของจั่วโย่วล้วนไม่ถือว่าดีที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของข้า แต่กลับเป็นคนที่มีสมดุลมากที่สุด อีกทั้งเกิดมาก็มีตบะหนักแน่น ดังนั้นต่อให้เขาจะเรียนกระบี่ช้าไป แต่เขาก็เรียนได้ไวมาก เรียนได้ไวมากจริงๆ ไวจนปีนั้นข้าถึงขั้นรู้สึกใจคอไม่ดี กลัวว่าเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนแรกในช่วงเวลาหลายพันปีของใต้หล้าไพศาล ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? อย่าเห็นว่าเจ้าเด็กนี่พาตัวออกห่างจากโลกมนุษย์ แท้จริงแล้วจั่วโย่วต่างหากที่เป็นคนกลัวความเงียบเหงามากที่สุด แม้ว่าร้อยกว่าปีมานี้เขาจะเตร็ดเตร่อยู่บนมหาสมุทร อยู่ห่างจากโลกมนุษย์มาโดยตลอด แต่ความคิดที่แท้จริงของจั่วโย่วล่ะ? ยังคงอยู่ที่ตัวของอาจารย์อย่างข้า อยู่ที่ตัวของศิษย์น้องของเขา…ลูกศิษย์ที่เป็นเช่นนี้ มีอาจารย์คนไหนบ้างที่จะไม่ชอบ?”

“ยังจำได้ว่าปีนั้นมีผู้รอบรู้คนหนึ่งด่าข้าแบบที่…ค่อนข้างจะขาดคุณธรรมไปสักหน่อย แต่ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขาได้อย่างไร ข้าก็แค่อริยะสำนักศึกษาตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น แม้แต่คุณสมบัติจะสร้างรูปปั้นตั้งบูชาก็ยังไม่มี หากข้ายังวิ่งไปทะเลาะกับเด็กรุ่นหลังก็คงลดสถานะตัวเองเกินไป จั่วโย่วก็เลยแอบไปซ้อมเจ้าคนผู้นั้นจนเขาร้องไห้หาพ่อหาแม่ จั่วโย่วก็เป็นคนซื่อจริงๆ เขาถึงขนาดกลับมายอมรับผิดต่อหน้าข้าอย่างโง่งม ยอมรับผิด ยอมรับผิด ยอมรับผิดกะมารดาเจ้าสิ ทำไมไม่รู้จักปิดหน้าปิดตาซ้อมคนอื่น? หลังจบเรื่องเผ่นหนีมา ไม่ยอมรับซะอย่าง ใครจะทำไม? แน่จริงก็มาตีข้าสิ เจ้าเอาชนะจั่วโย่วของข้าได้หรือ? ต่อให้ฝีมือเก่งกาจกว่า เจ้าจั่วโย่วไม่ยอมรับซะอย่าง รองเจ้าลัทธิสายนั้นจะตีเจ้าให้ตายได้หรือไง? เขาตีเจ้าให้ตายได้ แล้วข้าจะตีเขาให้ตายไม่ได้หรือ? เฮ้อ ดังนั้นถึงได้บอกว่าจั่วโย่วขาดไหวพริบอย่างไรล่ะ อาจารย์ที่ยากลำบากอย่างข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก ถึงอย่างไรพวกเสี่ยวฉีก็มองดูอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลงโทษน่ะสิ ต้องพาจั่วโย่วไปยอมรับผิดและขอโทษคนเขา แล้วยังต้องทำโน้นทำนี่ ชดเชยแก้ไขไปมา น่ารำคาญนัก”

องค์เทพเกราะทองกล่าวอย่างกังขา “จั่วโย่วมายอมรับผิดกับเจ้า แต่เขาจะไปยอมขอโทษคนอื่นได้อย่างไร?”

ซิ่วไฉเฒ่าเหลือกตามองบน “แน่นอนว่าข้าต้องอธิบายเหตุผลกับจั่วโย่วเป็นการส่วนตัวอย่างชัดเจน ตีคนอื่นเบาแค่นั้น จะเป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งได้อย่างไร? นี่จะช่วยระบายความแค้นแทนอาจารย์ของเจ้าได้อย่างไร? พอข้าพูดอย่างนี้ จั่วโย่วก็พยักหน้ารับ เขารู้สึกว่าถูกต้อง และบอกว่าวันหลังจะระวังกว่านี้”

องค์เทพเกราะทองหัวเราะหึหึ “ข้าล่ะยอมแพ้”

ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจ “ส่วนเหล่าซื่อ (ซื่อคือลำดับที่สี่) นั้น ค่อนข้างจะซับซ้อนสักหน่อย ตอนนี้ถือว่าเขาเป็นลูกศิษย์ข้าแค่ครึ่งตัวเท่านั้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมรับเขา แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าชาติกำเนิดของตัวเองไม่ดี ไม่ยินดีสร้างปัญหาให้กับข้า ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับข้า สำหรับข้อนี้ เหตุผลไม่เหมือนกัน ส่วนผลลัพธ์ ก็เหมือนกับลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าผู้นั้นนั่นแหละ นอกจากนี้ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ คนอื่นๆ ต่างคนก็มีนิสัยแตกต่างกันไป”

“เหมาเสี่ยวตงที่เป็นหนึ่งในนั้น ในเรื่องของการเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจ เขาเหมือนข้ามากที่สุด แน่นอนว่าความรู้ยังไม่สูงเท่าอาจารย์อย่างข้า ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ล้วนยึดถือกฎเกณฑ์ ยังค่อนข้างอยู่ห่างไกลกับคำว่าทำตามใจปรารถนาไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ของตาเฒ่าอยู่บ้าง น่าเสียดายที่เรื่องนี้คนนอกไม่อาจพูดบอกอย่างโจ่งแจ้ง ต้องให้เขาคิดได้และเข้าใจกระจ่างแจ้งด้วยตัวเอง คำพูดของลัทธิพุทธนั้นดีมาก สำหรับในเรื่องนี้ ลัทธิเต๋าไม่ดีงามพอ…”

ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้พูดอย่างละเอียด แล้วก็ไม่ได้พูดให้สูงไปกว่านั้น เขาเปลี่ยนหัวข้อใหม่ว่า “ข้าน่ะ เวลาทะเลาะกับคนอื่น ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองถูกต้องหรือดีไปทั้งหมด ส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดีของคนอื่น ควรต้องรู้แน่ชัด ไม่อย่างนั้นจะทะเลาะถกเถียงกันไปเพื่ออะไร? ตัวเองพูดอย่างสาแก่ใจ ทว่าความรู้ที่อัดแน่นอยู่เต็มท้องล่ะไปร่วงลงตรงจุดไหน? ความรู้กลัวการกลายเป็นน้ำที่ไร้ต้นตอมากที่สุด หล่นลงมาจากฟ้า สูงส่งเหนือผู้ใด มองดูเหมือนร้ายกาจ แต่นอกจากคำชื่นชมจากเหล่าบัณฑิตที่เป็นคนกันเองไม่กี่คำแล้ว ความหมายของมันอยู่ตรงไหน? ไม่แตะพื้น ไม่หันกลับมาหล่อเลี้ยงพื้นดิน ไม่สร้างบุญกุศลให้แก่ชาวบ้าน ไม่มอบตะกร้าใบเล็ก ตะกร้าใบใหญ่ที่ไว้สำหรับ ‘ชีวิตคนมีความยากลำบากนับพันนับหมื่น แต่ข้าก็มีสถานที่ให้วางมันไว้อย่างสบายใจ’ ให้แก่พวกเขา กลับกันยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตายัดหลักการเหตุผลลงไปในบทความบนกระดาษ ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่ามีเพียงอริยะปราชญ์เท่านั้นที่คู่ควรจะเอามาใช้ แบบนั้นจะทำให้คนเหนื่อยตาย แล้วยังหวังว่าจะนำมาอบรบสั่งสอนผู้คนได้อย่างไร?”

ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน เรือนกายของเขางองุ้ม ทอดสายตามองไปไกลพลางพึมพำว่า “สันดานดีงาม ผิดไหม? ไม่เลย ทว่าในคำกล่าวนี้ยังมีปัญหาที่ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วนอยู่อย่างหนึ่ง ในเมื่อสันดานมนุษย์เดิมนั้นดีงาม แล้วเหตุใดวิถีทางโลกถึงได้ซับซ้อนขนาดนี้? การสั่งสอนกล่อมเกลาของลัทธิขงจื๊อ สรุปแล้วสั่งสอนกล่อมเกลาอะไรกันแน่? สอนให้คนเป็นคนเลวงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร ตาแก่และหลี่เซิ่งต่างก็กำลังรอ แล้วต่อมา ในที่สุดก็รอจนได้พบข้า ข้าจึงบอกว่า สันดานมนุษย์นั้นเดิมทีชั่วร้าย จึงต้องได้รับการอบรมสั่งสอน ขัดเกลากันและกัน กล่อมเกลาแก้ไขให้สมบูรณ์แบบ ประเด็นสำคัญคือข้าสามารถหยัดยืนได้มั่นคง อธิบายหลักการเหตุผลได้ดี ดังนั้นข้าจึงกลายเป็นเหวินเซิ่ง แต่ก็มีปัญหาที่น่ากระอักกระอ่วนยิ่งกว่าปรากฏขึ้นมาอีก เปลี่ยนมาเป็นสายตาคนนอกสถานการณ์อย่างเจ้าที่มองมา เจ้ารู้สึกว่าทฤษฎีสันดานมนุษย์เดิมทีชั่วร้ายสามารถกลายเป็นหนึ่งในสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อได้ นี่ไม่มีปัญหา แต่จะสามารถกลายเป็นสายหลักของลัทธิขงจื๊อพวกเราได้จริงๆ หรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าถามเองตอบเอง “ไม่ได้เด็ดขาด”

ซิ่วไฉเฒ่าชูนิ้วโป้งชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “ตัวข้าเองยังคิดแบบนี้เลย”

เงียบงันกันไปนาน

องค์เทพเกราะทองทอดถอนใจอย่างที่หาได้ยาก ในเสียงถอนหายใจนั้นแฝงไว้ด้วยความเสียดายเล็กน้อย

ซิ่วไฉเฒ่าหุบนิ้วโป้งข้างนั้นลง แล้วพลันเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “พอคิดอย่างนี้ ข้าก็เป็นทั้งอริยะปราชญ์และวีรบุรุษผู้กล้าหาญจริงๆ ร้ายกาจๆ”

องค์เทพเกราะทองไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ากลับมาเอ่ยอย่างระอาใจ “ทำไมเจ้าไม่ตอบโต้ข้าเลยสักคำ ข้าจะได้ใช้เหตุผลโน้มน้าวคนให้สยบยอมอย่างไรเล่า”

องค์เทพเกราะทองเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าไม่มีทางให้โอกาสนี้แก่เจ้าแน่นอน”

ซิ่วไฉเฒ่าร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ถ้าอย่างนั้นดูท่าข้าคงต้องใช้คุณธรรมสยบคนเสียแล้ว”

องค์เทพเกราะทองสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

ไม่อย่างนั้นเขายังจะทำอะไรได้อีก?

แล้วจู่ๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่าเพิ่งรีบร้อนไล่ข้าไป ข้าเองก็ต้องเลียนแบบป๋ายเจ๋อและบัณฑิตที่สิ้นหวังอย่างถึงที่สุดคนนั้น รอไปอีกหน่อย แม้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ แต่ข้าก็อยากจะรอดูไปอีกหน่อย”

องค์เทพเกราะทองเอ่ยถาม “แล้วถ้ารอจนถึงท้ายที่สุด ผลคือผิดพลาดล่ะ จะไม่เสียใจภายหลังหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง หรี่ตาหัวเราะเสียงเย็น “เสียใจภายหลัง? นับตั้งแต่อาจารย์อย่างข้าไปจนถึงเหล่าลูกศิษย์ หากไม่พูดถึงสิ่งที่แต่ละคนต้องเลือกรับมาและเสียสละไปบนมหามรรคา เสียใจภายหลังน่ะหรือ? ไม่มีทาง!”

……

บนสะพานโค้งสีทอง

ท่ามกลางสะพานที่ถูกกระบี่ปักตรึง ปลายกระบี่และตัวกระบี่ช่วงสั้นๆ จมหายเข้าไปในสะพานแล้ว สะเก็ดแสงไฟสาดกระจายส่องประกายแสงพร่างพราวอย่างถึงที่สุด

สตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างวางร่มใบถงพาดขวางไว้บนหัวเข่า นางลุกขึ้นยืน กางร่มกระดาษน้ำมันที่มองดูเหมือนธรรมดาคันนั้นออก แหงนหน้ามองหนึ่งครั้ง ร่างก็พุ่งวาบหายไป เหลือเพียงร่มใบถงที่ลอยหยุดอยู่ที่เดิม

นางเดินก้าวหนึ่งเข้ามาในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง มาหยุดอยู่ตรงปากบ่อน้ำ

ร่มใบถงที่ ‘มอบให้อย่างไม่ใส่ใจ’ คันนั้นย่อมต้องมีความหมายลึกล้ำยิ่งใหญ่ที่ซ่อนแฝงอยู่ เพียงแต่ว่าเจ้าของเดิมมอบให้แล้ว ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าของใหม่จะมีชีวิตรอดจนถึงวันที่ค้นพบความจริง

ทว่านี่เกี่ยวอะไรกับเจ้าของเดิมด้วย? เป็นทั้งแผนการ แต่ก็ทั้งไม่ใช่แผนการ เต๋าที่กล่าวได้มิใช่เต๋าที่แท้จริง

พริบตานั้นก็มีนักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

นางไม่ได้สนใจ เพียงกวาดตามองไปรอบด้านพลางพยักหน้ากล่าวว่า “หากเป็นตอนนี้ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่ที่ไม่เลวแล้ว”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้นจะไปถกปัญหากับมรรคาจารย์เต๋าได้อย่างไร?”

นางชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง

นักพรตเฒ่ามีสีหน้าเป็นธรรมชาติ

นางจ้องมองไปยังมุมหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วก็คล้ายจะกระจ่างแจ้ง จึงเอ่ยเย้ยหยันว่า “นับว่าเจ้าไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง”

นักพรตเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างชอบใจ “คล้อยไปตามสถานการณ์ เรื่องเล็กน้อย แค่พลิกกลับจักรวาล แผ่นดินหนึ่งทวีปจมดิ่ง”

นางขมวดคิ้ว

นักพรตเฒ่าทอดถอนใจเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ใช่ในอดีตอีกแล้ว”

นางส่ายหน้า “ก็แค่ข้าเปลี่ยนเจ้านายเท่านั้น”

นักพรตเฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไร

เรื่องนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สะดวกจะวิพากษ์วิจารณ์

นางเอ่ยถาม “แค่พื้นที่เล็กๆ เท่านี้เองหรือ?”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “มากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ”

ดูเหมือนนางจะหมดความสนใจจึงกลับไปพร้อมกับความผิดหวัง เรือนกายหายวับกลับคืนไปยังฟ้าดินของตัวเอง แล้วจึงเก็บร่มใบถงลงไป

นักพรตเฒ่ายืนอยู่ข้างบ่อน้ำ ก้มหน้าลงจ้องมองบ่อน้ำดำมืดบ่อนั้น

นักพรตเฒ่าดึงสายตากลับคืนมา แหงนหน้ามองม่านฟ้า “นี่ก็คือของขวัญพบหน้าที่ข้าจะย้อนกลับคืนไปสู่ใต้หล้ามืดสลัวอีกครั้ง เป็นอย่างไร?”

ถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาที่เชื่อมต่ออยู่กับพื้นที่มงคลดอกบัว มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ยังคงมองหยดน้ำหนึ่งหยด มองมันกลิ้งอยู่บนใบบัวใบแล้วใบเล่าที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ขนาดของหยดน้ำเหมือนเม็ดฝนทั่วไป ทว่าใบบัวหลายใบกลับเหมือนใหญ่โตเหมือนเทือกเขา ส่วนใบที่ใหญ่กว่านั้นก็ใหญ่เท่ากับพื้นที่ของหนึ่งราชวงศ์ในใต้หล้า เป็นเหตุให้เส้นสายบนใบบัวใบหนึ่งอาจยาวหลายสิบลี้หลายร้อยลี้ ดังนั้นสุดท้ายแล้วหยดน้ำเล็กจิ๋วหยดนั้นจะกลิ้งไปตกอยู่ตรงที่ใด กว่าที่ผลลัพธ์นั้นจะปรากฎก็คงต้องใช้เวลายาวนานอย่างมาก

ผู้เฒ่าไม่รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย

วันเวลาผันผ่าน แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลริน

เพียงแต่ว่าในฐานะกฎเกณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของฟ้าดิน ต่อให้จะเป็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสายนั้น ยามที่ไหลผ่านข้างกายของผู้เฒ่าก็ยังต้องอ้อมผ่านไป

—–