บทที่ 911 สมาชิกที่ไม่คาดฝันของราชวงศ์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เหรียญตราในมือของหวังเป่าเล่อเป็นของที่ทำเลียนแบบเหรียญตราสันติตระกูลเซี่ย ชายหนุ่มชูมันขึ้นสูงก่อนจะตะโกนสุดเสียง

“นี่คือเหรียญตราสันติตระกูลเซี่ย มีใครหน้าไหนกล้าโจมตีข้าบ้างเล่า ความอวดดีทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักของพวกเจ้าต้องถึงแก่ความตายมาแล้ว!” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงกับชะงักทันทีที่หวังเป่าเล่อดึงเหรียญตราออกมา สีหน้าของประมุขเคร่งขรึมขึ้นขณะจ้องมองไปยังเหรียญตราในมือของชายหนุ่ม นัยน์ตาของเขาฉายแววลังเล

ชายชราไม่ทันรู้ว่าหวังเป่าเล่อมองเห็นแววลังเลในดวงตาตน หัวใจของชายหนุ่มหล่นวูบไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง

ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นแน่ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกมาทิ้งเอาไว้เพื่อที่จะหาตัวข้าพบทันทีที่ข้าปรากฏตัวขึ้น เขาจะต้องรู้แน่ๆ ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายไปแล้ว และต้องรู้ด้วยว่าตระกูลเซี่ยมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่รู้ว่าข้าถือครองเหรียญตราสันติอยู่ การที่เขายังกล้าจู่โจมข้าแปลว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลัง แต่พอข้าหยิบเหรียญตราสันติออกมา ทำไมเขายังต้องทำเป็นชั่งใจอยู่ เขาแสร้งทำเป็นเกรงใจให้ข้าเห็นหรือให้ใครคนอื่นเห็นกันแน่ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยอ่านจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงที่ว่า จิตใจคนนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะหยั่งถึงที่สุดในโลก

กลไกในศีรษะของชายหนุ่มหมุนวนต่อเนื่องรุนแรงขณะที่สีหน้าของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังคงแสดงความลังเลใจ ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้นมาจากความเวิ้งว้างเบื้องหลังเขา ใครบางคนกำลังพุ่งชนขอบของผนึก พยายามทะลวงเข้ามาด้านใน จู่ๆ ผนึกก็เริ่มสั่นไหว มีรอยแยกปรากฏให้เห็น ก่อนที่กำแพงของผนึกจะพังทะลุเข้ามาด้านในเป็นรูกว้าง

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่ต่างมีสีหน้าถมึงทึงยืนอยู่ด้านนอกของรอยแยก

“ใครกล้าทำร้ายหลงหนานจื่อ ศิษย์สำนักข้ากัน” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดขึ้นก่อน เสียงของเขาดังลั่นแฝงไปด้วยอำนาจ แถมยังมีความเด็ดขาดสะท้อนอยู่ ราวกับเขาตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยหวังเป่าเล่อให้ได้ไม่ว่าจะต้องเสียสิ่งใดไปก็ตาม

ชายวัยกลางคนยกมือขวาขึ้นคว้าไปทางหวังเป่าเล่อ เหมือนว่าจะดึงชายหนุ่มออกไปจากผนึก ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่อยู่ข้างกายเขาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มพิกัด ราวกับว่าเตรียมพร้อมรับมือสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หากอีกฝ่ายพยายามจะหยุดการช่วยเหลือในครั้งนี้

ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรี่ตาลง ก่อนจะพุ่งตัวออกไปอย่างปุบปับ เหมือนว่าพร้อมที่จะหยุดยั้งการช่วยเหลือของปรมาจารย์ทั้งสอง ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน และหวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลาคิดแม้แต่น้อย โชคยังดีที่ชายหนุ่มจับตามองปรมาจารย์มหาทัณฑ์อยู่ตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนของหวังเป่าเล่อไม่มีผิด ชายหนุ่มส่งร่างอวตารนี้มาก็เพื่อเก็บข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะหาข้อมูลดังกล่าว มีประกายที่เล็กจนแทบมองไม่เห็นสะท้อนอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่มีรอ แสร้งทำสีหน้าปลื้มปริ่มดีใจก่อนจะพุ่งไปหารอยแยกที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สร้างขึ้นทันที ภายในพริบตา มือของปรมาจารย์ก็คว้าตัวเขาไว้ได้ หวังเป่าเล่อกำลังจะถูกดึงออกจากผนึกและรอดพ้นอันตรายในไม่ช้าแล้ว…

แต่ในวินาทีนั้นเอง…ชายหนุ่มก็มีสีหน้าตื่นตะลึง

“ปรมาจารย์! ท่าน!” ฝ่ามือที่จับหวังเป่าเล่อเอาไว้เปลี่ยนจากสัมผัสอันอารีสู่การบีบอย่างรุนแรงในชั่วอึดใจ แทนที่จะช่วยเหลือหวังเป่าเล่อจากการถูกโจมตี มันกลับดูเหมือนจะจับชายหนุ่มไม่ให้ดิ้นหลุดจากที่แทน!

หวังเป่าเล่อส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นลั่นจักรวาล ร่างกายที่อ่อนแออยู่แต่เดิมของเขาเริ่มยอมแพ้ก่อนจะแตกสลาย แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของหวังเป่าเล่อก็ยังว่องไวไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่ากายจะเริ่มแตกสลาย แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดถอย เศษฝุ่นค่อยๆ ไหลมารวมกันอย่างทุลักทุเลและก่อตัวเป็นร่างเงาเลือนราง

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า…ร่างที่ก่อตัวขึ้นนั้นอ่อนล้าจะแทบจะถึงขีดสุด เพียงสายลมที่พัดมาก็อาจส่งมันกลับไปเป็นฝุ่นผงและพัดพาเอาฝุ่นกองนั้นกระจายไปทั่วจักรวาลได้ รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนล้า เขาจ้องไปที่รอยแยกและปรมาจารย์มหาทัณฑ์ซึ่งมีสีหน้าไร้อารมณ์ที่เพิ่งก้าวพ้นออกมา

“คนที่ไล่ล่าตัวเจ้าอยู่ไม่ใช่คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดขณะที่ก้าวเข้ามาในผนึกและจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึม ชายหนุ่มมองไปที่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้แสดงอะไรออกมามากนักนอกจากรอยยิ้มเยาะที่มุมปาก ชายหนุ่มเข้าใจในวินาทีนั้นเอง เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้

ประมุขสำนักรู้เรื่องความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาและความสัมพันธ์ของหวังเป่าเล่อกับตระกูลเซี่ย ดังนั้นการที่ชายหนุ่มดึงเหรียญตราปลอมออกมาจึงไม่มีผลใดๆ เพราะสำหรับประมุขสำนักแล้วมันไม่มีความแตกต่างกันเลย แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประมุขสำนักจะไม่ยอมให้ความตายของหวังเป่าเล่อถูกนำมาเกี่ยวพันกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แน่ พวกเขาจะไม่ยอมเป็นสาเหตุการตายโดยตรงของชายหนุ่มเด็ดขาด นั่นคือแผนที่พวกเขาวางไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้

ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดง แต่รูปการเองก็สำคัญไม่ใช่น้อย ในส่วนของปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ดูเหมือนว่าเขาจะยอมตกลงเป็นคนลงมือสังหารหวังเป่าเล่อเอง เพราะจะอย่างไรก็ตามแต่ ทั้งจักรวาลต้องได้รู้ว่าความตายของหวังเป่าเล่อเกิดขึ้นจากน้ำมือของปรมาจารย์มหาทัณฑ์!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผู้เจ้าเล่ห์ไม่น่าจะยอมตกลงทำอะไรเช่นนี้ได้ง่ายๆ ชายวัยกลางคนไม่น่าทำเช่นนี้เพราะตกเป็นเบี้ยล่างของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และถูกบีบให้ทำ เป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับตระกูลเซี่ย แต่หวังเป่าเล่อก็เลือกจะเดิมพันว่า…ปรมาจารย์ต้องทำข้อตกลงบางอย่างกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่!

ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงสีหน้าที่ปรากฏบนใบหน้าของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตอนที่เขาเอ่ยถึงเหออวิ๋นจื่อ

เกิดอะไรขึ้นกับเหออวิ๋นจื่อกันแน่ หรือปรมาจารย์มหาทัณฑ์จับเขาได้แล้วควบคุมจิตใจของเขา

ไม่น่าเป็นไปได้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์อาจจะเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่เขาคงไม่ทำอะไรที่ไม่ได้ประโยชน์เป็นแน่ เขาจะกล้าจับเหออวิ๋นจื่อเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เชียวหรือ ไม่ใช่ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เขาต้องเจอปัญหาต่อไปในอนาคตหรืออย่างไรกัน สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่หากไปเล่นแง่ด้วยเช่นนั้น

*เหออวิ๋นจื่อเป็นเชื้อพระวงศ์ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เป็นเพียงคนนอกเท่านั้น หากปรมาจารย์จะต่อรองกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริง ก็เท่ากับเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของเขาตั้งแต่ทีแรก สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นสำนักที่เย่อหยิ่งนัก ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทำเช่นนั้นก็เท่ากับล้อเล่นกับความตาย เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่ทำอะไรเช่นนั้นเป็นแน่… ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคงไม่เอาด้วยแน่นอน!*จะต้องมีบางสิ่งที่เป็นกุญแจไขปริศนาทั้งหมดนี้ บางสิ่งที่หวังเป่าเล่อยังตีโจทย์ไม่แตก!

*หรือว่า…*ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะสลายไป ความคิดอันน่าตื่นตะลึงความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในศีรษะเขา

หรือว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอง…ก็มีเลือดราชวงศ์เช่นกันหวังเป่าเล่ออดตกใจกับความคิดนี้ที่ปรากฏขึ้นมาในใจตนเองไม่ได้ แต่ความคิดดังกล่าวก็ฝังรากลึกลงไปทันที ความคิดของเขาเริ่มหมุนวนอยู่รอบๆ ทฤษฎีนี้ ทันใดนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็คิดว่าทุกอย่างเริ่มจะเข้าเค้า ตัวต่อทุกชิ้นไหลลงที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบ!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็มีเลือดราชวงศ์ เพราะเหตุนั้น เขาจึงมาพูดกับหวังเป่าเล่อเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ร่วมต่อสู้กับเหออวิ๋นจื่อและสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ชายวัยกลางคนพยายามจะปลุกปั่นให้พวกเขาฆ่ากันเอง ให้พวกเขาสู้กันก่อน เขาดึงความสนใจของทุกฝ่ายไปหาหวังเป่าเล่อ เพื่อที่ว่าทุกสายตาจะได้จับจ้องไปที่ชายหนุ่มราวกับดวงตาที่หันไปมองแสงจ้า ตัวเขาเองจะได้หลบซ่อนอยู่ในเงามืดได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงสามารถรุกคืบหรือถอยหลังได้ตามที่สถานการณ์อำนวย เขาจะร่วมต่อสู้ชิงสิทธิ์ควบคุมหรือจะถอยเพื่อรับรองความปลอดภัยและปกป้องตัวตนที่แท้จริงก็ย่อมได้เช่นกัน!

หวังเป่าเล่อรู้สึกขึ้นมาว่าความกังขาทั้งหมดที่เขามีตั้งแต่กลับมานั้นสามารถคลี่คลายได้หมดเมื่อเขาวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไปตามแนวคิดนี้ บางทีอาจจะเกิดอะไรบางอย่างกับเหออวิ๋นจื่อ ชายผู้นั้นไม่ได้ถูกจับขัง ทว่า…คงถูกสังหารไปแล้ว!

หากเปิดเผยตัวตนตอนนี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็จะได้รับสืบทอดสิทธิ์ควบคุมของเหออวิ๋นจื่อ และกลายมาเป็นคนเดียวที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะร่วมมือด้วยได้!

การเก็บซ่อนความจริงเอาไว้อาจทำให้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รู้สึกโกรธเคือง แต่พวกเขาก็ต้องยอมร่วมมือด้วยอยู่นั่นเอง เพราะคนที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกลียดที่สุดไม่ใช่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ หากแต่เป็นหวังเป่าเล่อ ในเมื่อปรมาจารย์เองก็เป็นสมาชิกราชวงศ์ เขาเองจึงไม่ต่างจากเหออวิ๋นจื่อ ในสายตาของพวกเขา หากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ถูกข่มขู่และบีบบังคับให้ต้องร่วมมือด้วย และหากเงื่อนไขที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เสนอนั้นดีกว่า พวกเขาก็แค่เปลี่ยนพันธมิตรคนหนึ่งเป็นอีกคนเท่านั้นเอง!

แนวคิดนี้ยังอธิบายได้ด้วยว่าเหตุใดปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงอยากสังหารหวังเป่าเล่อนัก นี่คงเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไข ขณะที่ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกกังขาอีกครั้ง!

ไม่สิ หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดวงแหวนปราณครอบดารานิรันดร์เพื่อกันไม่ให้ข้าเข้าไป เพราะอย่างไรเสีย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์กับข้าก็มีสิทธิ์ควบคุมอยู่คนละครึ่ง สถานการณ์ไม่น่าจะแย่ลงกว่านี้ได้ การเปิดวงแหวนปราณเพื่อกันไม่ให้ข้าเข้าไปจึงไร้ความหมาย อาจจะเป็นไปได้ว่า…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ได้ครอบครองสิทธิ์ควบคุมครึ่งหลังจากที่สังหารเหออวิ๋นจื่อไปแล้วหวังเป่าเล่อในร่างที่อ่อนแอถึงขีดสุดตัวสั่น นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะที่จ้องมองไปยังปรมาจารย์มหาทัณฑ์แล้วตะโกนใส่ ชายหนุ่มขณะนี้พยายามจะหลอกล่อเอาความจริงออกมาจากปากอีกฝ่ายหนึ่ง

“เจ้าแก่ตัวแสบ เจ้าซ่อนความจริงที่ว่าตนเป็นสมาชิกราชวงศ์เอาไว้ได้แนบเนียนจริงนะ แต่ไม่สำคัญหรอก เพราะสุดท้ายแล้ว เจ้าก็ไม่ได้สิทธิ์ควบคุมดารานิรันดร์ไปอยู่นั่นเอง!”

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็จับจ้องมาที่ชายหนุ่มด้วยดวงตาเปี่ยมความหมาย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอียงศีรษะมองหวังเป่าเล่อก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น

“เจ้านี่ไม่ได้โง่อย่างที่ข้าคิดไว้เสียเลย ถึงแม้จะหัวช้าไปบ้างก็ตาม” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดก่อนจะเงยศีรษะขึ้น พลังปราณไหลบ่าออกมาจากกาย ก่อนที่พลังระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางจะปกคลุมจักรวาลไปทั่ว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงรัศมีสายเลือดราชวงศ์อันคุ้นเคยที่ออกมาจากกายของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ เบื้องหลังเขา…มีดวงเนตรสวรรค์ขนาดยักษ์ก่อตัวขึ้น สัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวสีขาวปรากฏให้เห็นตรงเหนือคิ้วของปรมาจารย์!

หวังเป่าเล่อเดาถูกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความตื่นตะลึงที่เขารู้สึกในตอนนี้แม้แต่น้อย ต้องยอมรับว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเก่งกาจเรื่องการตลบตะแลงอย่างแท้จริง!