บทที่ 1032 ปะทะอย่างดุเดือด

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1032 ปะทะอย่างดุเดือด

ตู้ม!

แสงสีทองป่าเถื่อนกวาดออกมาทั่วบริเวณ ราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงในจุดที่ปะทะกัน คลื่นกระแทกทองคำน่าสะพรึงทำลายล้างเป็นวงกว้าง พื้นดินพังทลายทีละชั้น..ละชั้นจากแรงปะทะ

จอมยุทธ์สามคนเผ่าแรดอสูรกับมั่วหลิงได้ถอยห่างออกไปนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นคลื่นกระแทกก็ยังส่งผลทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดบนผิวหนัง

แต่ละคนจ้องมองที่จุดกำเนิดของแสงสีทอง ตรงจุดนั้นเมื่อดวงอาทิตย์สีทองปรากฏขึ้นที่แสงสีทองอันน่าสะพรึงก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง

ปัง!

แสงสีทองกวาดออก ร่างสองร่างก็พุ่งถอยออกมาทันที

ทุกย่างก้าวของมู่เฉินทำให้เกิดปากหลุมแผ่ออกไประยะร้อยจั้งบนพื้นดิน เกิดระลอกคลื่นในมิติขณะสร้างความผันผวน

มู่เฉินถอยหลังไปได้หลายสิบก้าวก่อนจะทรงตัวได้มั่นคง แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นบนพื้นผิวทำให้เขาดูทนทานอย่างยิ่ง แต่ยามนี้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองไปที่เบื้องหน้า

หมัดเมื่อครู่เขาได้เร้าวิชากายามังกรหงส์ขั้นสองจนถึงขีดสุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถได้เปรียบในกระบวนท่านี้

พลังของจิงฉิงเทียนเกินกว่าระดับของจงเถิงไปไกลอย่างแท้จริง

ขณะที่ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้ม จิงฉิงเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับก้มมองที่กำปั้นของตัวเองโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทว่าในดวงตากลับมีแรงสั่นสะเทือนวูบวาบ

“พลังกายแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้!” จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินขณะพูดช้าๆ

แม้ว่าหมัดของมู่เฉินจะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ แต่เขารู้ว่าในการปะทะกระบวนท่าก่อนหน้าเขามีข้อเสียเปรียบเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าในแง่ของความแข็งแกร่งทางพลังกายเพียงอย่างเดียว มู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเขาด้วย

ดังนั้นแม้แต่เขายังอดตกใจไม่ได้เลย เพียงแค่พลังกายของมู่เฉินอย่างเดียว ก็เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว มิน่าล่ะภัยคุกคามที่เขารู้สึกจากมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้นกลับเกินกว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในขั้นเจ็ด

จากที่ไกลใบหน้าของจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ที่มองการต่อสู้ก็เปลี่ยนไป ในเวลานี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าในกลุ่มของคู่ต่อสู้ หานซันและจิ่วโยวไม่ได้เป็นภัยคุกคามมากที่สุด ตรงกันข้ามกลับเป็นมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น

ชายคนนี้ไม่เพียงแต่สามารถสร้างค่ายกลระดับเทียน กระทั่งพลังกายของเขาก็สุดยอดไม่แพ้กัน

โชคดีที่เขามีขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหากอยู่ในขั้นเจ็ดละก็ วันนี้ต่อให้มีจิงฉิงเทียนอยู่ที่นี่ก็คงยากที่จะปราบปรามอีกฝ่ายได้

จิงเลี่ยและฮั่วหยังแลกเปลี่ยนสายตากันต่างก็รู้สึกโล่งใจ แม้ว่าเมื่อสักครู่มู่เฉินจะสกัดการโจมตีของจิงฉิงเทียนได้ แต่ก็เป็นเพราะจิงฉิงเทียนไม่ได้ใช้พลังหลิง ถ้าเขาใช้คลื่นระดับสูงสุดของขั้นเจ็ด กระทั่งมู่เฉินก็ต้องแพ้ยับแน่

บนท้องฟ้าจิงฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ “ไม่รู้ว่าเจ้าเพาะบ่มพลังกายให้ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่ข้าได้พบน้อยมากที่มีคนสามารถฝึกฝนพลังกายได้ในระดับเดียวกับเจ้า”

พูดถึงตรงนี้จิงฉิงเทียนก็หยุดชะงัก จากนั้นรอยยิ้มอำมหิตและกระหายเลือดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ดังนั้นเพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสถึงพลังยิ่งใหญ่ของระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดมั่ง!”

ตู้ม!

ทันทีที่พูดจบ พายุทอร์นาโดพลังงานสีทองก็ระเบิดขึ้น ซึ่งเหมือนเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลก ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตายิ่งนัก

แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมา

“แกกล้ารับหมัดจากข้าอีกไหม?!”

จิงฉิงเทียนยืนอยู่ท่ามกลางพายุทอร์นาโดราวกับเทพราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เผด็จการ เขาเงยหน้าหัวเราะเสียงดังพลางชกหมัดออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อหมัดพุ่งออกมา ไม่เพียงแต่มีพลังกายที่น่ากลัวระเบิดขึ้น ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งอยู่ด้วย

นี่เป็นสายธารทองคำที่ราวกับเชื่อมโยงระหว่างฟ้าดิน สิ่งใดที่ขัดขวางก็จะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

หมัดของจิงฉิงเทียนทำให้สีหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเปลี่ยนแปลง หากถูกซัดเข้าตัวต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่

ตอนนี้แม้แต่หานซัน จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามทรงพลังถูกปล่อยออกมาจากหมัดของจิงฉิงเทียน

สายธารสีทองเชื่อมโยงฟ้าดินสะท้อนในม่านตาของมู่เฉิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเช่นกัน แต่กลับไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย

จิงฉิงเทียนทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันที่คิดจะทำให้เขากลัว

บางทีอาจมีความยากลำบากไปบ้างถ้ามู่เฉินต้องการเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าใครคิดว่าเขาอาศัยร่างกายล้วนๆ พวกเขาก็ถึงวาระแน่…

กร๊อบ

ทันใดนั้นมือของมู่เฉินก็กำแน่น อึดใจถัดมามิติก็ผันผวนอยู่ข้างหลัง มหาสมุทรคลื่นหลิงแผ่ซ่านออกมา นี่คือจุดจื้อจุนไห่ของเขา

ในจุดจื้อจุนไห่ ทะเลพลังดันคลื่นหมื่นจั้งขึ้นมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วเหยียดมือออกพร้อมกับหันฝ่ามือไปข้างหน้า

แสงสีทองทรงพลังทะลุผ่านขอบฟ้า ขยายอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน สุดท้ายก็กวาดเข้ามา

ทันทีที่คลื่นกระแทกน่าสะพรึงมาถึง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏขึ้นบนแขนทั้งสองของเขา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ก่อร่างเป็นโล่มังกรหงส์ที่เบื้องหน้า

“โล่ทองคำมังกรหงส์!”

ตู้ม!

พริบตาที่สร้างโล่ทองคำขึ้น แสงสีทองทรงพลังก็พุ่งเข้าใส่ ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือไม่ว่าลำแสงสีทองจะอาละวาดแค่ไหน โล่ที่ดูบางเฉียบสีทองตรงเบื้องหน้ามู่เฉินก็ตั้งตระหง่าน ไม่มีร่องรอยการแตกสลาย

ลำแสงสีทองจางลง ก่อนที่จะหดตัวอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายคลื่นหลิงภายในก็สลายอย่างสมบูรณ์

เมื่อลำแสงสีทองหายไปโล่ทองคำก็แตกกลายเป็นประกายแสงสีทองปกคลุมท้องฟ้า

“แกเสียเปรียบแน่ถ้าดูถูกขุมพลังขั้นหกของข้า” เมื่อโล่ทองคำหายไปมู่เฉินก็มองจิงฉิงเทียนพร้อมรอยแย้มยิ้ม

จิงฉิงเทียนขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้คลุมเครือว่าถึงแม้การฝึกฝนขุมพลังหลิงของมู่เฉินจะอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงก็อยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นพลังกายหรือพลังหลิง มู่เฉินก็มีความสามารถสูง

ตัวปัญหาจริงๆ

แต่ก็มีเพียงศัตรูตัวฉกาจแบบนี้เท่านั้นที่สามารถปลุกวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้ การเหยียบย่ำศัตรูเช่นนี้ให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า ถึงจะทำให้เขาก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง!

เส้นทางของการฝึกฝนจำเป็นต้องเอาชนะศัตรูที่ทรงพลังครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แล้ว!

“ฮ่าๆ เสียเปรียบเหรอ? น้อยคนที่จะทำให้ข้าเสียเปรียบได้ แต่ข้าไม่คิดว่าคนอย่างแกจะมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในนั้นนะ” จิงฉิงเทียนหัวเราะเสียงเย็น อึดใจต่อมาก็กระทืบเท้าลงไป อากาศที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าระเบิดออก ร่างเงาของเขากลายเป็นลำแสงสีทองยิงออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของสิงโตในกำปั้นพุ่งเข้าซัดมู่เฉิน

แสงสีทองพร่างพราวปกคลุมร่างมู่เฉิน เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก้องกังวานไปทั่วสรรพางค์กายไม่มีที่สิ้นสุด ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังก็ผันผวน พลังกายภาพและพลังงานหลิงหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ เขาเลือกเข้าประจัญบานกับพายุการโจมตีของจิงฉิงเทียนโดยตรง

ตู้ม! ตู้ม!

ร่างเงาสีทองสองร่างโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือดบนท้องฟ้า กำปั้นและฝ่ามือซัดกันนัว การปะทะกันทุกครั้งทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ขณะที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นฟ้าดินไปหมด

ที่เบื้องล่างทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองการปะทะกันบนท้องฟ้า คลื่นกระแทกที่กวาดออก ทำให้เมฆภายในรัศมีหลายหมื่นจั้งแตกสลายอย่างสมบูรณ์

ในเวลาเพียงไม่กี่นาที จอมยุทธ์ทั้งสองบนท้องฟ้าก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปร้อยกว่าท่าแล้ว

ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีที่ตรงแรงที่สุดในการปะทะโดยไม่มีการหลบหลีกใดๆ ทุกหมัดซัดลงบนร่างกาย การเผชิญหน้าที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ทำให้หานซันและคนอื่นๆ รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด

ฝั่งจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็มีสีหน้าน่าเกลียดยิ่งขึ้น เมื่อมู่เฉินปะทะกับจิงฉิงเทียนแล้วยังไม่ตกอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขาไม่คิดว่าต่อให้จิงฉิงเทียนจะงัดคลื่นหลิงในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดออกมา เขาก็ยังไม่สามารถบดขยี้มู่เฉินได้

“ทำไมเจ้านั่นถึงทรงพลังขนาดนี้?” จิงเลี่ยกัดฟันพลางรู้สึกอึ้งในใจ ที่แท้หานซันก็ได้เชิญผู้ช่วยที่ทรงพลังเช่นนี้มา โชคดีที่ครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดีไม่งั้นคงต้องแพ้ให้หานซันจริงๆ

“แม้ว่าไอ้นั่นจะทรงพลังแต่พื้นพลังยังคงอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ความหนาแน่นของคลื่นหลิงด้อยกว่าพี่ใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาไม่น่าจะยืนหยัดได้นานในสถานการณ์นี้ได้”

ดวงตาของจิงเลี่ยวาบวับ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัจฉริยะ จึงมีสายตาค่อนข้างแหลมคม ดังนั้นเขาจึงพบจุดสำคัญในทันที แม้ว่าการต่อสู้ตอนนี้อาจจะดูสูสี แต่มู่เฉินจะแพ้แน่นอนหากการต่อสู้ถูกลากยาวออกไป

ตู้ม!

ภายใต้สายตาที่จับจ้องมามากมาย การปะทะกันน่าอัศจรรย์อีกครั้งก็เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ร่างเงาทั้งสองถลาออกไป ขณะที่เสื้อผ้าขาดวิ่นกันไปหมด ท่าทางสะบักสะบอมกันน่าดู

บนร่างกายของพวกเขามีรอยฟกช้ำมากมาย พวกเขาประสบกับพลังทรงประสิทธิภาพของคู่ต่อสู้ ดีที่พวกเขามีพลังกายอันแข็งแกร่ง ไม่งั้นถ้าเป็นคนอื่นร่างกายคงแตกยับเยินไปนานแล้ว

การหายใจของจิงฉิงเทียนหนักหน่วง เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตากระหายเลือด อึดใจก็ฉีกยิ้มให้มู่เฉิน ยื่นมือออกเช็ดเลือดที่มุมปาก เขาไม่ได้พูดอะไร สร้างตราประทับในมือทันที

โฮก!

เสียงคำรามของสิงโตที่น่าอัศจรรย์ดังกึกก้อง แสงสีทองพุ่งออกมาจากด้านหลัง สุดท้ายก็กลายเป็นร่างแสงสีทองขนาดพันจั้ง

นอกจากนี้ยังมีภาพซ้อนของหัวสิงโตทองคำแปดหัวบนหัวสิงโตขนาดใหญ่นั้นด้วย ทว่าหัวเหล่านั้นค่อนข้างเบลอและไม่ค่อยชัดเจน

แต่นั่นก็เพียงพอพิสูจน์ว่าจิงฉิงเทียนได้ปลุกสายเลือดราชสีห์ทองคำเก้าหัวแล้ว

“จิงฉิงเทียนถึงกับเรียกร่างเทพอสูรออกมาเลย…” เมื่อหานซันและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ดวงตาก็หดลง ในฐานะที่เป็นเทพอสูร พวกเขาเข้าใจดีว่าเมื่อเรียกร่างเทพอสูรขึ้นมาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ฮา

มู่เฉินมองราชสีห์ทองคำเก้าหัวที่ยืนตระหง่านก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด จากนั้นมือทั้งคู่ก็ประสานกันก่อร่างตราประทับ

แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดเป็นวงรัศมี จากนั้นทุกคนก็สามารถเห็นร่างเทห์สวรรค์ใหญ่โตก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉินอย่างช้าๆ

ร่างนี้มีสีทองเช่นเดียวกับพระพุทธรูปทองคำ มีดวงตะวันลุกโชติช่วงอยู่ด้านหลังศีรษะปกคลุมไปด้วยความลึกลับ สั่นสะเทือนทั่วฟ้าดิน

แกมีร่างเทพอสูร

ข้าก็มีร่างเทห์สวรรค์เช่นกัน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย?!