ตอนที่ 840 การปฏิรูปครั้งใหญ่ ( จบ )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 840 การปฏิรูปครั้งใหญ่ ( จบ )

เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามอู่ บัดนี้ทางห้องเครื่องได้จัดอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้านหวางซุนอู๋หยาและพรรคพวกก็ได้ไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกันที่หอจิ้นสุ่ย

“ยังมิเลิกประชุมอีกหรือ…งานประชุมราชสำนักครานี้ยิ่งใหญ่สมชื่อเสียจริง” หยูซิ๋งเจี่ยนเอ่ยติดตลก

หวังฉาวเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “นี่ยิ่งพิสูจน์ได้ว่างานประชุมราชสำนักครานี้จะต้องมีการเคลื่อนไหวคราใหญ่เป็นแน่ พวกท่านลองคิดดูเถิด นโยบายของราชวงศ์หยูก็มีเขาเป็นผู้ผลักดันและดำเนินการ ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่ว่อเฟิงเต้าก็ล้วนประจักษ์แก่สายตาพวกเราแล้วทั้งสิ้น”

“บัดนี้เขากลับมาแล้ว นโยบายที่เคยใช้ในว่อเฟิงเต้าย่อมถูกนำมาใช้ที่นี่อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้พระปรีชาสามารถทั้งหมดของฝ่าบาทยังมิถูกงัดออกมาใช้จนหมดหรอก เวลานี้จึงจะเป็นช่วงที่สามารถแสดงพระปรีชาที่แท้จริงออกมา”

“น้องหวังเอ่ยมีเหตุผลยิ่ง ทว่าแท้จริงเขาได้เริ่มพัฒนาราชวงศ์อู๋มาช้านานแล้ว เจ้ารู้จักโม่โจวหรือไม่ ? โม่โจวที่เป็นส่วนหนึ่งของหนานชางทั้งแปดรัฐ เมื่อปีกลายเขาได้ขนย้ายข้าวพันธุ์ฟู่ซื่อต้ายมาจากซีซานและได้เก็บเกี่ยวเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นเอง ปรากฏว่าเก็บเกี่ยวข้าวต่อหมู่ได้ถึง 700 ชั่ง ! ไล่เลี่ยกับปริมาณผลผลิตที่ว่อเฟิงเต้าเลยทีเดียวเชียว”

หลู่ซีฮุ่นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “แม้ว่าจะขับเคลื่อนโนบายการค้าคู่การเกษตร แต่สำหรับแคว้นใดแคว้นหนึ่งข้าวถือเป็นรากฐานสำคัญ อีกทั้งมันเทศยังสามารถเก็บเกี่ยวได้มากถึง 7,000 ชั่งต่อ 1 หมู่ แปลงนาที่โม่โจวล้วนเป็นของเขาทั้งสิ้น ! ปีหน้าข้าวและมันเทศจะแพร่หลายในแปดรัฐแห่งหนานชาง เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้นราชวงศ์อู๋จะมีธัญพืชพอกินและพอขายอย่างแน่นอน”

“ขอเอ่ยกับพวกเจ้าอย่างมิปิดบังว่า เมื่อปีกลายตระกูลของข้าได้ประมูลซื้อโรงงานสุราหมักซีซานของจินหลิงได้สำเร็จ จึงได้รับกรรมวิธีการกลั่นสุราซีซานเทียนฉุนและเซียงเฉวียนมาด้วย บิดาได้ส่งช่างหมักสุรามายังแปดรัฐแห่งหนานชางแล้ว คาดว่าจะสร้างโรงงานหมักสุราแห่งใหม่ที่โม่โจว ราคาของข้าวย่อมลดต่ำลงและธุรกิจค้าสุราย่อมรุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นอน ! ”

เมื่อหวังฉาวเฟิงได้ยินดังนั้นก็ประคองสองมือขึ้นคารวะ “ช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งนัก มิรู้ว่าน้ำหอมและสบู่ต่าง ๆ จะตกไปอยู่ในมือของผู้ใด ? ”

“ตอนนั้นการประมูลเป็นไปอย่างคึกคัก องค์หญิงใหญ่ประมูลได้น้ำหอม ส่วนสบู่นั้นดูเหมือนว่าตระกูลซือหม่าจะได้ไปครอบครอง ช่างน่าเสียดายยิ่งที่เขามิได้ขายกรมสรรพาวุธซึ่งมีมูลค่าสูงสุด ทว่ากลับนำไปถวายให้แก่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูแทน”

“…อ่า นี่คงเป็นไมตรีสุดท้ายที่มีต่อกัน พวกเจ้าคิดว่าหากเขามิจากราชวงศ์หยูมาเยี่ยงนี้ อาณาจักรแห่งนั้นจะมีอนาคตที่สดใสมากเพียงใด ? ”

“พระราชโองการสุดท้ายของฮ่องเต้มีใจความว่าขอบคุณสำหรับทุกความช่วยเหลือที่เขามีต่อราชวงศ์หยูเสมอมา พร้อมประทานบรรดาศักดิ์ให้เขาเป็นเซิ่งกั๋วกง อีกทั้งยังประทานเมืองเปียนเฉิงและเมืองซินโจวให้อีกด้วย” หวางซุนอู๋หยาเบาเสียงลง จากนั้นคนที่เหลือก็เข้ามาสุมหัวกันทันใด

“อู๋จี้น้องชายของข้าเล่าว่า…เรื่องจริงมิได้เป็นเช่นนี้หรอก”

“แล้วเป็นเช่นไรเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หวางซุนอู๋หยาเหลียวซ้ายแลขวาจากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ลือกันว่าฮ่องเต้สั่งให้แม่ทัพใหญ่เผิงบุกเข้าไปยังแคว้นฮวงเพื่อ…” เขาใช้นิ้วกรีดไปที่ลำคอแทนคำเอ่ย “ผลปรากฏว่าแม่ทัพใหญ่เผิงมิได้กระทำการตามบัญชา แต่กลับไปรบกับกองทัพทหารดาบสวรรค์ของชาวฮวงจนแพ้ราบคาบทั้งสองฝ่าย”

“เดิมทีเขาต้องการไปปราบแคว้นฮวงเพื่อนำมาถวายให้แด่ฮ่องเต้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย ทว่า…สถานการณ์กลับพลิกผันเป็นเยี่ยงนี้เสียได้”

หวังฉาวเฟิงและคนอื่น ๆ อ้าปากค้างด้วยอารามตื่นตกใจ จากนั้นก็โพล่งออกมาว่า “มิแปลกใจเลยที่เขาใช้เกลือแทนดาบในการเอาคืนฮ่องเต้”

“หากเป็นเยี่ยงนั้นก็ยังดีหน่อย กลัวแค่ว่า…เขาจะส่งกองทัพบุกโจมตีราชวงศ์หยูเข้าสักวันน่ะสิ ! ”

“ความคิดของเจ้าช่างคับแคบยิ่งนัก เหตุใดข้าถึงเห็นว่าการที่เขาครอบครองราชวงศ์หยูไปเลยยังจะดีเสียกว่า ? เห็นกันอยู่ว่านับวันราชวงศ์อู๋ยิ่งแข็งแกร่งส่วนราชวงศ์หยูนับวันยิ่งล้าหลัง ในฐานะชาวหยู…”

“อู๋หยา หุบปาก ! เจ้าช่างกล้าเอ่ยเสียทุกเรื่องจริง ๆ ” หลู่ซีฮุ่นขัดจังหวะของหวางซุนอู๋หยาซึ่งประจวบเหมาะกับตอนที่เสี่ยวเอ้อยกอาหารมาวางที่โต๊ะพอดี

“มามามา มาดื่มสุรากัน พวกเรารอฟังข่าวกันต่อดีกว่า ! ”

……

……

ณ พระราชวังซวนเต๋อ ฟู่เสี่ยวกวนและเหล่าเสนาบดีได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็ประชุมราชสำนักต่อ

“นโยบายการค้าคู่การเกษตรจะถูกนำมาใช้ในราชวงศ์อู๋ด้วยเช่นกัน โดยให้เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แปลงนาหลวงทั้งหมดในโม่โจวจะถูกใช้เพาะพันธุ์ข้าวฟู่อู่ต้าย ราวปีหน้าคาดว่าทั่วทั้งราชอาณาจักรคงจะสามารถปลูกข้าวพันธุ์นี้ได้โดยถ้วนทั่ว”

“ข้าวพันธุ์นี้ก็มีข้อบกพร่องอยู่เช่นกัน หากมิใช่เมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่เพาะพันธุ์ออกมาโดยเฉพาะ ผลผลิตในปีถัดไปจะลดลงอย่างรวดเร็ว ! ”

เมื่อเขาเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ เหล่าเสนาบดีต่างก็พากันแตกตื่นขึ้นมาทันพลันพลางกระซิบกระซาบกันเสียงดังเซ็งแซ่

“ลดลงอย่างรวดเร็ว ? หมายความว่าหากเก็บข้าวเปลือกเอาไว้ก็ไร้ความหมายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าในปีหน้าผลผลิตที่ว่อเฟิงเต้าจะลดลงอย่างรวดเร็วใช่หรือไม่ ? ”

“เป็นแผนการที่ปราดเปรื่องมากยิ่งนัก ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูต้องทรงพระกรรแสงเป็นแน่ ! ”

มือทั้งสองของฟู่เสี่ยวกวนผสานเข้าหากัน จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อว่า “เมื่อข้าวและมันเทศเริ่มปลูกอย่างแพร่หลายเมื่อใด ราชวงศ์อู๋ของพวกเราจะมิขาดแคลนอาหาร หากมีเหลือเฟือก็สามารถขายไปยังแคว้นอื่นได้อีกด้วย”

“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของกรมการค้าก็แล้วกัน”

“กองเกษตรควรให้ความสำคัญต่อมันเทศเป็นพิเศษ เพราะมันสามารถเก็บไว้เป็นเสบียงได้เช่นกัน อีกทั้งเถาและใบของมันเทศยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย”

“ต้องสนับสนุนเกษตรกรให้เลี้ยงหมูตั้งแต่ปีนี้…”

เขายังเอ่ยมิทันจบ ทันใดนั้นเบื้องล่างก็มีผู้แสดงความเห็นต่างออกมา…“ฝ่าบาท เนื้อหมูมีรสชาติมิน่าพิสมัยและมีกลิ่นสาบ หากให้เกษตรกรเลี้ยงหมูจริง ๆ พอถึงเวลาพวกเขาจะไปขายเนื้อหมูให้กับผู้ใดกันพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเผยรอยยิ้มกว้าง ผู้ที่แย้งขึ้นมามีนามว่าเผิงฟาง ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้ากองเกษตรซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกรมโยธาธิการอีกทีหนึ่ง

“เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน ให้ใต้เท้าเผิงไปทำโรงเรือนเลี้ยงหมูที่กองเกษตร จากนั้นให้ซื้อลูกหมูอายุสิบวันหรือมากกว่ามาจากบ้านของเกษตรกรรายใดก็ได้ อย่าลืมซื้อแม่หมูมาด้วยล่ะ แล้วข้าจะสอนท่านเองว่าควรทำเยี่ยงไรต่อไป รับรองได้ว่าเนื้อหมูจะไร้กลิ่นสาบและมีรสชาติที่ดีมากยิ่งนัก ! ”

เหล่าเสนาบดีต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดโดยถ้วนทั่ว ฝ่าบาททรงทำอันใดเยี่ยงนี้เป็นด้วยหรือ ?

หากสามารถแก้ปัญหาได้จริงก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อราชอาณาจักรและราษฎร !

เพราะเนื้อหมูมีราคาถูก แน่นอนว่าราคาถูกกว่าเนื้อแกะมากโข

แกะ 1 ตัวน้ำหนักอยู่ที่ 100 ชั่ง หลังจากเชือดและทำความสะอาดแล้ว จะเหลือเนื้อเพียง 60 ชั่งเท่านั้น อีกทั้งยังต้องบวกเพิ่มค่าภาษี ค่าขนส่ง และค่าแรงงานจึงทำให้ราคาตลาดสูงถึง 60 อีแปะต่อชั่ง

สำหรับสามัญชนคนธรรมดา ถือเป็นราคาที่เอื้อมมิถึง

ทว่าเนื้อหมูมีราคาเพียงแค่ 10 อีแปะต่อชั่งเท่านั้น แม้ว่ารสชาติจะมิน่าพิสมัยแต่ก็เป็นเนื้อที่คนทั่วไปสามารถบริโภคได้

หากเนื้อหมูไร้กลิ่นสาบก็คงจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

ใต้เท้าเผิงรีบประคองมือคารวะ “ทูลฝ่าบาท เมื่อเลิกประชุมแล้ว กระหม่อมจะรีบไปจัดการทันทีพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อืม… ต่อไปมาเอ่ยถึงกรมการค้า”

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบสมุดบัญชีเล่มหนาเตอะขึ้นมา “นี่คือสมุดบัญชีที่เสนาบดีกรมคลังให้เจิ้นมาเมื่อปีกลาย จากที่เจิ้นได้อ่านคร่าว ๆ เจิ้นพบข้อน่าสงสัยบางประการ…”

เขาเงยศีรษะขึ้นมา “การขายเกลือและเหล็ก รวมไปถึงการขนส่งทางน้ำ ทั้งหมดนี้ควรเป็นแหล่งรายได้หลักจากการเก็บภาษีของราชวงศ์อู๋ ทว่าทั้งราชวงศ์กลับเก็บภาษีจากทั้งสามอย่างนี้ได้เพียงสองในสิบส่วนเท่านั้น”

“เมื่อปีที่แล้ว การเก็บภาษีจำนวนทั้งสิ้น 23 ล้านตำลึง มีภาษีเกลือและเหล็กเพียง 3 ล้านตำลึงและภาษีจากการขนส่งทางน้ำเพียง 1 ล้านตำลึง…”

เฉินซูหยวนเกิดหวั่นใจขึ้นมาในทันใด ขุนนางกว่าครึ่งในที่แห่งนี้ก็รู้สึกมิต่างกัน

จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่หันไปมองฟู่เสี่ยวกวนในจังหวะเดียวกัน ทั้งสองเคยชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในราชวงศ์อู๋ให้ฟู่เสี่ยวกวนฟังทั้งหมดแล้ว

สำหรับฐานะสองในเจ็ดตระกูลใหญ่ของราชวงศ์อู๋ พวกเขาย่อมเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มากมาย แต่ช่างบังเอิญตรงที่พวกเขามิเคยข้องเกี่ยวกับเกลือ เหล็ก และการขนส่งทางน้ำมาก่อน

การที่พวกเขาได้ชี้แจงเรื่องนี้แก่ฟู่เสี่ยวกวน มีจุดประสงค์เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน จะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเยี่ยงนี้หรือค่อย ๆ วางแผนจัดการก็ย่อมได้ คาดมิถึงว่าวันนี้ฝ่าบาทจะโยนคำถามออกมากลางที่ประชุมราชสำนัก…