ตอนที่ 841 ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 841 ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ( 1 )

ท่ามกลางความหวาดระแวงของทุกชีวิต ฟู่เสี่ยวกวนกลับวางสมุดบัญชีเล่มนั้นลง เขาส่งยิ้มออกมาอย่างมิแยแสและมิได้สืบสาวหาความแต่อย่างใด

“นับตั้งแต่บัดนี้สืบไป เขตการค้าเสรีจะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับกรมการค้า ต้องก่อตั้งเขตการค้าเสรีใกล้บริเวณด่านต้ายู่ซึ่งเป็นปราการด่านแรกของหกรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างแคว้นอู๋และแคว้นอี๋

ราชวงศ์อู๋จำต้องพัฒนาการค้าและอุตสาหกรรมขึ้นมา โดยสนับสนุนกิจการของผู้ประกอบการรายย่อยอย่างจริงจัง…ซึ่งก็คือช่างฝีมือหรือโรงงานเล็ก ๆ นั่นเอง”

“เพื่อให้เขตการค้าเสรีดำเนินการต่อไปได้ นับตั้งแต่วันนี้สืบไป ให้เกลือ เหล็ก และการขนส่งทางน้ำสามารถเปิดทำการค้าได้อย่างเสรี มิจำเป็นต้องมีใบอนุญาตค้าเกลืออีกต่อไป นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ราษฎรเข้ามาลงทุนได้อย่างเสรี”

“สำนักผูกขาดเกลือและเหล็ก สำนักกิจการขนส่งทางน้ำ หน่วยงานทั้งสองนี้มีหน้าที่รับผิดชอบเกลือ เหล็ก และการขนส่งทางน้ำของราชวงศ์อู๋เท่านั้น ขอสั่งห้ามมิให้เข้าไปแทรกแซงการค้าเกลือของภาคเอกชนหรือการที่เรือส่วนบุคคลรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตเป็นอันขาด”

“นี่คือกฎที่เจิ้นได้กำหนดเอาไว้ ! หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืน เจิ้น…จะตัดศีรษะมันผู้นั้นเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ! ”

เขาเอ่ยอย่างหนักแน่น เสียงดังก้องกังวาน

ทว่าเฉินซูหยวนรู้สึกข้องใจมากยิ่งนัก หากสองสิ่งนี้เปิดการค้าเสรี ตามหลักแล้วธุรกิจเกลือและเหล็กของตระกูลย่อมมิได้รับผลกระทบอันใดมากมายนัก ทั้งยังเป็นผลดีอีกต่างหากเพราะมิจำเป็นต้องมีใบอนุญาตค้าเกลือ แบบนี้จะขายให้กับผู้ใดที่ใดก็ย่อมได้ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันคงมิง่ายดายเยี่ยงนั้นเป็นแน่

แล้วปัญหาอยู่ตรงที่ใดเล่า ?

เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ และท้ายที่สุดก็มิอาจเข้าใจ

ส่วนเมิ่งฉางผิงเสนาบดีฝ่ายบริหารก็มิอาจเข้าใจได้เช่นกัน…ควรจัดการผู้ที่ครอบครองการค้าเกลือ เหล็ก และการขนส่งทางน้ำจึงจะถูก !

ควรใช้วิธีเด็ดขาดแย่งชิงการค้าเกลือ เหล็ก และการขนส่งทางน้ำมาจากมือของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วภาษีของราชวงศ์อู๋ย่อมเก็บได้มากกว่าเดิมถึง 10 ล้านตำลึงต่อปี

ทว่าฝ่าบาทกลับมิจัดการตระกูลเหล่านี้ ซ้ำยังปล่อยให้ราษฎรค้าขายและลงทุนได้อย่างอิสระเสรี เท่ากับว่ารายได้ภาษีจากสามสิ่งนี้จะยิ่งน้อยลงไปอีกมิใช่หรือ ?

สุดท้ายเมิ่งฉางผิงก็มิได้เปล่งวาจาคัดค้านอันใดออกมา เขาคิดว่าเมื่อเลิกประชุมราชสำนักเมื่อใดค่อยไปหารือกับฝ่าบาทอย่างละเอียดอีกครา พระองค์ยังด้อยชันษาและมิอาจขัดพระองค์ต่อหน้าสาธารณะชนได้ เขาเชื่อว่าหลังจากฝ่าบาทได้ฟังคำโน้มน้าวของเขาแล้ว ฝ่าบาทย่อมเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้แน่นอน

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจต่อเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าเสนาบดี จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อว่า

“รัชสมัยใหม่ก็ย่อมมีการปฏิรูปใหม่ ๆ ให้พบเห็น… ด้านการเกษตรให้ลดภาษีสามในสิบส่วน ด้านการค้าให้ลดภาษีสองในสิบส่วน ด้านเกลือ เหล็ก และการขนส่งทางน้ำให้เก็บภาษีเท่าเดิม”

“นอกเหนือจากธนาคารและเหมืองแร่ที่ต้องผ่านการตรวจสอบและอนุมัติ ในด้านอื่นของราชอาณาจักรรวมถึงการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต้องเปิดการค้าอย่างเสรีด้วย อนุญาตให้ทุกบุคคลสามารถลงทุนและมีส่วนร่วมในการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ! ”

“อาทิเช่น การสร้างถนนซึ่งสามารถให้ราษฎรเข้าไปลงทุนได้อย่างเต็มที่ เมื่อถนนพร้อมใช้งานก็ให้จัดตั้งสถานีเก็บค่าผ่านทางซึ่งบริหารด้วยผู้ลงทุนเอง โดยจะมีหน่วยงานราชการคอยตรวจสอบการเรียกเก็บค่าผ่านทางพร้อมเรียกเก็บภาษี ส่วนผลประโยชน์ที่เหลือให้ตกเป็นของผู้ลงทุนทั้งหมด”

เหล่าเสนาบดีหน้าถอดสีขึ้นมาทันใด เพราะดูเหมือนจะมิค่อยถูกต้องเท่าใดนัก หากปล่อยให้ทำการค้าเสรีเช่นนี้ก็พานแต่จะทำให้ยุ่งเหยิงมิใช่หรือ ?

ทว่ายุ่งเหยิงตรงที่ใด พวกเขากลับมิสามารถชี้แจงได้ ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้แถลงนโยบายต่อว่า

“ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังกังวลใจต่อสิ่งใด มิว่าหน่วยงานราชการหรือภาคเอกชนจะต้องผ่านการตรวจสอบจากกรมการค้าและฝ่ายตรวจการทั้งสิ้น จะยังมีร่มเงาใต้แสงสุริยาที่เจิดจ้าเสมอ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่หน่วยงานราชการต้องทำ คือทำให้ร่มเงานั้นใหญ่ขึ้นกว่าที่เคยเป็น”

“นี่เรียกว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ทุกอย่างต้องแสดงศักยภาพผ่านตลาด พวกท่านจงจำเอาไว้ว่า การตรวจสอบมิใช่การเข้าไปแทรกแซง สามารถสำรวจได้ รายงานได้ ทว่าขุนนางทุกสำนัก ทุกตำแหน่งต้องหุบปากให้สนิท ! ห้ามวิพากษ์วิจารณ์เป็นอันขาด !

“ครั้งหนึ่ง ข้าเคยเอ่ยที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนว่า หน้าที่ของขุนนางคือรับใช้ราษฎร รับใช้เหล่าผู้ค้าขายและเกษตรกรรวมถึงช่างฝีมือ ! ”

“หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? หมายความว่า…ให้เข้าไปแก้ไขปัญหาที่ราษฎรร้องเรียนต่อพวกท่าน เช่น ปัญหาการอนุมัติที่ดิน ปัญหาการรวบรวมเงินทุน ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม และปัญหาด้านความปลอดภัยของสถานที่ลงทุนเป็นต้น”

“…พวกท่านทั้งหลายจงจำเอาไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้สืบไปจงวางมือจากสิ่งที่ท่านถือครองแล้วปล่อยให้เกิดการลงทุนอย่างเสรีเสีย จากนี้พวกท่านจะได้เห็นราชอาณาจักรที่พัฒนาไปอย่างมีชีวิตชีวา หากใครหน้าไหนกล้าขัดขวางกระแสของการปฏิรูปนี้ เจิ้นขอยืนยันคำเดิมว่าระหว่างคอของพวกท่านกับดาบในมือของเจิ้นนั้น สิ่งใดจะแข็งกว่ากัน ! ”

“อีกประการหนึ่ง ให้สนับสนุนราษฎรในการประดิษฐ์ริเริ่มสิ่งใหม่อย่างแข็งขัน ให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาวิจัยเพื่อศึกษานวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา นี่เป็นหน้าที่ของกรมการค้า หยุนซีเหยียนและจงสือจี้จะต้องหาเวลาว่างเพื่อร่วมกำหนดนโยบายให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา”

“…”

ท่ามกลางสีหน้างุนงงของเหล่าเสนาบดี เวลาก็ได้ผ่านไปอีก 3 ชั่วยามจนราตรีกาลมาเยือน บัดนี้โคมไฟภายในพระราชวังซวนเต๋อถูกจุดขึ้นมาจนสว่างไสว

วันนี้มีข้อมูลข่าวสารแน่นขนัด แม้แต่จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ที่เป็นขุนนางเก่าแก่ก็มิอาจซึมซับได้ทั้งหมด

ฟู่เสี่ยวกวนก็ดูเหมือนรีบร้อนที่จะนำชุดความคิดขั้นต้นนี้สาธยายออกไปให้หมดสิ้น

หลิวจิ่นผู้ทำหน้าที่จดบันทึก ก็เพิ่งค้นพบว่าจดข้อความจนได้จำนวนหน้าหนาเตอะแล้ว

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน นโยบายการปฏิรูปหลัก ๆ ข้าก็ได้แถลงไปทั้งหมดแล้ว วันนี้ต้องลำบากซือหลี่เจี้ยนแล้ว ขอให้ทุกท่านนำถ้อยคำที่จดบันทึกเอาไว้ ไปจัดทำเป็นรูปเล่มและพรุ่งนี้ให้หาโรงพิมพ์หนังสือเพื่อจัดการพิมพ์ออกมา ขุนนางทุกท่าน…ขอเน้นย้ำว่าขุนนางทุกท่านรวมถึงนายอำเภอทุกคนต้องมีบันทึกนี้ไว้ในครอบครอง ! ”

“หลังจากนั้นให้ทางร้านหนังสือนำนโยบายนี้ตีพิมพ์และวางจำหน่าย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำให้ราษฎรทั่วทั้งราชวงศ์อู๋ทราบเรื่องการปฏิรูปครานี้ด้วย ! ”

“สุดท้ายนี้…เสนาบดีกรมโยธาธิการ เหว่ยชัง”

เหว่ยชังยืนขึ้นด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นก็โค้งคารวะ “กระหม่อมเหว่ยชังพร้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“พระตำหนักซวนเต๋อแห่งนี้ต้องปรับปรุงบางจุด พรุ่งนี้หลังจากเลิกประชุมราชสำนักแล้ว ท่านจงมาหาข้าที่ห้องทรงอักษร แล้วข้าจะบอกอีกคราว่าควรปรับปรุงเยี่ยงไร”

เหว่ยชังผงะพร้อมกับเงยศีรษะขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ทูลถามอย่างฉงนว่า “ทูลฝ่าบาท พระราชวังซวนเต๋อแห่งนี้…เพิ่งจะบูรณะใหม่ทั้งหมดเมื่อมินานมานี้พ่ะย่ะค่ะ”

“อ่า…มิใช่การบูรณะหรอก ทว่าเป็นการปรับปรุงให้ดีขึ้น พรุ่งนี้ท่านย่อมทราบเอง นั่งลงเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนกวาดสายตามองเหล่าเสนาบดีเบื้องล่างอีกครา “อีกเรื่องหนึ่ง…ช่างเถิด เลิกประชุมได้ ! ”

เดิมทีเขาอยากเอ่ยว่าหากมีเรื่องประการใดก็ให้ไปปรึกษาขุนนางอาวุโสจากสามสำนักนั้นโดยตรง เนื่องจากเขาต้องการเปลี่ยนมิให้มีการประชุมราชสำนักในทุกเช้าแล้ว อาจจะเปลี่ยนเป็นประชุมสองสามคราต่อหนึ่งเดือนแทน ทว่าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตนเพิ่งจะแถลงสิ่งใหม่ออกไปมากมาย พวกเขายังมิเข้าใจและย่อมมีข้อสงสัยอีกหลายประการ

ดังนั้นการเอาแต่ชี้นิ้วสั่งโดยมิทำอันใดก็เหมือนจะยังเป็นไปมิได้ในตอนนี้

เฮ้อ…นี่เป็นงานที่น่าเบื่อมากจริง ๆ มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดบิดาอ้วนถึงหนีเตลิดไปเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย

เหล่าเสนาบดีทั้งหลายเลิกประชุมท่ามกลางความงุนงง เมื่อออกจากพระราชวังซวนเต๋อลมหิมะก็ได้พัดสวนเข้ามา ทันใดนั้นวิญญาณก็พลันกลับเข้าร่างและได้ตระหนักขึ้นมาทันใดว่าการประชุมครานี้มีฝ่าบาทแถลงแต่เพียงพระองค์เดียว !

พลันนึกย้อนไปในรัชสมัยของจักรพรรดิเหวิน เหล่าเสนาบดีมักโจมตีพระองค์ที่ตรัสมิเก่ง ส่วนในรัชสมัยของจักรพรรดิอู๋แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ทว่าพระองค์ก็มักจะมีปากเสียงกับเหล่าขุนนางจนบานปลายเสมอ

มีเพียงจักรพรรดิเต๋อจงที่ตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์มาจนถึงบัดนี้ เขาเป็นคนที่ดูปกติที่สุด คราก่อนในการประชุมราชสำนักเขาเป็นผู้ฟังที่ดี แต่วันนี้เขาได้กลับกลายเป็นคนเอ่ยบ้างแล้ว

การประชุมวันนี้จึงไร้ความชุลมุนวุ่นวาย ไร้ความคิดทางการเมืองที่มิลงรอย สิ่งที่พระองค์แถลงไปทั้งหมดช่างลึกซึ้งเสียเหลือเกิน สิ่งที่พระองค์ตรัสออกมาทั้งหมดในวันนี้จะถูกต้องหรือไม่ ?

อาจจะถูกก็เป็นได้ เพราะพระองค์ได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามเมื่อคราที่ดำเนินนโยบายเหล่านี้ในราชวงศ์หยู และมีผลลัพธ์ที่ดีออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง

ชื่อหลางเฉินซูหยวนและขุนนางนับสิบจากสำนักตรวจสอบพระราชโองการเดินออกมาอย่างเซื่องซึม เพราะบัดนี้พวกเขาล้วนตระหนักได้ว่ารายชื่อที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งนั้นมิมีชื่อของพวกตนอยู่เลย !

พวกเขาทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ล้วนเป็นลูกหลานของสี่ในเจ็ดตระกูลผู้มีอำนาจแห่งราชวงศ์อู๋ !