GGS:บทที่ 924 ฆ่าเพื่อเตือน

 

โจรลักพาตัวถูกหวังเสี่ยวพาตัวไปยังสถานีตำรวจ ซูจิ้งและเหมาจิ้งหยูได้ส่งเสี่ยวรุยไปยังโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบร่างกายทั่วไป แน่นอนว่าซูจิ้งเองก่อนหน้านี้ทำการรักษาเสี่ยวรุยด้วยเวทย์ใบไม้ฯไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เพื่อให้แน่ใจยังไงซะก็ควรให้โรงพยาบาลตรวจสอบอีกทีดีกว่า

เพราะยังไงซะเวทมนต์ใบไม้ของเขานั้นรักษาได้เพียงร่างกายเท่านั้น มีพวกโรคต่างๆที่เขานั้นไม่สามารถรักษาได้อยู่ หรือจะพูดได้อีกอย่างว่าเวทมนต์ใบไม้ของเขานั้นยังไม่สมบูรณ์นั่นเอง

ซูจิ้งและเจ้าหน้าที่คนอื่นก็ได้อยู่รอจนผลตรวจออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาจึงแยกออกจากเสี่ยวรุย

 

แต่ก่อนที่จะจากกันซูจิ้งได้มอบดอกไม้จากเถาวัลย์กินคนและบอลเถาวัลย์กินคนอีกห้าลูกให้เสี่ยวรุยและกำชับให้เขานั้นต้มดอกไม้ของเถาวัลย์กินคนดื่ม

และบอกวิธีใช้บอลเถาวัลย์กินคนให้ฟังว่าเมื่อเกิดอันตรายให้เขานั้นทำการบีบให้แตกแล้วเขวี้ยงไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าเสี่ยวรุยจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร

แต่ตอนนี้เขาจำทุกคำของซูจิ้งเอาไว้และแน่นอนว่าคราวนี้เขาจะไม่พลาดอีกแล้ว

 

ในเรื่องที่เลือดของเสี่ยวรุยที่ถูกดูดออกไป พร้อมทั้งข้อมูลการตรวจสอบสภาพร่างกายของเสี่ยวรุยที่ถูกปล่อยออกไปขายนี้ เอาจริงๆหากพวกนั้นได้อะไรไปจริงๆมันก็ถือว่าดีต่อเสี่ยวรุยนั่นก็เพราะว่านี่จะทำให้เสี่ยวรุยไม่เป็นที่ต้องการตัวอีกต่อไป

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนสนใจในตัวของเสี่ยวรุยอีก หรือคนที่ได้ข้อมูลไปอาจจะไม่ได้อะไรเลยสักนิดก็เป็นได้

หากเกิดเหตุการณ์นั้นก็เป็นไปได้ว่าคนพวกนั้นอาจจะเลือกที่จะจับตัวเสี่ยวรุยไปอีกครั้ง แน่นอนว่ายังไงก็ต้องป้องกันไว้ก่อนเป็นดี

 

หลังจากออกจากโรงพยาบาล ซูจิ้งได้โทรศัพท์ออกไปสองครั้ง สายหนึ่งโทรไปยังไป๋ฮิตูและอีกสายหนึ่งโทรไปยังหลัวฉือหลินเพื่อจะคุยเรื่องของตลาดมืดที่โจรลักพาตัวเอาข้อมูลไปขาย

ทั้งสองได้เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ทันที ทั้งสองได้แสดงตัวว่ามีข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบร่างกายของเสี่ยวรุยอย่างมาก ไม่เพียงแต่นั้นยังรวมถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ของซูจิ้งด้วย ไม่ว่าจะเป็นความลับของดอกไม้ไฟเวทมนต์ เมล็ดพันธุ์ใบยาสูบ และเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงิน

คืนนั้นก็ได้มีใครบางคนติดต่อไป๋ฮิตูและนัดพบกันในทันที

“มีอะไรมาเสนอ”  หนึ่งในชายท่าทางกำยำสี่คนที่นัดพบถามออกมา

“ไม่ใช่ว่าพวกแกต้องข้อมูลของเสี่ยวรุยไม่ใช่รึ” ไป๋ฮิตูถามออกมา

“ก็จริง เอาออกมาดูซะ หากแกตุกติกล่ะก็แกโดนแน่” ชายอีกคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเยือกเย็น

ไป๋ฮิตูได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาได้ก้าวเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นในทันที

“รนหาที่ตาย” หน้าของชายทั้งสี่คนเปลี่ยนสีในทันที พวกเขาได้หยิบปืนออกมาแล้วรีบยิงออกไปในทันที

แต่นั่นก็เปรียบได้ดั่งการเร่งเวลาไปสู่แม่น้ำยมโลกของทั้งสี่คนให้เร็วขึ้น ไป๋ฮิตูได้พุ่งตัวเขาไปในทันที พร้อมทั้งสแตนด์ของเขาเองก็ได้แสดงตัวออกมาและแน่นอนว่าทั้งสี่คนนั้นมองไม่เห็นอย่างแน่นอน

 

หอกของแสตนด์เองก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาในทันทีจนเกิดเป็นแสงสว่างที่อยู่ด้านหลังไป๋ฮิตู

ชายกำยำทั้งสี่เองก็ได้เห็นฉากที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนกัน นั่นก็คือลูกกระสุนที่สมควรจะเข้าเป้าแต่เหมือนกลับพวกมันได้ชนกับกำแพงเหล็กจนเกิดประกายแสงและกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง

โดยที่ไป๋ฮิตูนั้นทำเพียงแค่พุ่งเข้ามาโดยไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นแม้แต่น้อย และก่อนที่ทั้งสี่จะรู้ตัวก็ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดเกิดที่มือของทั้งสี่จนทำให้ปืนหล่นลงไปที่พื้นพร้อมมีมือพวกนั้นติดไปด้วย

และในขณะที่กำลังยืนอึ้งอยู่นั้น พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่คอพร้อมภาพแปลกราวกับว่าโลกกำลังพลิกกลับด้านก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะมืดลง

 

อีกฝาก ณ โรงงานผลิตก๊าซจากของเสีย ที่นั่น หลัวฉือหลินได้อยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้มีท่าทีระแวงอย่างเห็นได้ชัดและพยายามอยู่ห่างหลัวฉือหลินเอาไว้ห่างๆสักสองถึงสามเมตรและพวกเขานั้นได้บอกให้หลัวฉือหลินนำเอาตัวอย่างที่พวกเขาต้องการออกมา

“พวกแกต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินสินะ” หลัวฉือหลินถามออกมา

“แกเอามาด้วยรึเปล่าล่ะ” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆชายท่าทางลุกลี้ลุกลนถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่ได้นำมา” หลัวฉือหลินส่ายหัวปฏิเสธในทันที

ตอนนี้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีในทันที และเตรียมตัวที่จะเข้าเล่นงานหลัวฉือหลิน แต่ก็เท่านั้น สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้ปรากฎออกมาและได้กลายเป็นสายฟ้าพุ่งทะลุผ่านทุกคนไปในทันทีจนทั้งหมดนั้นหมดสติไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย

มีอีกกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ในรถก็ได้หยิบปืนออกมาโจมตีโดยที่หลัวฉือหลินเองก็ไม่ได้ระวังตัว ถึงจะเป็นอย่างนั้นหลัวฉือหลินเองก็มีความสามารถพอที่จะแก้ปัญหานี้ได้

ถึงตัวเขานั้นจะไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งเท่าไป๋ฮิตูก็ตาม แต่ถ้าสู้กันจริงๆไป๋ฮิตูก็สู้กับเขาไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าบนโลกใบนี้ต่อให้เป็นศิลปะการต่อสู้ที่เน้นความเร็วที่สุดก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับสายฟ้าแล้วยังไงก็ต้องสยบให้ต่อเขาอยู่ดี

 

เรื่องนี้เขานั้นรู้ดี แต่ยังไงซะร่างกายของเขาเองก็ไม่ได้ทนทานแต่อย่างใด ปกติเขานั้นได้จะใช้การหลบซ่อนในความมืดมิด และใช้สแตนด์ของเขาในการโจมตีแบบระยะไกล หากร่างกายของเขาโดนโจมตีเข้าล่ะก็ยังไงก็ตายได้เหมือนกัน

แต่กับกลุ่มคนที่เรียกได้ว่าไก่ที่อ่อนแอแบบนี้ ต่อให้เขายืนเฉยๆก็ไม่มีทางโดนยิงแม้แต่น้อย เพียงสแตนด์ของเขานั้นสามารถจัดการได้ก่อนที่พวกนั้นจะทำอะไร ต่อให้พวกนั้นยิงมาได้ สแตนด์ของเขาก็สามารถปัดป้องได้หมดอยู่ดี เต็มที่ก็แค่โดนถากๆเท่านั้น

 

ไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขายังคงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนทำให้บางกลุ่มเริ่มระวังตัวมากขึ้นและไม่ยอมกินเหยื่อง่ายๆอีก

แต่สำหรับเหล่าผู้ที่ถูกลวงไปแล้วต่างนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกและถูกจับกันไปเป็นแพ แน่นอนว่าถึงแม้คนพวกนี้จะโดนจับแต่ก็เป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อกที่มาทำหน้าที่แทนเฉยๆ พวกมันไม่รู้สักนิดว่าใครเป็นเจ้าของเงินทุนที่พวกมันนำมาใช้ดำเนินการซื้อขาย หรือที่เขาเรียกกันว่าตัวตายตัวแทนนั่นเอง

 

คราวนี้ซูจิ้งลงมือด้วยตัวเอง วิธีของเขาก็ง่ายๆเพียงแค่ใช้ความสามารถของพระธาตุผนวกเข้ากับความสามารถของหัวในพระสูตรและพระพุทธเพื่อให้คนเหล่านี้ลดการป้องกันทางจิตใจของตัวเองลง

หลังจากนั้นซูจิ้งจึงได้ใช้พลังวิญญาณและกระทำการสะกดจิตจนสำเร็จได้อย่างง่ายดาย หลังจากทุกคนได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้ง พวกเขาก็ได้แนะนำเรื่องต่างๆเกี่ยวกับตลาดมืดตลาดนี้ในทันที แทบจะเรียกได้ว่าพาไปทัวร์ได้เลยด้วยซ้ำ

พวกเขาแน่นอนว่าย่อมทรยศเพราะโดนสะกดจิตสมบูรณ์ไปแล้ว นอกจากว่าคนพวกนี้จะถูกคลายสะกดจิตด้วยคนที่มีระดับเดียวกับซูจิ้ง ไม่งั้นล่ะก็ คนพวกนี้จำเป็นข้ารับใช้ของซูจิ้งไปตอลดชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย

 

หลังจากทำการสะกดจิตสมบูรณ์ครบทุกคนและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตลาดมืดนี้มาจนเต็มไม้เต็มมือมาแล้ว ซูจิ้งก็ไม่ได้ต้องการใช้คนแบบนี้ เขาได้ใช้ท่วงทำนองแห่งความสงบและการสะกดจิตอีกครั้ง

โดยคราวนี้ซูจิ้งให้คนพวกนี้กลับไปเล่นงานองค์กรของตัวเอง และให้ทำในทางลับ ค่อยๆทำธุรกิจและทำเงินไปเรื่อยๆ แต่หาช่องทางเอามาให้ซูจิ้งให้ได้

ถึงแม้ว่าในคนกลุ่มที่คลุกคลีอยู่ในตลาดมืดนั้นในตอนนี้จะยังไม่มีใครที่ถือได้ว่าเป็นคนรวยจริงๆเลยสักคน มีแต่คนที่เกือบๆจะรวย แต่คนพวกนี้ก็ได้มอบเงินของพวกเขาเองให้ซูจิ้งเป็นจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวนแล้ว

 

การกระทำของไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินนั้นยังถือได้ว่าเป็นปริศนาและไม่มีใครรู้เลยว่าคนที่ก่อเรื่องในตลาดมืดในครั้งนี้เป็นใครกันแน่

ทั้งคู่ยังก่อให้เกิดขั้วอำนาจใหม่ขึ้นและสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดมืด ทำให้หลายๆคนที่เกี่ยวข้องกับตลาดมืดแห่งนี้เกิดปัญหาขึ้น และกลายเป็นว่าคนที่เคยเกี่ยวข้องก่อนหน้านี้เริ่มระแวงว่าพวกเขาจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย

 

ในบ้านพักแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนกำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่

“ตลาดมืดคืนนี้คึกคักแบบสุดๆไปเลย วันนี้มีของดีๆปล่อยออกมาตั้งหกอย่างไปแล้ว แถมยังเป็นของที่เราต้องการมากที่สุดอีกด้วยนั่นก็คือเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงิน ฉันอยากได้มันมากๆแต่ก็รู้ได้เลยว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะได้มันมา”

“ฉันลองดูแล้วนะดูเหมือนว่าจะมีการแลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้ว และไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย”

“แปลกแหะ การแลกเปลี่ยนในตลาดมืดตอนนี้มันง่ายไปรึเปล่า ของที่มีการลงขายนี่แม้แต่เจ้าเสือแห่งภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั่นก็ยังเคลื่อนไหวเองเลยนะ

ถึงแม้ว่าฉันไม่รู้ว่าหมอนั่นต้องการอะไรแต่คนอย่างหมอนั่นจะทำการแลกเปลี่ยนแบบดีๆนี่ทำเป็นด้วยเหรอนั่น”

“ก็จริง แถมในคืนนี้ของส่วนใหญ่ที่ทำการแลกเปลี่ยนกันเป็นของที่เกี่ยวกับซูจิ้งเสียด้วย พอนึกถึงว่ามีของอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับหมอนั่นหลุดออกมาแน่นอนว่าต้องมีหลายคนสนใจสุดๆแน่นอน

“คืนนี้เห็นว่ามีคนไปจับเพื่อนร่วมห้องตอนมหาวิทยาลัยของซูจิ้งมาขายนะ นายคิดว่าหมอนั่นจะจัดฉากรึเปล่า”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน เราลองปล่อยไปก่อนดีว่า ถ้าซูจิ้งออกมาลงมือเองล่ะก็จะกลายเป็นปัญหาแน่นอน”

 

ในขณะเดียวกันมีอีกหลายกลุ่มที่กำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในคืนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าทั้งตลาดมืดในตอนนี้นั้นวุ่นวายกันไปหมด

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่กลัวความตาย ส่วนใหญ่นี่เรียกได้ว่าขับรถตรงไปหาความตายเองเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าคนพวกนั้นกลัวซูจิ้งแต่ไม่กลัวที่จะเหยียบเงาของซูจิ้งก็ว่าได้ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ตลาดมืดแห่งนี้ไม่ได้ปลอดภัยอีกแล้ว