[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 5 ความภาคภูมิใจของขอทาน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

“นักปราชญ์คนสวย เจ้ามีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับต้าถังของเรา มีอะไรก็พูดมาได้เลย ไม่จำเป็นต้องปิดบังความคิดเห็นต่อหน้าเรา ข้อดีของประเทศอื่นสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศเราได้ เราต้องการจะฟังความคิดเห็นของคนต่างถิ่น” 

 

 

ไฮปาเทียคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าเดินทางจากดินแดนรกร้างเข้าไปในเมืองที่เรียกว่าซาโจว ข้าอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามเดือนเพื่อที่จะสร้างทักษะทางภาษา พอจะมีความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับเมืองนี้อยู่บ้าง ความรู้ที่ลึกซึ้งที่สุดที่คนต้าถังให้แก่ข้าเสมอมาคือความภูมิใจ โปรดอย่าโกรธที่ข้าใช้ขอทานเป็นตัวอย่าง ต้าถังเองก็มีขอทาน มีคนแบบนี้อยู่ทั่วทุกเมืองบนโลกใบนี้ พวกเขาจะร้องขอเงินและอาหาร แต่ขอทานของต้าถังนั้นแปลกประหลาดมาก พวกเขาจะขอเงินและอาหารจากชาวถังเท่านั้น ข้าเห็นชายร่างผอมขอทานอยู่ข้างถนน แค่ชาวถังให้ขนมพายครึ่งชิ้นเขาก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เห็นว่าเสื้อผ้าของเขามีรอยขาด ข้าก็ให้เงินเขาสองสามตำลึง เขาไม่แม้แต่จะมอง ซ้ำยังถ่มน้ำลายใส่ข้าอีกด้วย ตอนนั้นข้ารู้สึกน้อยใจมาก คิดไม่ออกว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ได้คุยกับขุนนางท่านนี้ จึงได้รู้ถึงเหตุผล 

 

 

ข้าถามขุนนางว่าชาวต้าถังภูมิใจในตัวเองมากเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้อื่นเกลียดชังหรือ คำตอบของขุนนางทำให้ข้าตกใจอย่างมาก เขาบอกว่าแต่ไหนแต่ไรมาต้าถังไม่เคยคิดจะทำให้ใครชอบ แต่มักจะทำให้คนรู้สึกเกรงขาม คนที่เกิดในประเทศเล็กๆ อย่างข้ายังไม่เคยมีความภาคภูมิใจในตัวเองเช่นนี้เลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะนี่คือประเทศใหญ่ มีจิตใจของประเทศที่แข็งแกร่ง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเอาใจใคร แค่ต้องการให้พวกเขาเกรงขามก็พอ 

 

 

ช่วงนี้ทูตต่างแดนมายังฉางอันมากมาย โดยเฉพาะชาวฉ่าวหยวนผู้ดุร้าย แต่เมื่อเห็นพวกเขาสั่นสะท้านภายใต้การตะคอกของเจ้าหน้าที่แห่งเมืองฉางอัน ข้าจึงรู้ได้ทันทีว่าข้าได้มายังประเทศที่มีอำนาจมากแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีต่อท่านฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้ที่ได้ปกครองประเทศมหาอำนาจแห่งนี้” 

 

 

หลี่ซื่อหมินหัวเราะดังลั่น แม่ทัพทุกคนก็พากันหัวเราะเสียงดังตาม แม้แต่จั่งซุนอู๋จี้ที่ปกติไม่ค่อยแสดงสีหน้าก็ยังแสดงออกอย่างมีความสุข ฝางเสวียนหลิงลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “นักปราชญ์ผู้งดงาม ข้าเชื่อว่าตอนนี้เจ้าเป็นศาสตราจารย์ของสำนักศึกษาภูเขาอวี้ซัน ด้วยความเคารพในความรู้อันลึกซึ้งของท่าน ในนามของฝ่าบาท ข้าขอเรียนเชิญให้ท่านเข้าร่วมพิธีอันยิ่งใหญ่ที่จะมีในอีกหนึ่งเดือนถัดจากนี้ เมื่อถึงเวลานั้นทุกประเทศในดินแดนแถบนี้จะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าในการศึกษาวัฒนธรรม การเมือง และการทหารของราชวงศ์ถัง” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยกระซิบบอกไฮปาเทียเบาๆ เกี่ยวกับสถานะของฝางเสวียนหลิง ไฮปาเทียโค้งคำนับขอบคุณด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดกับฝางเสวียนหลิงว่า“ขอบคุณท่านสมุหนายกเป็นอย่างมาก การเชื้อเชิญเช่นนี้เป็นเกียรติแก่ข้าอย่างมาก” 

 

 

ดูไฮปาเทียทำความรู้จักกับผู้ยิ่งใหญ่ของต้าถังทีละคนภายใต้การแนะนำของฝางเสวียนหลิง ทั้งสุภาพและมีมารยาท ดูเหมือนว่าเกิดมาเพื่อทำความรู้จักกับผู้ที่มีอำนาจโดยเฉพาะ ไม่เห็นเหมือนผู้หญิงที่นั่งตัวสั่นตอนที่เหย่าเหนียงแทงปิ่นปักผมใส่เลยสักนิดเดียว 

 

 

เอาไหล่สะกิดหลี่เฉิงเฉียนแล้วพูดว่า “หัดเรียนรู้เอาไว้บ้าง ไม่ใช่ว่าเห็นเสด็จพ่อทีไรก็เข่าอ่อน หัดดูนางเอาไว้บ้าง อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงรัชทายาทของต้าถัง ควรจะมีความสง่างาม” 

 

 

“อย่าเอาแต่ว่าข้า เจ้าก็หลบทุกครั้งที่เจอเสด็จพ่อข้าไม่ใช่หรือ หากเจ้าเก่งจริงก็ไปยืนทำท่าทางสง่างามต่อหน้าเขาดูสิ คงโดนตบหน้าไปแล้ว การกลัวเสด็จพ่อข้าไม่ใช่เรื่องน่าอาย ในต้าถังมีใครไม่กลัวบ้าง เจ้าลองไปหามาให้ข้าดูสักคนสิ” 

 

 

“เหลวไหล พวกที่ไม่กลัวเสด็จพ่อเจ้าโดนฝังดินไปนานแล้ว ต่อไปนี้ข้าหลบหน้าเขาต่อไปจะดีกว่า ชอบใช้คำขู่เฆี่ยนหนึ่งพันครั้งมาทำให้ข้าตกใจ เจ้าพูดมาสิว่าข้าทำอะไรผิดไป ต้องถูกเฆี่ยนหนึ่งพันทีเชียวหรือ” 

 

 

“ตามกฎหมายของต้าถัง การที่เจ้าถูกเฆี่ยนหนึ่งพันครั้งไม่ได้ถือว่าเยอะเลย ลองคิดถึงสิ่งที่เข้าทำดูสิ มีเรื่องไหนที่ถูกกฎหมายบ้าง เจ้ามักจะเจาะช่วงโหว่ของกฎหมายเสมอ คาดว่าเสด็จพ่อข้าคงอยากจะตีเจ้าให้ตายไปนานแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นช่วยไปไกลๆ ข้าด้วย ไม่ต้องมาลากข้าไปเกี่ยวด้วย” 

 

 

จั่งซุนชงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว หากข้าตั้งใจจะพาไปเลี้ยงดูที่บ้าน พวกเจ้าจะว่าอย่างไร” 

 

 

“ไม่มีทาง ข้าต้องเป็นคนที่พานางกลับไปเลี้ยงดูที่บ้านต่างหาก เมื่อถึงตอนนั้นก็มาดูกันเถิดว่าวิธีของใครจะได้ผล” 

 

 

จั่งซุนชงพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “คนชั่ว เรื่องเกลี้ยกล่อมผู้หญิง เจ้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู่ของข้า ข้าอ่านคัมภีร์ทั้งห้ามาตั้งแต่เด็ก แล้วยังเรียนเสริมเรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์จากสำนักศึกษา วิชาเหล่านี้สามารถดึงดูดผู้หญิงชาวหูอย่างนางได้เป็นอย่างมาก เจ้าจะใช้เงินมาล่อให้ผู้หญิงคนนี้กลับบ้านกับเจ้าไม่ได้หรอก” 

 

 

“เจ้าทำได้แล้วทำไมข้าจะทำไม่ได้ แม้ว่าข้าจะแย่กว่าเจ้านิดหน่อย แต่ว่าข้าสามารถเทียบทักษะการขี่ม้ายิงธนูกับเจ้าได้ สาวงามกับวีรบุรุษเป็นของคู่กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ครั้งนี้ข้าได้ไล่ตามฆ่ารัชทายาทเกาชังไปหลายพันลี้ มีความกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างมาก เจ้าคงไม่ไปบอกกับสาวงามเรื่องที่เจ้าตัดหัวคนไปหนึ่งกองหรอกนะ พรุ่งนี้จะไปคุยเรื่องความรู้กับสาวงามที่สำนักศึกษาเพื่อทำความคุ้นเคยก่อนสักหน่อย” 

 

 

สำหรับเจ้าคนสมองฝ่อสองคนนี้ อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็พูดไม่ออกเลย ดึงหลี่เฉิงเฉียนเข้าไปในฝูงชนเพื่อทักทายท่านลุงทั้งหลาย สำหรับเรื่องที่ไฮปาเทียครองตนเป็นสาวพรหมจรรย์ก็ไม่จำเป็นต้องบอกคนงี่เง่าสองคนนี้ให้มากความ 

 

 

การที่มีคนรู้ว่าฮ่องเต้อยู่ที่นี่จะเป็นเรื่องไม่ดีเท่าใดนัก หากจะพักอยู่ที่นี้ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้แขกที่มาหอเอี้ยนไหลโหลวจะเยอะหรือไม่ มีคนกลุ่มใหญ่แห่กันไปที่หอจุ้ยเฟิงโหลวที่ท้ายถนน ตระกูลอวิ๋นถือหุ้นหอจุ้ยเฟิงโหลวครึ่งหนึ่ง แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยยังไม่เคยไปสักครั้งเลย 

 

 

ไฮปาเทียได้รับเชิญจากฮ่องเต้ให้มาอยู่ที่ศาลาพักในฐานะแขกของฮ่องเต้ เมื่อได้รับสิทธิ์นี้ก็บอกลาฮ่องเต้ด้วยความดีใจ แต่กลับหันไปชูนิ้วสามนิ้วให้กับอวิ๋นเยี่ย 

 

 

“ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้จะเชิญชวนเจ้าไปที่ห้องของนางในเวลายามสามใช่หรือไม่” หลี่หวยเหรินและจั่งซุนชงที่ไม่เคยละสายตาจากไฮปาเทียได้เอ่ยถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัยในทันที เฉิงฉู่มั่วและหลี่เฉิงเฉียนก็ดูอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน ไม่เคยมีใครเชิญพวกเขาด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์เช่นนี้มาก่อน 

 

 

“ความจริงแล้วข้าก็อยากปีนเข้าไปในห้องของนางตอนยามสาม อยากลองความแตกต่างระหว่างผู้หญิงชาวถังกับชาวหู แต่ว่าที่นางชูสาวนิ้วไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพื่อที่จะช่วยคนงี่เง่าอย่างพวกเจ้าทั้งสี่คนข้าจึงถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาที่ทำให้ประเทศต้องอับอายขายหน้า เงินเดือนนางต้องเพิ่มขึ้นอีกสามในสิบส่วน แล้วยังต้องให้หอส่วนตัวกับนางอีกหนึ่งหลัง เมื่อครู่นางได้เตือนข้าว่าอย่าลืมเรื่องขึ้นเงินเดือน” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยปัดนิ้วสองนิ้วที่กำลังจะมาแตะบนจมูกออกแล้วอธิบายให้พวกเขาฟังด้วยความหงุดหงิด พวกคนสมองกลวง ไม่มีใครมีไหวพริบเอาซะเลย 

 

 

ทั้งสี่คนมองมาที่อวิ๋นเยี่ยด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นก็ตามกลุ่มคนเดินเข้าไปในหอจุ้ยเฟิงโหลว 

 

 

การดื่มเหล้ากับคนแก่เฒ่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในโลก เมื่อพวกเขาดื่มเหล้า เจ้าก็ต้องยืนอยู่ข้างๆ เพื่อปรนนิบัติ เหตุผลก็คือการดื่มเหล้าวันนี้จะไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้ ไม่มีตำแหน่งขุนนาง มีเพียงลำดับการเกิดเท่านั้น 

 

 

หากนับจากตำแหน่งของอวิ๋นเยี่ยยังมีที่นั่งอีกหนึ่งที่สามารถนั่งได้ แต่หากเรียงตามอายุก็คงจบกัน ในห้องนี้เขาและหลี่เฉิงเฉียนเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด ดังนั้นเมื่ออีกคนถือไหเหล้าอีกคนก็ต้องถือช้อนไม้ คอยปรนนิบัติเทเหล้าให้คนแก่เฒ่า จั่งซุนชงถูกใช้ให้ไปตีกลอง ขณะที่หลี่หวยเหรินถูกใช้ให้ไปเก็บดอกไม้ ส่วนเฉิงฉู่มั่วนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าแจกันดินเผาอย่างเงียบๆ เพื่อคำนวณคะแนนการขว้างธนูลงในแจกันของพวกผู้เฒ่า 

 

 

แม้อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ทว่าผ้าม่านบนชายคาถูกพัดไปมาไม่หยุด คนสองคนที่หลบอยู่ข้างนอกช่วยกันดึงม่านอย่างยากลำบาก อวี้ฉือกงเป็นผู้ที่ดูน่าเกรงขามอยู่เสมอ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยตักปลาหิมะใส่ชามให้เขาแค่ตัวเดียวก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงหยิบมาจากจานอีกหนึ่งกำมือยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เอ่ยถามอวิ๋นเยี่ยเสียงดังว่าตอนมาหาคณิกาเหตุใดจึงไม่เรียกลูกชายผู้โง่เขลาของเขามาด้วย 

 

 

“พี่อวี้ฉือกำลังจะเดินทางไกล แน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้นต้องมีงานเลี้ยงอำลา แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะสม ท่านเองก็เพิ่งกลับมาจากราชการที่เมืองเหยียนโจว เวลาที่พ่อลูกจะได้อยู่ด้วยกันเหลืออีกไม่มากแล้ว จะเรียกให้เขามาก่อเรื่องในเวลานี้ได้อย่างไร” 

 

 

คำพูดนี้ทำให้อวี้ฉือกงตกตะลึงอยู่เล็กน้อย เขารักอวี้ฉือเป่าหลินมาก เขากังวลเล็กน้อยที่คราวนี้ลูกชายต้องไปรับราชการส่วนท้องถิ่น 

 

 

“เป่าหลินเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา พวกเจ้าต้องคอยช่วยเหลือเขาให้มาก เจ้าเด็กคนนี้ไม่พอใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นแม่ทัพ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมาก ข้าเป็นนายพลมาตลอดชีวิตจนตอนนี้ล้มป่วย เหล่าฉินคงไม่มีชีวิตอยู่รอดมาถึงสองสามปีหากไม่มีเจ้าดูแล ข้าได้ยินมาว่าขาของหลี่จิ้งผิดปกติ อาการแย่ลงเรื่อยๆ จนเริ่มจะเดินไม่ได้แล้ว ข้าเพียงแค่หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง ข้าขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า” 

 

 

ตาเฒ่าผู้นี้หัวแข็งมาทั้งชีวิต ปกติไม่เคยยอมใคร ตอนนี้ต้องก้มหน้าอ้อนวอนลูกหลาน ต่อให้เป็นคนเข้มแข็งขนาดไหนก็ย่อมมีจุดอ่อน 

 

 

“ท่านลุงดูถูกเป่าหลินแล้ว ท่านคิดว่าเป่าหลินทำตัวว่างทั้งวันอยู่ในสำนักศึกษาหรือ การเรียนของเขานั้นซับซ้อนเกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้ การเกษตร การนับปฏิทิน การค้า กฎหมายและมาตรการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ คนในสำนักศึกษาที่เคยเป็นผู้พิพากษาไม่ได้มีแค่หนึ่งคนสองคน เอกสารราชการที่เป็นลายลักษณ์อักษร ประสบการณ์ชีวิต มีอะไรบ้างที่เขาไม่อยากเรียน ถึงแม้ว่าเป่าหลินจะไม่ใช่คนฉลาดแต่เมื่ออยู่ในสำนักศึกษาเขาขึ้นชื่อเรื่องความพากเพียร ผู้อื่นท่องจำบทความสามรอบก็จำได้แล้ว แต่เขาต้องท่องหกรอบถึงสิบรอบ พยายามอย่างมากมายก็ได้รับมาอย่างมากมายเช่นเดียวกัน หลายครั้งที่ข้ามาเยี่ยมเขาที่ห้องนอนในตอนกลางคืน เขาก็ยังคงอ่านหนังสืออย่างหนัก 

 

 

ท่านคิดว่าอาจารย์หลี่กังโปรดปรานเป่าหลินโดยไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้ว ท่านลุง เป่าหลินแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด การสร้างสะพานในเมืองหลวงและการสร้างถนนก็เป็นสิ่งที่เขากำลังเรียนรู้ เขาได้นำคาราวานของตระกูลอวิ๋นไปค้าขายกับพ่อค้าที่นอกกำแพง ไม่มีใครช่วยเขาแต่เขาก็ยังหาเงินจำนวนมากกลับมาได้ ข้ายังคาดหวังว่าจะให้เขาขุดคลองในเหอเป่ยให้ข้า เพื่อกองทัพเรือของข้าจะตรงไปยังเมืองหลวงโดยผ่านเหอเป่ยได้อย่างสะดวก” 

 

 

ดวงตาของอวี้ฉือกงสดใสขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เขาจับมืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เป่าหลินทำสิ่งเหล่านี้ได้เช่นนั้นหรือ” 

 

 

“นอกจากเขาแล้วข้าก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเลือกใคร จั่งซุนชงเป็นคนฉลาดแต่ไม่ชอบความลำบาก หลี่หวยเหรินก็ไม่แย่ แต่ด้วยนิสัยของเขาจะทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย ส่วนฉู่มั่วนอกจากเป็นทหารแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก ท่านลุงเฉิงของข้าอ้อนวอนต่อฝ่าบาทอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมตกลง ตอนนี้พวกเป่าหลินกำลังเร่งสร้างแบบจำลอง คาดว่าเสร็จไปแล้วแปดในสิบส่วน หากท่านว่างก็ไปดูผลงานพวกเขาที่สำนักศึกษาเถิด ท่านจะได้คลายความกังวล หากมีท่านอยู่ในราชสำนัก ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครมาหยุดเป่าหลินจากการบรรลุความสำเร็จนี้ได้” 

 

 

อวี้ฉือกงหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วพูดอย่างเน้นย้ำว่า “หากใครกล้าขัดขวางความสำเร็จของลูกข้า ผู้นั้นถือว่าเป็นศัตรูของชีวิตข้า ไอ้หนุ่ม หลังจากที่เป่าหลินประสบความสำเร็จแล้ว ข้าจะพาเขาไปที่สำนักศึกษาของเจ้าเพื่อขอบคุณอาจารย์หลี่กัง พวกเราสองพ่อลูกจะเขาขอบคุณด้วยกัน!” 

 

 

เมื่ออวี้ฉือกงคลายความกังวลลงแล้ว เขาก็มีความสุขขึ้นมาทันที ตะโกนสุดเสียงเพื่อชวนสหายมาดื่มเหล้า สหายเหล่านั้นก็ไม่มีใครปฏิเสธเขาเลยสักคน แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็ถูกลากเข้ามาร่วมด้วย เห็นเขาท่าทางดูมีความสุข หลี่ซื่อหมินก็อดมองไม่ได้ เขาเข้าใจนิสัยใจคอแม่ทัพที่ตัวเองช่วยเหลือมากับมือเป็นอย่างมาก แค่ดูก็รู้แล้วว่ายามนี้อวี้ฉือกงกำลังดีใจมากจริงๆ 

 

 

เขารู้ว่าเหตุใดอวี้ฉือกงจึงได้กังวลใจ ตอนนี้เห็นว่าอวี้ฉือกงคิดได้แล้ว ปัญหาของตัวเองก็ลดน้อยลงไป ความสนุกในการดื่มเหล้าจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นเยี่ยที่ยุ่งอยู่ก็แทบจะเทเหล้าไม่ทัน 

 

 

มีขุนนางนักปราชญ์หลายคนที่ทนต่อการดื่มแบบนี้ไม่ได้ เหล่าหวังกุยเอามือตบโต๊ะแล้วพูดเสียงดังว่า “ทำเกินไปแล้วข้าคิดว่าตอนนี้เราควรเริ่มที่จะดื่มเหล้าพร้อมกับเขียนบทกวีกันได้แล้ว”