[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 6 เล่ห์กลแต่งบทกวี

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลี่จิ้งหัวเราะแล้วพูดว่า “เหล่าหวัง เจ้าดื่มเหล้าไม่ได้ก็พูดมาตามตรง มันเรื่องอะไรที่ต้องเอาความสามารถของตัวเองมาอ้าง”

หวังกุยตอบกลับว่า “พวกข้าทั้งห้าคนเป็นคนอ่อนโยน พวกเจ้าเอาวิธีคนป่าเถื่อนดื่มเหล้ามาใช้กับข้า อย่าให้ข้าต้องใช้วิธีอย่างสุภาพบุรุษตอบโต้กลับ บอกไว้แล้วว่าจะแต่งบทกวี หนึ่งคนต่อหนึ่งบทกวี ใครแต่งไม่ได้ก็ดื่มเหล้าไปซะ”

หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่มองดูพวกเขาโจมตีกันไปมา ตัวเองหยิบองุ่นขึ้นมาสองลูกแล้วละเลียดชิมอย่างช้าๆ จะแต่งบทกวีก็ดี จะแข่งกันดื่มเหล้าก็ดี สำหรับพวกเขาแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไฉเซ่าก็นั่งนิ่งไม่ขยับตัวไปไหน เขาฝึกฝนทางด้านวรรณกรรมและการต่อสู้มา ในช่วงปีแรกๆ เขาชอบเดินเตร่ไปทั่วเมืองฉางอัน มีชื่อในกลุ่มผู้นำพวกลูกคนรวยที่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย

หลี่จิ้งไม่เกรงกลัว เขาเองก็ถือได้ว่าเป็นคนที่แต่งร้อยแก้วได้ยอดเยี่ยม หลี่จีผู้น่าสงสารเกิดในครอบครัวจอมยุทธ์จึงไม่มีความสามารถในการแต่งบทกวี เห็นว่าจั่งซุนชงที่กำลังถือไม้ตีกลองยิ้มเยาะตัวเองก็รีบเข้ามาคว้าตัวเขากดลงข้างๆ ตัวเองเพื่อที่จะใช้เขาเป็นมือปืน

จั่งซุนอู๋จี้ถามหลี่จีด้วยความเบื่อหน่ายว่า “เจ้าจับลูกข้าทำไม หากจะช่วยเขาก็ควรจะช่วยข้า”

“จั่งซุน เจ้าพูดผิดแล้ว เจ้าไล่ขุนนางนักปราชญ์ออกไปแล้ว นั่นมันก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่ลูกชายของเจ้าเป็นแม่ทัพที่อยู่ภายใต้คำสั่งของข้า ยามนี้ผู้บัญชาการเดือดร้อน แม่ทัพอย่างเขาก็ต้องช่วยออกรับมิใช่หรือ”

จั่งซุนอู๋จี้ ฝางเสวียนหลิง และคนอื่นๆ พากันเอือมระอากับวิธีขี้โกงของเขา หลี่จีมักจะทำสิ่งที่แตกต่างเสมอ ไม่เดินสายคุณธรรม แม้แต่ไปสู่ขอผู้หญิงก็ยังต้องขอความช่วยเหลือจากฮองเฮาเพื่อเพิ่มสง่าราศีให้แก่ตัวเอง

“ไอ้หนุ่ม อีกสักครู่เมื่อเริ่มแต่งกวี มีข้ากับท่านลุงฉินของเจ้า ท่านลุงหนิว แล้วในส่วนของท่านลุงอวี้ฉือเจ้าก็ออกรับแทนก็แล้วกัน ไม่ต้องแต่งออกมาดีมาก แค่ตามน้ำไปได้ก็พอแล้ว”

เฉิงเหย่าจินรีบจัดหน้าที่ให้กับอวิ๋นเยี่ย ส่วนหลี่เฉิงเฉียนได้ถูกหลี่เฉี่ยวกงและหลี่เต้าจงเอาตัวไปแล้ว หลี่หวยเหรินถูกเตะไปสองทีเพราะเรื่องนี้ การแต่งบทกวีนั้นยากเกินไปสำหรับเขา

หวังกุยไม่สนใจ ก็แค่เด็กๆ ไม่กี่คน ตัวเอง ฝางเสวียนหลิง และตู้หรูฮุ่ยต่างก็เป็นนักกวีผู้ยิ่งใหญ่ จั่งซุนอู๋จี้และไฉเซ่าก็ไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร ฝ่ายตรงข้ามนอกจากหลี่จิ้งที่ถือว่าเป็นหมายเลขหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีใครน่ากลัว อวิ๋นเยี่ยโดดเด่นเรื่องคณิตศาสตร์แต่กลับอ่อนด้านบทกวี ไม่เคยได้ยินว่าเขาเขียนบทกวีที่มีชื่อเสียงมาก่อน จั่งซุนชงก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับพ่อของเขาแล้วก็ไม่มีทางที่เขาจะเก่งเกินกว่าพ่อตัวเองไปได้

ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินหลัก ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังท้อแท้เล็กน้อย เขาโปรดปรานการแต่งบทกวีในงานเลี้ยง แต่ว่าสถานะมักจะเป็นข้อจำกัดของเขาเสมอ ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงเขามักจะได้เป็นผู้ตัดสินอยู่เสมอๆ

จากนิสัยของหลี่ซื่อหมินแล้ว เมื่อไม่พอใจขึ้นมาจะชอบทำให้คนอื่นลำบากใจ ตัวเองไม่มีส่วนร่วมก็เลยรู้สึกไม่สนุก เช่นนั้นคนอื่นก็อย่าคิดว่าจะได้สนุกเลย เมื่อเริ่มอ้าปากพูดก็ได้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาทันที ในเมื่อเป็นการแต่งบทกวี เช่นนั้นกฎเกณฑ์ก็ต้องเป็นกลาง ต้องสอดคล้องกับรูปแบบและกฎเกณฑ์ทางภาษาของบทกวี อย่าให้เหมือนบทกวีที่เฉิงเหย่าจินแต่งเมื่อครั้งที่แล้ว ‘โอ้แม่เจ้า กิ่งไม้ช่างใหญ่อะไรอย่างนี้’ ที่ช่างไร้สาระ จะต้องมีความหมายถึงจะเป็นกวีที่ดี

ทันทีที่ออกกฎมาเหล่าแม่ทัพก็พากันบ่นไม่หยุด เมื่อก่อนพวกเขามักจะอาศัยกิ่งไม้ใหญ่ๆ พวกนี้มาแต่งเป็นกวีพอไหลไปตามน้ำได้ การทำเช่นนี้เท่ากับว่าฝ่าบาทลำเอียงไปทางขุนนางนักปราชญ์

“ไอ้หนุ่ม มีปัญหาหรือไม่ ฝ่าบาททรงยกระดับความยากให้มากขึ้น ดูแล้วคงจะไหลไปตามน้ำได้ไม่ดีเท่าไหร่” เฉิงเหย่าจินถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวลใจ เขารู้ว่าบทกวีไม่ใช่จุดแข็งของอวิ๋นเยี่ย แต่แม่ทัพสามารถขายหน้าในเรื่องนี้ได้ ทว่าจะขี้ขลาดไม่ได้เป็นอันขาด เป็นธรรมเนียมของทหารต้าถังที่จะกัดศัตรูให้ได้แม้ว่าตัวจะต้องตาย

“ท่านลุงอย่าได้กังวล เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น บทกวีที่ท่านเขียนไว้ก่อนหน้านี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว”

“เหลวไหล บทกวีบทนั้นข้าเขียนอย่างเร่งรีบ มีแต่เรื่องไร้สาระ จบกัน ไอ้หนุ่ม แม้แต่บทกวีของข้าเจ้าก็ยังชอบ ตอนนี้มีแปดในสิบส่วนที่เราจะแพ้การแต่งบทกวีครั้งนี้” หนิวจิ้นต๋า ฉินฉยง และอวี้ฉือกงรู้สึกแย่ไปตามๆ กัน

“ท่านลุง บทกวีที่พวกเขาทำขึ้นมาเป็นเพียงแค่เกมคำศัพท์ เพียงแค่จัดเรียงคำไปมาก็พอแล้ว นักแต่งบทกวีที่มีชื่อเสียงมักจะแต่งออกมาจากความรู้สึก นำจิตวิญญาณของตัวเองและร่างกายผสมเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าจะขาดจิตวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ กวีที่ออกมาเช่นนี้จะต้องมีความเศร้าโศก ความขุ่นเคือง ความเชื่อมั่นในตัวเอง หรือความวิตกกังวลเรื่องบ้านเมืองและประชาชน ความงามทางภาษาจึงจะสามารถแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ออกมาได้ การทรมานจิตวิญญาณจึงจะสามารถทำให้คนตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงแค่คำที่แสดงความงดงามแต่ไร้ประโยชน์ ถือว่าไม่ใช่บทกวีที่สมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่”

ได้ฟังสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยคุยโม้ ในที่สุดเฉิงเหย่าจินและคนอื่นๆ ก็คลายความกังวลได้ แต่คำพูดเหล่านี้ทำให้หวังกุยที่แอบนั่งฟังอยู่ข้างๆ รู้นึกโกรธสุดขีด ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าทำให้ข้าโมโห ไอ้หนุ่ม ในเมื่อกล้าพูดจาโอ้อวดดูถูกนักปราชญ์ หากวันนี้เจ้าไม่สามารถแต่งประโยคที่สอดคล้องกับกวีของข้าได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปบุกภูเขาอวี้ซัน ดูว่าเจ้าจะยังมีหน้าทำตัวเป็นศาสตราจารย์ไปสอนลูกศิษย์ได้อยู่หรือไม่”

หลังจากประณามอวิ๋นเยี่ยเสร็จแล้วยังใส่ไฟโดยการพูดความคิดเห็นที่อวิ๋นเยี่ยบอกกับทุกคนเกี่ยวกับการแต่งบทกวีอีกหนึ่งรอบ ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย และไฉเซ่าใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬทันที พวกเขาประณามอวิ๋นเยี่ยที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับผลงานด้านวรรณกรรมของคนทั่วโลก ต้องการให้เขาชดใช้

อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่นานแต่ก็คิดไม่ออกว่าในสมัยเจิงก้วนมีกวีอะไรบ้างที่มีชื่อเสียง บทกวีสองบทของหลี่ซื่อหมินที่ถูกจารึกไว้เพราะว่าเขาคือฮ่องเต้ นักประวัติศาสตร์ได้ไว้หน้าเขาจึงบันทึกกวีบทนี้ลงไป ส่วนของคนอื่นๆ นั้นไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ

“ไอ้หนุ่ม เจ้าช่างอวดดียิ่งนัก สัมผัสที่คล้องจองเป็นกฎการสัมผัสแบบใหม่ มันเป็นสิ่งที่มีขึ้นมาในช่วงแรกๆ ของต้าถัง ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าใจกว้าง เช่นนั้นก็แต่งบทกวีดีๆ มาให้เราฟังสักบท มิเช่นนั้นหากหวังกุยบุกภูเขาอวี้ซัน เราก็จะไม่เข้าไปยุ่ง”

อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นโค้งคำนับให้หวังกุยแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยได้พูดล่วงเกินไป ขออาจารย์หวังโปรดอภัยให้ด้วย ”สีหน้าของหวังกุยผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วฟังอวิ๋นเยี่ยพูดต่อว่า “ข้าน้อยเรียนด้านคณิตศาสตร์ ได้ค้นพบว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ แม้แต่บทกวีก็ไม่มีข้อยกเว้น หากใช้วิธีจัดเรียงเลขคณิตศาสตร์จะทำให้จับสัมผัสของบทกวีได้ดีขึ้น บางอันก็ไพเราะมาก อย่างเช่นกวีสองบทที่ท่านลุงเฉิงของข้าได้แต่งขึ้นนั้นก็ไพเราะเป็นอย่างมาก”

หวังกุยแทบจะกระอักเลือด ใช้การจัดเรียงเลขคณิตมาสร้างบทกวี? ทำกันเกินไปแล้ว

หลี่ซื่อหมินเกลี้ยกล่อมเหล่าหวังกุยที่กำลังตั้งท่าจะเดินหนีไปด้วยความโมโห กัดฟันแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เอาล่ะ เจ้าอธิบายให้เราฟังเกี่ยวกับบทกวีชิ้นเอกที่ลุงเฉิงของเจ้าแต่งเรื่องการใช้ส้อมพรวนต้นไม้แห้งให้ข้าฟังเสียหน่อยว่า ‘โอ้แม่เจ้า กิ่งไม้ช่างใหญ่อะไรอย่างนี้’ สองประโยคนี้มันเพราะตรงไหน”

เหล่าแม่ทัพมองอวิ๋นเยี่ยอย่างกังวลใจ แม้แต่พวกเขาเองก็มองไม่เห็นความไพเราะของสองประโยคนี้เลย มันก็แค่ประโยคที่ไม่มีความหมายอะไร

เดินมาที่กลางห้อง อวิ๋นเยี่ยโค้งคำนับทั้งสี่ทิศ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านรีบร้อนเกินไปแล้ว ยังมีอีกสองประโยคที่ท่านลุงเฉิงของข้ายังไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่นำมาต่อกันก็จะเป็นบทกวีที่สัมผัสคล้องจองไพเราะอย่างแน่นอน”

“รีบว่ามา ข้ารอที่จะบุกเขาอวี้ซันในวันพรุ่งนี้เพื่อชำระบัญชีกับหลี่กังอยู่”

“โอ้แม่เจ้า กิ่งไม้ช่างใหญ่อะไรอย่างนี้ ฤดูใบไม้ผลิตะไคร่น้ำเขียวดั่งใบไม้ ฤดูหนาวหิมะร่วงราวกับดอกไม้” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะกล่าวจบไป เหล่าแม่ทัพก็พากันส่งเสียงชื่นชมขึ้นมาทันที แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ สองประโยคก่อนหน้ามีความตรงไปตรงมา สองประโยคหลังบรรยายให้เห็นว่าต้นไม้ที่ตายแล้วได้กลับมามีชีวิตในทันที หากไม่มีพรสวรรค์ก็คงแต่งบทกวีเช่นนี้ขึ้นมาไม่ได้

หวังกุยที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อถึงกับตกตะลึง สามารถแต่งบทกวีเช่นนี้ได้ด้วยหรือ เช่นนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว ต้องไม่ใช่แล้ว คงวางแผนมาแต่แรกแล้วแน่ๆ บางทีเฉิงเหย่าจินอาจจะหาใครสักคนมาช่วยแก้หน้าให้ ไปหาบทกวีของนักประพันธ์มาต่อบทกวีของตัวเอง ต้องตั้งหัวข้อใหม่ขึ้นมา ณ ตรงนี้ถึงจะถูกต้อง

โบกมือเพื่อหยุดเสียงเอะอะของเหล่าแม่ทัพ โดยเฉพาะเฉิงเหย่าจินที่กำลังบอกคนอื่นๆ ว่าตอนแรกตัวเองก็คิดเช่นนั้น แต่เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ให้โอกาสข้าได้ส่องแสง เมื่อเห็นว่าหวังกุยต้องการให้ทุกคนเงียบก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข

รอให้เสียงหัวเราะของทุกคนสงบลง หวังกุยกล่าวว่า “เจ้าอวิ๋น หากเจ้าแต่งบทกวีเกี่ยวกับหิมะอีกหนึ่งบทได้ ข้าถึงจะยอมเชื่อในความสามารถเจ้า ใครจะไปรู้ บางทีเฉิงเหยาจินอาจจะให้นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักศึกษาของเจ้าแต่งกวีบทนี้ให้ ใช่หรือไม่”

อวิ๋นเยี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “เพียงแค่นำคำมาเรียงกันง่ายๆ เท่านั้น เวลามีน้อยจึงไม่ได้พิถีพิถัน คล้องจองกันก็พอ หากต้องการบทกวีดีๆ ก็ไปเอาหนังสือตัวอักษรที่สำนักศึกษาได้เรียงไว้แล้วเลือกมาสักคำก็ได้แล้ว ท่านตั้งใจฟังให้ดี ‘ฟ้าดินกว้างขว้าง หลุมดำลุ่มลึก สุนัขน้ำตาลลำตัวขาว สุนัขขาวตัวบวม’”

“จบกัน บทกวีพันปีได้ถูกทำลายลงแล้ว!” หวังกุยกลับไปนั่งแล้วร้องด้วยความเศร้าใจ กวีบทนี้ไม่สมกับเป็นกวี แม้ว่าสัมผัสจะคล้องจองกันอย่างไม่มีที่ติ

“อวิ๋นเยี่ย เจ้าบอกว่าหลังจากที่เรากลับไปแล้ว เพียงแค่แยกสัมผัสทั้งหมดออกจากกัน จากนั้นก็แบ่งหมวดหมู่ สุดท้ายแล้วอยากจะแต่งกวีอะไร ก็นำคำเหล่านั้นมาจับกลุ่มเข้าด้วยกัน เมื่อจับกลุ่มได้คล้องจองกัน ก็เป็นบทกวีได้แล้วงั้นหรือ”

“อาจจะแต่งบทกวีดีๆ ออกมาไม่ได้ แต่ก็เพียงพอต่อการรับมือในงานเลี้ยง”

ได้ยินอวิ๋นเยี่ยกับหลี่หวยเหรินคุยกันเข้าขา หวังกุยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่อย่างไรก็ต้องยอมรับความจริงตรงหน้า เขากังวลจนเหงื่อออกเต็มหัวไปหมด

“ที่แท้การแต่งกวีก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เหล่าหวัง เหล่าฝาง พวกเจ้าไม่มืออาชีพเลย แค่บอกเหล่าสหายไปเสียแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ทำให้พวกเราต้องอับอายมาหลายปี ไม่สมกับเป็นสหายเลย”

ในที่สุดหลี่จีก็จับประเด็นได้ สายตาอำมหิตมองเสียดสีขุนนางนักปราชญ์ หลี่ซื่อหมินตบโต๊ะแล้วพูดเสียงดังว่า “ไอ้หนุ่ม เกือบจะโดนเจ้าหลอกแล้ว บทกวีเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความคิดและความรู้สึกควบคู่กันไป จากนั้นก็ใช้แรงบันดาลใจแต่งออกมาเป็นกวี นอกจากนี้ บทกวียังมีหน้าที่แสดงเจตจำนงของผู้คน ภาษามีหน้าที่ขยายความของบทกวี เสียงสูงต่ำและความยาวของคำต้องควบคู่กัน สัมผัสเสียงต้องคล้องจองกัน หากเจ้าทำให้การแต่งบทกวีกลายเป็นการต่อคำศัพท์อย่างง่ายๆ เช่นนั้นเจ้าก็ดูถูกนักปราชญ์ทั่วโลกเกินไปแล้ว หากเก่งจริงเจ้าก็แต่งกวีขึ้น ณ ที่แห่งนี้สักหนึ่งบทจึงจะถือว่าเจ้ามีความสามารถ หรือหากเจ้าจะยอมรับว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องเหลวไหลก็ยังไม่สายเกินไป หัวข้อคือเหล้าชั้นดีที่อยู่ตรงหน้า ไอ้หนุ่ม เรากำลังรอให้เจ้าทำให้เราประหลาดใจ”

มองดูเหล้าสีอำพันที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าหัวข้อของหลี่ซื่อหมินนั้นไม่ได้ยากเกินไป จึงหันไปถามคนรับใช้ว่า “นี่คือเหล้าอะไร”

คนรับใช้ตอบเสียงเบาว่า “ท่านโหวนี่คือเหล้าหลานหลิง” อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า ขอกระดาษใบใหญ่มาหนึ่งแผ่น เริ่มเขียนลงไปว่าเหล้าหลานหลิง แล้วหันไปถามคนรับใช้ว่า“เหล้านี้หมักด้วยอะไร”

“ท่านโหว หมักด้วยดอกกระเจียว ดังนั้นจึงมีกลิ่นหอม” อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วเขียนต่อไปว่ากลิ่นดอกกระเจียว เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็วิ่งไปดูถ้วยเหล้าของหลี่ซื่อหมิน ของคนอื่นเป็นถ้วยเซรามิก มีเพียงเขาคนเดียวที่ใช้ถ้วยหยก มองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งถึงจะหันกลับไปเขียนลงในกระดาษว่าถ้วยหยก เกาหัวแล้วเขียนต่อไปว่าเต็มไปด้วยสีอำพัน เมื่อเขียนคำนี้ลงไป หวังกุยก็มองด้วยสีหน้าเยาะเย้ยทันที

จั่งซุนชงกระซิบบอกอวิ๋นเยี่ยว่าสัมผัสคล้องจองไม่ถูกต้อง อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงเปลี่ยนคำว่า ‘สี’ เป็นคำว่า ‘แสงสว่าง’ จากนั้นก็คิดอยู่สักพักแล้วเปลี่ยนจากคำว่า ‘เต็ม’ ไปเป็นคำว่า ‘แต่งเติม’ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ

เซวียว่านเหรินหัวเราะแล้วพูดกับไฉเซ่าว่า “คราวที่แล้วพวกเราดื่มเหล้าอยู่ที่ฉ่าวหยวน ข้าดื่มจนหากระโจมตัวเองไม่เจอ เหล้าหวานเช่นนี้รสชาติไม่ดีเท่าเหล้าของตระกูลอวิ๋น”

ดูเหมือนว่าอวิ๋นเยี่ยจะได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ สามารถเขียนเสร็จได้ในรวดเดียวว่า ‘นักประพันธ์บทกวีเริ่มเมามาย ไม่รู้บ้านเกิดอยู่หนใด’ เมื่อเขียนเสร็จก็วางพู่กันลง ทำคอให้โล่งสบายแล้วอ่านออกมาเสียดัง “เหล้าหลานหลิงหอมกลิ่นดอกกระเจียว ถ้วยหยกแต่งเติมด้วยแสงสว่างอำพัน นักประพันธ์พากันเมามาย ไม่รู้บ้านเกิดอยู่หนใด”

หลี่ซื่อหมินอ่านบทกวีนี้อยู่หลายครั้ง ถอนหายใจยาว รู้สึกว่าการแต่งบทกวีนั้นน่าเบื่อมาก สิ่งที่สง่างามเหมือนถูกอวิ๋นเยี่ยทำลายจนหมด เอาหลายๆ อย่างมารวมเข้าด้วยกันแล้วแต่งออกมาเป็นบทกวีที่สวยงาม ที่แท้การแต่งบทกวีเขาทำกันอย่างนี้นี่เอง ช่างน่าเบื่อเสียจริง

หวังกุยน้ำตาอาบเต็มใบหน้า ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยพากันหน้าซีด จั่งซุนอู๋จี้อารมณ์ไม่คงที่ เมื่อเห็นการแสดงออกของอวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งรู้สึกสงสัย