คนทั้งหมด “…”
ยามนี้เยี่ยเม่ยยิ่งรู้สึกนั่งไม่ติดอีกแล้ว
จริงๆ นะ…
นางรู้สึกว่าก้นของตนเหมือนนั่งอยู่บนไฟ แทบอยากหนีไปในบัดดล…
เฉิงเสี่ยวจวนและเป่ยเจี้ยนเกอมุมปากกระตุก คิดว่าหลายปีที่ผ่านมา จวินซ่างทุ่มเทใช้ความคิดไปมากเท่าไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ยอมเรียกจวินซ่างว่าอาจารย์สักคำ
วันนี้เขากลับเป็นฝ่ายเรียกอาจารย์เอง ก็เพื่อไม่ให้จวินซ่างแย่งสตรีกับเขา
เสินเซ่อเทียนกลับเงียบไป
เขาจ้องมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้าคงรู้ว่าเรียกอาจารย์หมายความว่าอย่างไรใช่หรือไม่”
เขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยก็นิ่งไปแล้วเช่นกัน
จากคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเสินเซ่อเทียนเมื่อครู่ก็เข้าใจแล้วว่า เพราะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เคยคิดเชื่อฟังคำสั่งเสินเซ่อเทียน แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยเรียกเขาว่าอาจารย์สักคำ
อย่างนั้น…
หากยามนี้เรียกอาจารย์ออกไป
บางทีอาจหมายความว่า ต่อไปเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะต้องคุ้มครองราชสำนักเป่ยเฉิน ปกป้องคนที่เขาไม่คิดให้อภัยพวกนั้น
ไม่รู้เพราะอะไร เยี่ยเม่ยไม่อยากให้ภาพเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเลยสักนิด
นางไม่หวังให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมจริงจังเพราะตัวนาง หรือกลายเป็นองค์ชายผู้เชื่อฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
หากเขาเรียกเสินเซ่อเทียนว่าอาจารย์ นั่นจะไม่เท่ากับว่าต่อไปเขาต้องปกป้องเป่ยเฉินจริงๆ ทั้งยังต้องเป็นศัตรูกับนางด้วยใช่หรือไม่
เมื่อคิดถึงตรงนี้
เยี่ยเม่ยมองเสินเซ่อเทียน เอ่ยว่า “พอแล้ว อย่าแกล้งโง่อีกเลย ไม่ใช่ท่านไม่รู้ว่าข้าชอบกูเยว่อู๋เหิน ท่านยอมถอยหรือไม่ ล้วนไม่มีผลกับเรื่องนี้”
“กูเยว่อู๋เหินหรือ…”
เสียงนี้คือเสียงที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปล่งออกมา
นับตั้งแต่วันที่เห็นขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวนาง เขาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี ภายหลังกูเยว่อู๋เหินมาถึงชายแดน ซ้ำยังประมือกับเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็รู้แล้วว่ากูเยว่อู๋เหินเอาจริง
เพียงคิดไม่ถึงว่า เขาจะได้ยินคำตอบชัดเจนออกจากปากนาง คนที่นางชอบคือกูเยว่อู๋เหิน!
ความรู้สึกเช่นนี้…
เสี้ยวนาทีนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่เข้าใจว่าเป็นความรู้สึกอย่างไร บางทีเขาเจ็บปวดจนชินชาไปนานแล้ว ถึงพลันไม่เข้าใจว่าความเจ็บอะไรที่จะบีบรัดใจดวงนี้ได้อีก
เสินเซ่อเทียนฟังถึงตอนนี้ หันมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง ถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มว่า “ทำไม เจ้าอดใจไม่ไหว ทำลายการหารือของข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพราะไม่อยากให้เขากลายเป็นศิษย์ของข้าหรือ”
คำพูดนี้เอ่ยได้อย่างประจวบเหมาะนัก
ถึงกระทั่งเท่ากับถามเยี่ยเม่ยว่า เจ้าไม่หวังให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำการเพื่อราชสำนักเป่ยเฉินใช่หรือไม่
เยี่ยเม่ยปรายตามองเสินเซ่อเทียน “ท่านคิดมากเกินไปแล้ว แต่อย่างไรระหว่างข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เคย…เรียกว่าคบหากันมาก่อน ดังนั้นข้าทนมองการค้าที่ไม่ยุติธรรมของพวกท่านไม่ได้ ถึงอย่างไรท่านจะถอยหรือไม่ถอย ส่งผลประโยชน์อะไรต่อข้าและเขาทั้งนั้น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “อย่างนั้น…ความหมายของเจ้าคือ อย่างน้อยเสี้ยววินาทีหนึ่ง ตำแหน่งเล็กๆ ในใจเจ้าก็เคยมีอยู่ เคยใส่ใจข้าบ้างใช่หรือไม่ ”
คำถามนี้เขาถามออกมาอย่างระวังมาก
เขาบอกว่าเสี้ยวนาทีกับตำแหน่งเล็กๆ เพราะไม่กล้าคาดหวังสูงเกินไป แต่จากสีหน้าของเขา เยี่ยเม่ยมองออก ต่อให้เป็นตำแหน่งเล็กน้อย เมื่อนางยอมรับแม้แต่เล็กน้อย เขาก็ดีใจขึ้นมา
แต่
นางไม่อาจยอมรับ
นางใคร่ครวญเล็กน้อย เอ่ยปากว่า “คำถามตอบได้ยากนัก แต่ข้าเชื่อว่าที่มากกว่านั้นคือข้าไม่หวังให้ตัวเองกลายเป็นหมากในข้อตกลงของผู้อื่น ข้าไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ เชื่อว่าพวกท่านคงเข้าใจความหมายของข้า”
นางอธิบายเป็นว่าตนไม่ต้องการเป็นเงื่อนไขในการตกลงของผู้อื่นไปเสีย
ด้วยนิสัยของเยี่ยเม่ย คำอธิบายเช่นนี้ก็นับว่าพูดได้
เพียงแต่เสี้ยวนาทีต่อมา สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ถอนกลับไป ปรากฏความผิดหวังอยู่หลายส่วน
น้ำเสียงแฝงอายศักดิ์สิทธิ์ของเสินเซ่อเทียนกลับดังขึ้นว่า “เจ้ากลัวอะไร ต่อให้เขายอมเรียกข้าว่าอาจารย์ ข้าก็ไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ ยิ่งไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่! ถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะมีอำนาจคุกคามราชสำนักเป่ยเฉินจริงๆ แต่ข้า…ก็ไม่คิดว่า เขาจะเอาชนะข้าได้”
ดังนั้นเขาไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยสตรีเพียงคนเดียวในชีวิตที่เขาให้ความสนใจไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง ยกจอกสุรากวาดตามองเสินเซ่อเทียน เอ่ยอย่างเป็นจังหวะไม่รีบร้อนว่า “เพียงแต่ท่านก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้”
เสินเซ่อเทียนรีบยิ้มออก เอ่ยปากว่า “เจ้าพูดไม่ผิด ไม่ต้องพูดถึงความมั่นใจจะเอาชนะได้เลย แค่เจ็ดส่วนข้าก็ยังไม่มี แต่ในฐานะคนที่สั่งสอนวรยุทธ์ให้เจ้า สุดท้ายแล้วข้ายังมีโอกาสเอาชนะได้มากกว่าเจ้าสองส่วน!”
ดังนั้นเมื่อฟังถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้ว
ตามความหมายของเสินเซ่อเทียนคือ หากเขาสองคนต่อสู้กัน เสินเซ่อเทียนมีโอกาสเอาชนะได้สองส่วน ฝ่ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีโอกาสชนะได้สี่ส่วน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับหัวเราะ “เจ้าไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรือ สีครามเกิดจากสีฟ้าแต่เหนือสีฟ้า หาเจ้าหลงคิดว่าธาตุประจำตัวเจ้าเอาชนะเยี่ยนได้ เยี่ยนจะต้องพ่ายแพ้ในมือเจ้าจริงๆ”
เยี่ยเม่ยมองทั้งสองฝ่าย
สายตาเสินเซ่อเทียนกลับสงบนิ่งลง มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ธาตุพลังของข้าคือน้ำ ส่วนเจ้าคือไฟ ต่อให้ไฟของเจ้าก้าวล้ำขั้นสุดยอดมาได้ แต่สุดท้ายก็ยังถูกน้ำพิฆาตได้ นี่คือชะตากำหนดไว้!”
หากบอกว่าทำไมเสินเซ่อเทียนถึงมีความมั่นใจว่าใต้หล้านี้ไม่ใครเอาชนะเขาได้ นั่นก็เพราะในบรรดาสุดยอดฝีมือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเพียงคนเดียวที่บรรลุถึงขั้นสุดยอด ทั้งยังก้าวล้ำกว่ามากอีกครึ่งกระบวนท่าเป็นคนที่มีกำลังเทียบเท่ากับเขา
แต่ว่า
เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธาตุประจำตัว
ธาตุของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือไฟ ส่วนเขาคือน้ำ ย่อมถูกเขากำราบพิฆาต
“หากเยี่ยนแพ้จริงๆ นั้นก็นับว่าเป็นชะตากำหนดไว้! อย่างไรชะตากำหนดแล้วว่าพลังธาตุของเจ้าคือน้ำ ส่วนเยี่ยนคือธาตุไฟ!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยไปก็คลี่ยิ้มออก น้ำเสียงน่าฟังกล่าว “น่าเสียดายที่แต่ไรมาเยี่ยนไม่เคยเชื่อโชคชะตา หากมีวันใดที่พวกเราต่อสู้กัน บางทีเจ้าอาจเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าคนเอาชนะฟ้า!”
จากคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เสินเซ่อเทียนฟังออกว่า บางทีเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอาจมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะตนได้ อย่างไรเสียเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็หาใช่คนหลงตัวอย่างหน้ามืดตามัว
ในเวลานี้เอง เสินเซ่อเทียนกลับไม่รู้สึกผิดหวัง ทั้งยังดีใจอยู่บ้าง ผู้เข้มแข็งมักโดดเดี่ยว และเฝ้ารอให้คนก้าวผ่านตนไปได้
เพียงแต่…
เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ข้าหวังว่า ชั่วชีวิตนี้ข้ากับเจ้าจะไม่มีวันเป็นศัตรูกัน!”
“เยี่ยนก็หวังเช่นกัน!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ตอบกลับด้วยเสียงอ่อน
ถูกต้อง
ตั้งแต่ต้นเสินเซ่อเทียนเพียงคิดหาประโยชน์จากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ แต่เมื่ออยู่ร่วมกันหลายปีก็พอมีความรู้สึกที่ดี นั่นก็คือเหตุผลที่พวกเขาไม่ใช่ศัตรู
เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับก้มหน้าลง