ตอนที่ 340 เจ้าอย่าแย่งสตรีกับเยี่ยนจะได้ไหม

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

นี่กลับเป็นบทสนทนาอย่างตรงไปตรงมาครั้งแรกในรอบหลายปีของพวกเขาสองคน แยกแยะความสัมพันธ์ของอีกคนได้เรียบง่ายเช่นนี้เอง

 

 

ส่วนในเวลานี้เสินเซ่อเทียนกลับรู้สึกแตกตื่น ปีนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพิ่งอายุเจ็ดขวบ ไม่ยอมรับเขาเป็นอาจารย์ เขายังหลงคิดว่าเพียงเพราะเด็กชายมีปมในใจ หัวดื้อ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีอายุแค่เจ็ดขวบก็เข้าใจเป้าหมายที่เขารับเลี้ยงอีกฝ่ายในปีนั้นแล้ว

 

 

ด้วยเหตุนี้กาลก่อนต่างฝ่ายต่างไม่มีความรู้สึกชวนให้คนตื้นตันอะไรทั้งนั้น

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายจะรู้ว่าเสินเซ่อเทียนคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มมองอีกฝ่าย น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยว่า “ไม่กลายเป็นคนที่เจ้าเฝ้ารอ บางทีเยี่ยนสมควรเอ่ยขอโทษสักคำ!”

 

 

เขารู้ดีว่าเสินเซ่อเทียนหวังให้เขากลายเป็นเสินเซ่อเทียนคนที่สอง ต่อให้ไม่อาจสืบทอดบัลลังก์ ภายหน้าก็ปกป้องราชสำนักเป่ยเฉินแทนได้

 

 

น่าเสียดาย

 

 

เขาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาได้คิดว่าราชสำนักเป่ยเฉินมีส่วนใดที่คู่ควรปกป้องเลย

 

 

อีกทั้งยังไม่รู้สึกเลยว่าคนในตระกูลเป่ยเฉิน รวมถึงเสด็จพ่อและเสด็จแม่ มีใครสักคนที่คู่ควรให้เขาปกป้อง

 

 

อย่างไรเสีย เขาก็ไม่เคยมีหัวใจอ่อนแอแต่ใจกว้างพอที่จะให้อภัยการถูกทำร้ายเหล่านั้นได้

 

 

เยี่ยเม่ยฟังถึงตรงนี้ค่อยเข้าใจ ที่แท้ความสัมพันธ์ระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเสินเซ่อเทียนไม่ได้ดีอย่างที่ตนคาดคิดไว้ ทั้งยังไม่เหมือนกับที่ตนกับซือหม่าหรุ่ยเข้าใจว่า ระหว่างเขาทั้งสองมีบุญคุณใหญ่หลวงอะไรพวกนั้นด้วย

 

 

ตั้งแต่เริ่มต้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองออกแล้วว่า เสินเซ่อเทียนรับเลี้ยงเขาไว้ก็เพื่อให้ประโยชน์ในตอนท้าย ส่วนเสินเซ่อเทียนก็คิดเช่นนั้นอย่างแท้จริง ทว่าสุดท้ายเรื่องราวหาได้ดำเนินไปตามที่เสินเซ่อเทียนคาดหวัง ดังนั้นจึงกลายเป็นสภาพตรงหน้านี้

 

 

คนทั้งสองสนทนากันอย่างเอาแต่ใจ ไม่มีใครสักคนเริ่มคุยกับเยี่ยเม่ย หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาถึง นับตั้งแต่เขาเริ่มพูดคุยกับเสินเซ่อเทียน สายตาก็ไม่ได้มองมาที่นางอีก

 

 

ในเวลานี้ เยี่ยเม่ยกลับรู้สึกคลายใจลงบ้าง

 

 

อย่างน้อยก็หลบเลี่ยงความอึดอัดไปได้สำเร็จ

 

 

คิดไม่ถึงว่า นางเพิ่งจะคลายใจ สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันหันมามองนาง ถามว่า “หลายวันนี้สบายดีหรือไม่”

 

 

เยี่ยเม่ย “…ดีมาก!”

 

 

ดูท่าไม่ควรด่วนดีใจไป

 

 

เพียงแต่ว่าในชั่วขณะที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามนาง สายตาเยี่ยเม่ยถึงกับไม่กล้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ซ้ำยังหวังว่าตัวเองจะมีวิชาล่องหน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมองเห็นนางอีก ทั้งไม่มีใครรู้ว่านางอยู่ที่นี่ด้วย….

 

 

ทั้งนางยังจากไปได้เลย

 

 

“วางใจเถอะ ตอนเจ้าไม่อยู่ นางสุขสบายดี ข้ามาแล้วนางยิ่งอยู่สบายกว่าเดิม!” เสินเซ่อเทียนอยู่ด้านข้าง เอ่ยยิ้มๆ แต่มิได้ยิ้ม ความหมายของประโยคนี้แฝงความนัยเอาไว้

 

 

เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าหากบนใบหน้านางยามนี้มีตัวอักษรปรากฏอยู่ ก็สมควรเป็นสองตัวที่เรียก ‘อึดอัด’

 

 

นางลุกขึ้น “ข้าอิ่มแล้ว ที่ชายแดนยังมีเรื่องให้ข้าจัดการอีก ข้าขอตัวกลับก่อนแล้ว!”

 

 

จากนั้น

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่านางเพิ่งเอ่ยจบ เสินเซ่อเทียนกลับเริ่มเปิดโปง “เจ้ามิใช่บอกว่าเรื่องราวที่ชายแดนที่สมควรมอบหมายก็สั่งการไปหมดแล้ว ทั้งไม่มีเรื่องอะไรต้องทำอีกหรือ เช่นนั้นไม่สู้นั่งลงพูดคุยกับคนรักเก่าใหม่ของเจ้าสักหน่อย!”

 

 

เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก!

 

 

นางมองเสินเซ่อเทียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

 

 

คนรักเก่าใหม่นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

 

 

ไฉนพูดเหมือนางเป็นบุรุษเสเพลเจ้าสำราญไปได้ มีทั้งคนรักใหม่คนรักเก่า

 

 

เมื่อมองสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเย็นชาไป เยี่ยเม่ยยิ่งรู้สึกหมดคำพูด ถึงนางคิดปล่อยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจผิดว่า นางมีความสัมพันธ์กับกูเยว่อู๋เหิน แต่ว่านางไม่คิดจะให้เขาพานเข้าใจผิดไปถึงเสินเซ่อเทียนด้วย!

 

 

อย่างไรเสียกูเยว่อู๋เหินรับปากช่วยนางแสดงละครแล้ว

 

 

ส่วนนางกับเสินเซ่อเทียนนั้น จุดยืนของเขาชัดเจนมาก นางไม่อาจบอกเขาได้ว่าตัวนางต้องการแสดงกับเขาเพื่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรามือ เขาย่อมมิใช่ตัวเลือกที่ดี

 

 

ดังนั้น

 

 

หลังจากเยี่ยเม่ยตีหน้าเย็นชาจ้องเสินเซ่อเทียนเอ่ยว่า “สหายพวกเราพอจะฝืนเป็นได้ แต่ว่าคนรักใหม่อะไรนั่น ไม่มีทาง! ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่า ข้าไม่สนใจท่าน”

 

 

นางไม่อยากรบเร้าพัวพันไม่ชัดเจนกับเสินเซ่อเทียน โดยเฉพาะได้มองเห็นสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เผลอๆ อยากจะลุกขึ้นมาต่อยตีกับเสินเซ่อเทียนเอาได้เสียดื้อๆ หากตีกันขึ้นมาจริงเรื่องราวจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่

 

 

“ในเมื่อเจ้าไม่สนใจข้า เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องไปด้วย!” เขามองนางทีหนึ่ง จากนั้นก็หันมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงแฝงอายศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ กล่าวว่า “หรือเจ้าพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้วอึดอัดกัน แต่ภายหน้าเจ้าอยู่ในเมืองก็ต้องพบเขาบ่อยๆ เจ้าคงไม่อาจหลบเขาได้ตลอดกระมัง”

 

 

คำพูดนี้กลับมีเหตุผลนัก

 

 

ความจริงเยี่ยเม่ยก็เข้าใจ เพราะอะไรเสินเซ่อเทียนถึงไม่อยากให้นางจากไป เขาคิดให้นางรั้งอยู่ ดูปฏิกิริยาระหว่างนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพื่อตัดสินว่าพวกตนทะเลาะกันจริงหรือไม่ ถึงกระทั่งเอามาตัดสินว่าที่นางบอกว่าชอบกูเยว่อู๋เหินนั้นสรุปแล้วเป็นจริงหรือไม่

 

 

แม้ว่าเสินเซ่อเทียนมีความรู้สึกดีๆ กับนางอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้เชื่อใจนาง

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้เยี่ยเม่ยจึงนั่งลง ปรายตามองเสินเซ่อเทียน จากนั้นก็มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างไม่สะทกสะท้าน เอ่ยว่า “ท่านพูดไม่ผิด อย่างไรภายหน้าโอกาสพบกันก็มีอีกมาก ข้าคงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ตลอดทุกครั้ง!”

 

 

นางพูดว่าตนเองพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้วรู้สึกประหม่า คิดอยากหลบหนีต่อหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเช่นนี้

 

 

อวี้เหว่ยที่ฟังอยู่ด้านข้าง รู้สึกว่าทั้งเสินเซ่อเทียนและเยี่ยเม่ยสองคน ช่างไม่ไว้หน้าเตี้ยนเซี่ยของเขาเลยสักน้อย เขาแทบอยากโน้มน้าวให้เตี้ยนเซี่ยจากมาเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

จากนั้นอวี้เหว่ยรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองโน้มน้าวไม่สำเร็จแน่

 

 

หากเขาโน้มน้าวได้ เวลานี้เตี้ยนเซี่ยก็คงไม่มาแล้ว!

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังถึงตรงนี้ ก็เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง สายตาเขามองไปทางเสินเซ่อเทียน กล่าวว่า “ความหมายว่า เจ้าก็ชอบนางแล้ว?”

 

 

เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก ชั่วขณะนี้นางยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่

 

 

นางรู้สึกว่าความอึดอัดตลอดชีวิตที่ผ่านมารวมกันแล้วยังไม่มากมายเท่าวันนี้เวลานี้เลย

 

 

เสินเซ่อเทียนฟังคำถาม ก็ไม่มีความคิดปิดบังเลย น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ของเขาค่อยๆ ยอมรับว่า “ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังมอบป้ายคำสั่งตัวแทนของข้าให้นางเป็นของหมั้นหมายด้วย อย่างไรเรื่องของพวกเจ้าก็เป็นอดีตแล้ว ข้าทำเช่นนี้ไม่เท่ากับตีท้ายครัวเจ้า ใช่หรือไม่”

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนกลอกตา จวินซ่างท่านอย่าเสแสร้งเลย ตอนที่ท่านมอบป้ายคำสั่งให้แม่นางเยี่ยเม่ย พวกเขาสองคนยังไม่ทะเลาะกันเลย ไม่เรียกตีท้ายครัวแล้วเรียกว่าอะไร

 

 

เสินเซ่อเทียนพูดจาพกลมอย่างไม่กะพริบตาเลยสักนิด เยี่ยเม่ยฟังเข้าใจแต่นางไม่คิดเปิดโปง

 

 

ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งเงียบไป

 

 

เขาวางตะเกียบลงมองเสินเซ่อเทียน เอ่ยเสียงอ่อนว่า “หากเยี่ยนยอมเรียกเจ้าว่าอาจารย์สักคำ เจ้าอย่าคิดแย่งสตรีกับเยี่ยนได้หรือไม่”