เสี้ยวนาทีนั้นสายตาของนางพลันเย็นเยือกขึ้น
ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว การได้พบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความหมายว่าได้พบกับคนที่ไม่คู่ควรรอคอยผู้หนึ่ง
นางถอนสายตากลับมามองเสินเซ่อเทียน
ทำราวกับว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาหาเสินเซ่อเทียนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง นางย่อมไม่คิดจะเกี่ยวพันด้วย
ส่วนในยามนี้ เสินเซ่อเทียนก็เอ่ยปากว่า “เจ้าหนู ไม่พบกันหลายปีเชียว”
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา คนทั้งหมดต่างกระตุกมุมปากเล็กน้อย ความจริงนับตั้งแต่เสินเซ่อเทียนเรียกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่าเจ้าหนู เยี่ยเม่ยก็รู้สึกแปลกใจแล้ว ยามนี้เมื่อเรียกต่อหน้าเยี่ยเม่ยยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
เซียวเยว่ชิงเองก็ไม่อยากเชื่อ หางตากระตุกไม่หยุด ทั้งไม่กล้ามองสีหน้าองค์ชายสี่ด้วย คิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าระหว่างจวินซ่างกับองค์ชายสี่จะมีความชอบน่ากลัวแบบนี้ ถึงกับเรียกว่าเจ้าหนู
ช่างร้ายนัก!
อวี้เหว่ยแอบเงยหน้ามองท้องฟ้าทีหนึ่ง ตั้งหลายปีแล้ว นิสัยเสียของเสินเซ่อเทียนยังไม่เปลี่ยนเลยสักนิด อ้าปากคำหนึ่งก็เรียกเจ้าหนู ภาพลักษณ์ขององค์ชายสี่แทบพังทลายลงมากแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลายเป็นเจ้าทุกข์จากความชื่นชอบน่ารังเกียจของอีกฝ่าย
เขาฟังแล้วกลับไม่ตอบอะไร มุมปากกลับยกยิ้มเล็กน้อย ดวงตาคู่ร้ายมองเสินเซ่อเทียน “เยี่ยนไม่ได้ชอบใจที่ตัวเองมีอายุเยาว์ ท่านกลับภูมิใจในความแก่ของตน”
เมื่อเขาเอ่ย
เยี่ยเม่ยปลายตาเหลือบเห็นหางตาของเสินเซ่อเทียนกระตุกอย่างแรง
ไม่ว่าอย่างไร เสินเซ่อเทียนแก่กว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเจ็ดปี ก็นับว่ามากจริงๆ จุดนี้ไม่มีปัญหา แต่อันที่จริงเรียกว่าเจ้าหนูออกจะเกินไป ดังนั้นไม่ว่าใครเมื่อฟังแล้วล้วนรู้สึกถึงการหยอกล้อ เพียงแต่ที่ทำให้คนคิดไม่ถึงคือ…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับจู่โจมกลับเช่นนี้
เอ่ยตามตรงว่าเสินเซ่อเทียนแก่แล้ว
สีหน้าของเสินเซ่อเทียนแข็งชะงัก ไม่ผิดเลย ในบรรดาศัตรูหัวใจของเขา รวมถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วย คนที่มีอายุไม่เหมาะกับเยี่ยเม่ยที่สุดก็คือเขา เขาแก่กว่าเยี่ยเม่ยแปดเก้าปี!
ส่วนพวกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแก่กว่าเยี่ยเม่ยแค่สองสามปีเท่านั้น
ยามนี้เสินเซ่อเทียนแอบคิดว่าต่อไปจะไม่เรียกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่าเจ้าหนูอีกแล้ว อย่างไรเสียตอนเขาอายุสิบสี่เรียกเด็กเจ็ดขวบว่าเจ้าหนู ก็นับว่าเป็นเรื่องมีหน้ามีตาเรื่องหนึ่ง
แต่ยามอายุยี่สิบเก้า เรียกคนอายุยี่สิบสองว่าเจ้าหนู กลับถูกอีกฝ่ายแดกดันว่าเป็นตาแก่ วันเวลาช่างทำร้ายอายุเขาอย่างไร้ปรานี
เขาเงียบไป สุดท้ายก็เอ่ยว่า “อย่างนั้นก็เรียกว่าอาจารย์สักคำเถอะ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับมองอีกฝ่ายทีหนึ่งอย่างเอาเรื่อง เดินมานั่งลงตรงข้ามคนทั้งสอง กวาดตามองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง บ่าวคนสนิทก็สั่งการเสี่ยวเอ้อไปเอาหมูหันออกมาอีกตัวโดยสัญชาตญาณ อย่างไรเสียวันนี้องค์ชายสี่ก็ยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
ไม่ช้า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ มองเสินเซ่อเทียน เอ่ยออกมาทีละคำว่า “เยี่ยนเหมือนไม่เคยยอมรับเจ้าเป็นอาจารย์ของเยี่ยน! ปีนั้นที่เจ้ารับเยี่ยนไว้ เยี่ยนก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่เห็นเจ้าเป็นอาจารย์ บางทีมีสักวันที่จะฆ่าเจ้าด้วย ขอให้เจ้าอย่าเสียใจ
เมื่อเขาเอ่ยเสินเซ่อเทียนพลันหัวเราะ
เจ้าเด็กนี่หัวแข็งมาตั้งแต่เล็ก ดื้อดึงมาก ตอนที่เขาคิดจะสอนวรยุทธ์ อีกฝ่ายยังมีใจป้องกันระแวง
ยามที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสำเร็จวิชาออกจากตำหนักหลิงซาน ยังบอกกับเขาว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่มีทางเป็นเสินเซ่อเทียนคนที่สองแน่”
หลังจากนั้นเขาก็หมุนกายจากไป คนทั้งสองก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
ยามนี้ได้พบกันครั้งแรกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังคงรักษาคำพูดในปีนั้นไว้ เสินเซ่อเทียนทนไม่ไหวหัวเราะออกมา “ดูแล้ว เจ้าช่างไร้หัวจิตหัวใจจริงๆ ทำลายความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา เอ่ยเสียงสบายอารมณ์ว่า “นับตั้งแต่วันแรกที่รับข้าไว้ ท่านก็รู้แล้วว่า ข้าคือคนไม่ให้ค่าคุณธรรมมโนธรรมไม่ใช่หรือ บางทีเจ้ากล้ายอมรับหรือไม่ว่า ตอนนั้นที่รับเลี้ยงข้าไว้ ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยสักนิด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เสินเซ่อเทียนรีบหัวเราะออก
ต้องบอกว่าปีนั้นที่เขารับเลี้ยงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เพราะความเห็นแก่ตัวจริงๆ ในปีนั้นในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย เขาเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดีที่สุด คิดว่าหากเจ้าเด็กนี่ประสบความสำเร็จ หลังจากฮ่องเต้สวรรคต ให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนขึ้นตำแหน่งฮ่องเต้ เขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องราชบัลลังก์อีกแล้ว
กระทั่งสามารถสะบัดแขนเสื้อจากไปได้ เขาเชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องจัดการราชสำนักได้อย่างเรียบร้อยแน่
แต่ว่า
หลายปีที่เขาสอนวรยุทธ์เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีต่อฮ่องเต้ ทั้งยังไม่มีวิธีทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมาสนใจและให้ความสำคัญกับหลักการคุณธรรมในฐานะมนุษย์ได้อีกครั้ง แม้กระทั่งทำให้ฮ่องเต้กลับมาให้ความสำคัญกับบุตรชายคนนี้อีก เขาก็ยังไม่อาจทำได้
ดังนั้นสุดท้ายสถานการณ์จึงกลายเป็นเช่นนี้
เมื่อสนทนามาถึงตอนนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเสินเซ่อเทียน เอ่ยด้วยเสียงน่าฟังว่า “บางทีเจ้าอยากบอกเยี่ยนว่า ความจริงเจ้าไม่เสียใจที่รับเลี้ยงเยี่ยนไว้ ความจริงปีนั้นเจ้าก็รู้แล้วว่าไม่อาจเปลี่ยนความคิดเยี่ยนได้ หากปีนั้นเจ้ารู้ว่าเยี่ยนจะกลายเป็นคนที่อยู่ตรงข้ามกับเจ้า เจ้าย่อมไม่คิดเลี้ยงดูเยี่ยน กระทั่ง…บางทีครั้งแรกที่ได้พบเยี่ยน เจ้าจะลงมือสังหารในทันที!”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ บรรยากาศรอบด้านเริ่มตึงเครียด
ไม่ผิดเลย หลายปีที่ผ่านมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลายเป็นคนอยู่ที่ตรงกันข้ามกับเสินเซ่อเทียนจริงๆ ในใจของผู้คน เสินเซ่อเทียนคือเทพ ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในใจคือปีศาจ
เสินเซ่อเทียนทำทุกอย่างก็เพื่อฮ่องเต้ ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายกับจะสังหารฮ่องเต้ได้ทุกเมื่อ
เสินเซ่อเทียนทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเป่ยเฉิน ส่วนความเป็นตายของเป่ยเฉิน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ใส่ใจสักน้อย กระทั่งต่อสู้กับกูเยว่อู๋เหินเพราะเรื่องส่วนตัว ศัตรูบุกประชิดมาแล้ว เขากับกูเยว่อู๋เหินยังขวางอยู่ที่ประตูแนวป้องกันเลย
หลายปีที่ผ่านมานี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหมือนเป็นเสินเซ่อเทียนในมุมตรงกันข้าม
ใครก็ไม่คิดว่า จวินซ่างที่เป็นดั่งเทพ เลี้ยงดูคนผู้หนึ่งออกมากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้สอดรับกับคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในปีนั้น เขาจะไม่มีวันเป็นเสินเซ่อเทียนคนที่สอง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกทำร้ายอยู่หลายปี มีความคิดและแนวคิดรวมถึงการวิเคราะห์เป็นของตัวเอง ต่อให้เสินเซ่อเทียนก็มิอาจปรับเปลี่ยนได้
หลังจากบรรยากาศเริ่มเย็นเยือกลง เสินเซ่อเทียนก็ยอมรับว่า “ไม่ผิด หากปีนั้นรู้ว่าสุดท้ายเจ้ายังเป็นเช่นนี้ ข้าคงฆ่าเจ้าตั้งแต่ครั้งแรก!”
ไม่ว่าอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในยามนี้ก็เป็นหนึ่งในภัยคุกคามใหญ่ต่อราชสำนักเป่ยเฉิน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มแล้วตอบ “ดังนั้นเจ้าก็คงรู้แล้วว่าทำไมวันแรกที่พบกัน เยี่ยนถึงบอกว่าไม่มีทางยอมรับเจ้าเป็นอาจารย์!”