ตอนที่ 338 สงสัยว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ตอบกลับมา จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “คราวนี้ท่านหญิงก็วางใจได้แล้ว การเดินทางมาชายแดนครั้งนี้ไม่สูญเปล่า”

 

 

เดิมทีตอนที่นางเพิ่งมาถึงได้ฟังว่าองค์ชายสี่ไม่อยู่ในเมือง อารมณ์ของท่านหญิงก็ดำดิ่งลงไปมาก ซ้ำยังกังวลว่าสุดท้ายองค์ชายสี่จะกลับมาหรือไม่ ท่านหญิงตั้งใจมาถึงชายแดนจะเสียเที่ยวเปล่าหรือไม่

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านหญิงเพิ่งมาถึงชายแดนพักผ่อนเล็กน้อย องค์ชายสี่ก็กลับมาแล้ว

 

 

นี่ยังไม่ใช่เรื่องดีอย่างยิ่งอีกหรือ

 

 

มู่หรงเหยาฉือยิ้มออกมาทันที เอ่ยปาก “ช่างประจวบเหมาะนัก ดูท่าสวรรค์คงสงสารข้ามู่หรงเหยาฉือ!”

 

 

“นั่นสิเจ้าคะ!” สาวใช้เอ่ย ซ้ำยังเสริมต่อด้วยความอดใจไม่ไหว “นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าท่านกับองค์ชายสี่มีวาสนาต่อกัน ท่านลองคิดดูนะเจ้าคะ แม่ทัพเซียวก็บอกว่าองค์ชายสี่จากไปได้หลายวันแล้ว ใครก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร แต่ทันทีที่ท่านมาถึง องค์ชายสี่ก็กลับมาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ยังไม่เรียกว่ากลับมาเพราะท่านอีกหรือ”

 

 

มู่หรงเหยาฉือฟังคำพูดนี้รู้สึกว่าดีมาก นางจึงเอ่ยออกไปคำหนึ่งว่า “นับว่าเจ้าปากหวานนัก!”

 

 

ระหว่างเอ่ยไป มู่หรงเหยาฉือก็หน้าแดงเพราะความขวยเขิน “เร็ว รีบไปดูแทนข้าว่ายังมีตรงไหนต้องแต่งเติมหรือเปล่า ข้าจะออกไปพบองค์ชายสี่ !”

 

 

สาวใช้ตรวจดูผมเผ้าและใบหน้าของมู่หรงเหยาฉือ

 

 

นางคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านหญิง เรียบร้อยดีมาก ท่านเป็นคนงามอยู่แล้ว เชื่อว่าองค์ชายสี่ได้พบท่านจะต้องหลงใหลจนสติล่องลอยแน่ ไม่ช้าก็จะลืมไปเลยว่าเยี่ยเม่ยผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร!”

 

 

คำพูดนี้ทำเอามู่หรงเหยาฉือยิ่งเบิกบาน นางจัดชายเสื้อของตนเองแล้วลุกขึ้น “ขอให้ดีดังคำที่เจ้าว่า ไปกันเถอะ!”

 

 

พูดไปนางก็เยื้องย้ายไปข้างหน้า สาวใช้รีบติดตามอยู่ด้านหลัง ปรนนิบัตินางออกจากประตู

 

 

สาวใช้กลับคิดว่าท่านหญิงของตนต้องสมปรารถนากลายเป็นพระชายาองค์ชายสี่อย่างแน่นอน เมื่อคิดว่าท่านหญิงเป็นสตรีอันดับหนึ่งของใต้หล้า ทั้งยังได้รับขนานนามว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง สตรีเช่นนี้มีบุรุษใดในโลกที่ไม่หวั่นไหวบ้าง

 

 

เมื่อองค์ชายสี่ได้ยลโฉมงามของท่านหญิง จะต้องเป็นเช่นบุรุษอื่น เอ่ยชมไม่ขาดปากไม่ละสายตาไปที่ใด

 

 

……

 

 

สองนายบ่าวมาถึงประตูเมือง

 

 

มู่หรงเหยาฉือย้างเยื่องแต่ละก้าวด้วยท่าทางงดงามไม่น่าเบื่อ ไม่เสียอากัปกิริยาของกุลสตรี บรรดาทหารที่มองอยู่จำนวนไม่น้อยมองเสียจนตาค้าง

 

 

หลูเซียงฮั่วเองยังชะงักไปเล็กน้อย สายตาที่มองมู่หรงเหยาฉือเต็มไปด้วยความชื่นชม เพียงแต่ไม่รู้ว่าตนคิดมากไปหรือไม่ การแต่งหน้ารวมถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ของมู่หรงเหยาฉือเมื่อครู่ หรือบอกว่าการแต่งกายของนางก่อนหน้านี้ดูจะไม่…

 

 

ไม่เท่าหยาดเยิ้มเท่าตอนนี้?

 

 

ในขณะครุ่นคิด มู่หรงเหยาฉือคลี่ยิ้มบางๆ มาถึงเบื้องหน้าเขา ยิ้มถามว่า “แม่ทัพหลู ได้ยินว่าองค์ชายสี่กลับมาแล้วหรือ”

 

 

“ถูกแล้ว! เพิ่งกลับมาถึง!” หลูเซียงฮั่วรีบพยักหน้า ซ้ำยังถามว่า “ท่านหญิงตามหาองค์ชายสี่มีเรื่องอันใดหรือ”

 

 

มู่หรงเหยาฉือส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร เพียงได้ยินว่าองค์ชายสี่กลับมาแล้ว เหยาฉือมาถึงที่นี่ย่อมต้องไปคารวะ ดังนั้นจึงอยากขอพบองค์ชายสี่ ไม่ทราบว่าตอนนี้องค์ชายสี่อยู่ที่ไหน รบกวนท่านแม่ทัพช่วยรายงานกับองค์ชายให้ข้าได้หรือไม่”

 

 

“อ๋า เรื่องนี้…” หลูเซียงฮั่วตอบไปตามสัตย์ “หลังจากลับมา เมื่อองค์ชายสี่รู้ที่อยู่ของแม่นางเยี่ยเม่ยก็ให้เซียวเยว่ชิงนำทางไปพบแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว!”

 

 

“เจ้าว่ากระไรนะ” สีหน้าของมู่หรงเหยาฉือเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

นางตั้งใจออกมา ทั้งยังจงใจเยื้องย่างด้วยท่าทางชดช้อยมาตั้งไกล ก็เพื่อให้เดินอย่างงดงามจนไม่อาจละสายตา ผลคือกว่าจะมาถึงได้ไม่ง่ายเลย เขากลับไม่อยู่เสียนี่

 

 

ไม่เพียงแต่ไม่อยู่ ทั้งยังไปหาเยี่ยเม่ยแล้วอีกด้วย

 

 

ทำไมถึง…

 

 

ทำไมถึง…

 

 

มู่หรงเหยาฉือรู้สึกความดันพุ่งขึ้นมาจนแทบจะกระอักเลือด แต่ใบหน้ายังคงต้องรักษารอยยิ้มของกุลสตรีไว้

 

 

หลูเซียงฮั่วเห็นนางแผดเสียงขึ้นสูงในฉับพลัน ถามเขาว่าอะไรนะ เสี้ยวนาทีนี้ในใจของหลูเซียงฮั่วเกิดความอึดอัด เอ่ยปากว่า “องค์ชายสี่ไม่อยู่จริงๆ ข้าไม่กล้าหลอกลวงท่านหญิงแน่นอน!”

 

 

“ไม่เป็นไร!” สุดท้ายมู่หรงเหยาฉือก็สงบใจลงได้ จากนั้นยิ้มออกมา

 

 

มองหลูเซียงฮั่ว เอ่ยปากทันทีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าจะรออยู่ที่นี่แล้วกัน รอจนองค์ชายสี่กลับมา ข้าค่อยไปคารวะก็ใช้ได้!”

 

 

“เอ๋” หลูเซียงฮั่วเลิกคิ้วไม่เห็นด้วย “รออยู่ที่นี่หรือ ท่านกลับไปก่อนดีกว่าหรือไม่ รอองค์ชายสี่กลับมาแล้ว ค่อยมาพบก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้ว่าองค์ชายสี่จะกลับมาเมื่อไหร่ ท่านเฝ้ารออยู่ที่นี่ จะไม่ใช่…”

 

 

“ไม่เป็นไร!” มู่หรงเหยาฉือยิ้มเอ่ย “ในเมื่อมาคารวะเตี้ยนเซี่ยก็ต้องมีความจริงใจ อีกอย่างจวินซ่างอยู่กับแม่นางเยี่ยเม่ย คาดว่าทั้งสามคงกลับมาพร้อมกัน หรือว่าคนทั้งสามไม่คู่ควรให้ข้ารอเชียวหรือ”

 

 

นี่กลับ…

 

 

ยามนี้หลูเซียงฮั่วไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไร เพียงเอ่ยว่า “ท่านหญิงระวังต้องลมเย็น อย่างไรเสียตอนนี้ก็เป็นฤดูหนาว อากาศเย็นมาก ท่านรออยู่ที่นี่ ระวังจะเป็นหวัด”

 

 

“ขอบคุณที่ท่านแม่ทัพเป็นห่วง!”

 

 

หลังจากรับคำ มู่หรงเหยาฉือก็หาที่รอ

 

 

หลูเซียงฮั่วสั่งการให้คนหาเก้าอี้มาให้นาง

 

 

เพียงแต่ท่าทางดื้อดึงของมู่หรงเหยาฉือในยามนี้ไม่รู้เพราะอะไร หลูเซียงฮั่วเห็นแล้วรู้สึกแปลกพิกล แต่ว่าที่ใดแปลกนั้น หลูเซียงฮั่วกลับพูดไม่ออก

 

 

……

 

 

ในเมือง

 

 

เยี่ยเม่ยกินข้าวกับเสินเซ่อเทียนไปได้ระยะหนึ่งแล้ว

 

 

เซียวเยว่ชิงก็พาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาปรากฏกายอยู่ในคลองจักษุของพวกเขา

 

 

วินาทีที่เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สีหน้าของเยี่ยเม่ยพลันแข็งทื่อ ในเสี้ยวนาทีนั้น นางรู้สึกว่าคนข้างกายเขาและสิ่งอื่นๆ ล้วนหายไปจนหมดสิ้น

 

 

เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ค่อยๆ เดินเข้ามาหานาง

 

 

เขายังคงสง่างามเหมือนดังแมวเปอร์เซียเช่นเคย ยังหล่อเหลาจนคนไม่อาจดูแคลนเช่นเคย ยามสายตาคู่นั้นปรายมองมายังคงมีพลังทำลายล้างโลกเหมือนเคย

 

 

นางหลงคิดว่าหลังจากเขาไปแล้ว จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้านางอีก

 

 

คิดไม่ถึงว่า เขากลับมาแล้ว

 

 

ที่ยิ่งคิดไม่ถึงกว่าก็คือ เมื่อเขากลับมาแล้วสายตายังคงมองมาที่นางเหมือนเดิม

 

 

สายตาคู่ร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับจ้องอยู่ที่เยี่ยเม่ย คล้ายกับว่าดวงตาเขาไม่มีใครอื่นอีก แม้กระทั่งเสินเซ่อเทียนที่อยู่ข้างกายนาง ก็ไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลยสักน้อย

 

 

เห็นคนทั้งสองสบตากัน

 

 

มีเสี้ยวหนึ่งที่เสินเซ่อเทียนสงสัยว่าตัวเองเป็นส่วนเกินแล้ว

 

 

จนกระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินมาถึงเบื้องหน้า เยี่ยเม่ยค่อยตระหนักได้ รั้งสายตากลับไม่มองเขาอีก