บทที่ 1253 เริ่มต้นการไล่ล่า

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

หนึ่งกิโลเมตรห่างจากโรงประมูลชาวยุทธของตระกูลเย่..
  หลังจากที่นักรบตระกูลเย่ทั้งยี่สิบคนติดตามเสี่ยวเม่ยเม่ยมาเป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตรแล้วพวกเขาก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้นพร้อมกับร้องตะโกนบอกเสี่ยวเม่ยเม่ยว่า
  “ท่านหมายเลข958 พวกเราติดตามมาส่งท่านได้เพียงแค่นี้..”
  และเมื่อเสี่ยวเม่ยเม่ยจอดรถหัวหน้าของหน่วยนักรบทั้งยี่สิบคนก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “มีสองเรื่องที่ข้าต้องเตือนให้แม่นางรู้”
  เสี่ยวเม่ยเม่ยพยักหน้าทันทีพร้อมกับตอบไปว่า“เชิญเจ้าพูดออกมาได้เลย..”
  “เรื่องแรกตลอดเส้นทางที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกนี้..” หัวหน้านักรบพูดขึ้นพร้อมกับยกมือชี้ไปทางถนนเส้นนั้น
  “แม้ถนนเส้นนี้จะราบเรียบแต่หากวิ่งตรงไปอีกหกกิโลเมตรก็จะเข้าสู่เขตถงโจว ภูมิประเทศแถบนั้นล้วนแล้วแต่มีป่าเขาอยู่ตลอดสองข้างทาง แม้จะไม่ใช่เขาที่สูงนัก แต่ก็สามารถใช้เป็นที่ซ่อนตัวได้ดี จึงเหมาะเป็นที่สำหรับซุ่มโจมตี และสังหารเหยื่อได้..”
  หลังจากที่พูดไปแล้วหัวหน้านักรบผู้นี้ก็สังเกตเห็นว่าแววตาของเสี่ยวเม่ยเม่ยยังคงนิ่งเรียบไม่หวั่นไหว เขาจึงพูดต่อทันที
  “เรื่องที่สองตราบใดที่แขกของเราได้ชำระค่าสินค้าที่ประมูลเรียบร้อยแล้ว ตระกูลเย่จะให้ความคุ้มครองคนผู้นั้นเป็นเวลาสามวัน แต่มีข้อแม้ว่าคนผู้นั้นต้องอยู่ในขอบเขตที่ตระกูลเย่จัดหาให้ซึ่งก็คือที่โรงแรมในอาคารประมูล”
  “เพื่อความปลอดภัยของท่านข้าอยากจะแนะนำให้แม่นางกลับไปพักที่โรงแรมของเราก่อน รอจนกระทั่งมั่นใจว่าจะปลอดภัยพอ แล้วจึงค่อยโยกย้าย อย่างน้อยการเดินทางในเวลากลางวัน ย่อมปลอดภัยกว่าการเดินทางในยามวิกาลเช่นนี้”   ใช่ว่าหัวหน้านักรบตระกูลเย่ผู้นี้จะนึกห่วงใยเสี่ยวเม่ยเม่ยแต่มันคือหน้าที่ของเขา..
  เสี่ยวเม่ยเม่ยส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเจ้า แต่ไม่จำเป็น!”
  “ก่อนที่พวกเราจะกลับไปแม่นางสามารถตรวจสอบสิ่งของในรถอีกครั้งได้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสินค้ายังคงอยู่ในสภาพที่ดีไม่มีปัญหาอะไร..”
  เสี่ยวเม่ยเม่ยลังเลเล็กน้อยแต่แล้วก็ส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่น่าจะมีอะไร ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอีกแล้ว!”
  จากนั้นเสี่ยวเม่ยเม่ยก็ส่ายหน้าเป็นการยืนยันอีกครั้ง..
  “ถ้าเช่นนั้น..”
  เมื่อหัวหน้านักรบได้ยินเสี่ยวเม่ยเม่ยพูดเช่นนั้นเขาจึงได้หยิบเอกสารที่เตรียมไว้ออกมา แล้วยื่นให้กับเสี่ยวเม่ยเม่ย
  “ได้โปรดเซ็นเอกสารฉบับนี้ด้วยเขียนเพียงแค่หมายเลขประมูล และชื่อของแม่นางเท่านั้น!”
  ไม่แปลกเลยที่ตระกูลเย่จัดโรงประมูลชาวยุทธมานานหลายสิบปีและนับวันก็ยิ่งได้รับความนิยมจากเหล่าชาวยุทธมากยิ่งขึ้น เพราะมีทั้งบริการที่น่าประทับใจ และการจัดการอย่างมืออาชีพ..
  เสี่ยวเม่ยเม่ยหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นนางเขียนหมายเลข 958 ลงไปในเอกสารพร้อมระบุชื่อว่าเสี่ยวสุ่ยหยิวน
  หัวหน้านักรบรับเอกสารสำคัญกลับไปจากนั้นจึงหันไปทำการคาราวะเสี่ยวเม่ยเม่ยพร้อมกับเอ่ยลา
  “ขอให้แขกผู้มีเกียรติเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ..”
  หลังจากหมดหน้าที่แล้วหัวหน้านักรบตระกูลเย่ก็นำลูกน้องอีกสิบเก้าคน ใช้วิชาตัวเบากระโดดมุ่งหน้ากลับไปทางทิศตะวันตกทันที
  เป็นกฏของโรงประมูลแห่งนี้นักรบตระกูลเย่ไม่สามารถเฝ้ามองเส้นทางการไปของแขกที่มาได้ พวกเขารู้ดีว่าชาวยุทธที่มาร่วมงานประมูลนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมาจากที่อื่น และเมื่อแขกนำของที่ประมูลออกจากเขตความรับผิดชอบของตระกูลเย่แล้ว หากมีชาวยุทธท่านอื่นมาพบเห็นนักรบตระกูลเย่ยังคงยืนอยู่ ก็จะเป็นภาพที่ดูไม่ดีนัก
  “ท่านหัวหน้าแม่นางผู้นี้มีสมบัติล้ำค่าอยู่เต็มรถ ท่านว่าหลังจากพ้นขอบเขตความรับผิดชอบของตระกูลเย่แล้ว นางจะขับรถไปได้อีกไกลเพียงใด”
  หนึ่งในสิบเก้านักรบตระกูลเย่กระซิบถามอย่างอดรนทนไม่ได้..
  “ข้าว่านางคงจะไปได้ไม่ไกลนักหรอก!ไม่น่าจะถึงสิบกิโลเมตรด้วยซ้ำไป เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีรถอีกหลายคันที่ขับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเช่นกัน คนพวกนั้นล้วนแล้วแต่ตามไปสังหารนางเพื่อปล้นสมบัติล้ำค่าพวกนั้น..”
  อีกคนจึงรีบพูดขึ้นว่า“นางมาที่นี่เพียงลำพัง มิหนำซ้ำยังประมูลสินค้าไปกว่าสองหมื่นล้าน แต่สีหน้าท่าทางของนางกลับสงบนิ่งมาตลอด ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่มียอดฝีมือคอยปกป้องคุ้มครองอยู่..”
  เหล่านักรบตระกูลเย่ทั้งสิบเก้าคนต่างพากันจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องนี้พวกเขาทำงานที่โรงประมูลเย่มานาน จึงคุ้นเคยกับสถานการณ์ต่างๆดี
  “พวกเจ้าหุบปากได้แล้ว!นี่พวกเจ้าครั่นเนื้อครั่นตัวกันมากหรือยังไง ลืมกฏระเบียบไปหมดแล้วรึ?”
  “หึ..คืนนี้ทางถนนเส้นตะวันออกห่างจากนี้ไปราวสามสิบกิโลเมตร ต้องมีการนองเลือดเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่คืนนี้พวกเรามีภารกิจยุ่ง คงไม่มีเวลาไปสังเกตการณ์”
  “เอาล่ะ..ห้ามพูดเรื่องนี้กันอีก ไม่เช่นนั้นหากอาวุโสได้ยิน และไม่พอใจเข้า แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจช่วยพวกเจ้าได้!”
  “กลับไปทำงานกันต่อได้แล้ว!”   จากนั้นนักรบตระกูลเย่ทั้งยี่สิบคนก็รีบมุ่งหน้ากลับไปที่โรงแรมทันทีแต่พวกมันไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้าเหนือโรงประมูลนั้น ได้มีเงาขนาดใหญ่บินผ่านไป
  ……
  รถของเสี่ยวเม่ยเม่ยที่มีสมบัติล้ำค่าอยู่ภายในยังคงขับไปตามถนนที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเรื่อยๆ..
  เสี่ยวเม่ยเม่ยเคยเป็นมือสังหารขององค์การนักฆ่ามาก่อนนางจึงถูกฝึกให้มีความเชี่ยวชาญในแทบทุกด้านแม้กระทั่งการขับรถ ความสามารถของนางนั้นสามารถไปขับรถแข่งความเร็วได้อย่างสบาย
  แต่ตอนนี้นางกลับขับไปด้วยความเชื่องช้าและปล่อยให้รถอีกหลายคันสามารถขับตามมาได้ทัน เสี่ยวเม่ยเม่ยขับราวกับว่าเวลานี้รถของนางมีก้อนอิฐกองใหญ่ถ่วงไว้..
  ในช่วงเวลาตีสองของเช้าวันใหม่..รถหลายคันกำลังขับมุ่งหน้าออกมาจากโรงประมูล และกำลังไล่ตามเสี่ยวเม่ยเม่ยมา แทบไม่ต้องสงสัยว่าคนพวกนั้นขับตามนางมาด้วยจุดประสงค์อะไร หากไม่ใช่ต้องการสังหารนาง!
  –เจ้าค่อยๆขับไปยิ่งปล่อยให้มีคนตามมาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ปล่อยให้พวกมันได้มีเวลาซุ่มโจมตีด้วย..-
  เวลานี้หลิงหยุนเหาะอยู่บนท้องฟ้าเหนือรถของเสี่ยวเม่ยเม่ยขึ้นไปราว1,500 เมตร เขากำลังยืนอยู่บนกระบี่เหินยู่เจี้ยน และจิตหยั่งรู้ของเขาก็กำลังจับอยู่ที่พื้นดินเบื้องล่าง
  “หึ..ทางสวรรค์มีพวกเจ้าไม่คิดจะเดิน แต่กลับเลือกที่จะเดินลงนรกเช่นนี้!”
  หลิงหยุนพึมพำออกมาเมื่อเห็นรถหลายคันที่กำลังขับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกและมียอดฝีมือที่อยู่ในด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนอีกหลายคน กำลังใช้วิชาตัวเบาติดตามรถของเสี่ยวเม่ยเม่ยไปอย่างเงียบๆ โดยใช้บ้านบ้าง ต้นไม้บ้างเป็นเครื่องกำบังตัว
  “คืนนี้มีคนมารนหาที่ตายไม่น้อยทีเดียว..”   หลิงหยุนใช้เงินจำนวนมหาศาลไปกับสมบัติล้ำค่าทั้งห้าชิ้นเมื่อเห็นเหล่ายอดฝีมือที่คิดจะมาแย่งชิงกันง่ายๆเช่นนี้ จึงได้แต่นึกเย้ยหยัน
  ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดบรรยากาศตลอดเส้นทางมีเพียงความเงียบสงบ แต่ภายใต้ความสงบนี้กลับมีคลื่นใต้น้ำที่กำลังสาดซัดอยู่
  เหล่ายอดฝีมือที่ติดตามเสี่ยวเม่ยเม่ยมานั้นล้วนไม่ได้มาคนเดียว บางกลุ่มได้ตกลงร่วมมือกันตั้งแต่อยู่ในหอประมูลแล้วว่า จะแบ่งสมบัติที่แย่งชิงมาได้นั้นอย่างไร
  สิบนาทีต่อมา..เสี่ยวเม่ยเม่ยได้ขับไปไกลราวหกกิโลเมตร บริเวณนี้มีเนินเขาอยู่เป็นช่วงๆตลอดสองข้างทาง แต่ยิ่งขับออกไปไกลเรื่อยๆ ก็ยิ่งพบเนินเขาที่เรียงทอดติดกันเป็นแนวยาว
  และในเวลานี้รถกว่าสามสิบคันก็ได้ขับผ่านนำหน้ารถของเสี่ยวเม่ยเม่ยไปเป็นแถวยาว..   เสี่ยวเม่ยเม่ยพบว่ารถเหล่านั้นขับไปจอดอยู่ตามข้างทางด้านหน้าไกลออกไปราวสองสามร้อยเมตร และเวลานี้ก็ไม่มีผู้คนอยู่ในรถแล้ว
  ค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้สองข้างทางก็เพียงเนินเขา ป่าที่เงียบสงัด และรถที่จอดร้างเป็นทิวแถว..
  บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารคละคลุ้งไปหมด!
  แต่เสี่ยวเม่ยเม่ยกลับไม่มีท่าทีตระหนกตกใจเลยแม้แต่น้อยนั่นเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าเวลานี้หลิงหยุนกำลังเหาะอยู่เหนือศรีษะของตน
  พรึบ..พรึบ.. พรึบ..
  ท่ามกลางความเงียบสงัดเงาดำทั้งห้าก็ได้กระโดดออกมาจากป่าทั้งสองข้างทาง แต่ละคนล้วนสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าสีดำ ในมือถือกระบี่ และกำลังตรงเข้ามาทางด้านหลังของรถที่เสี่ยวเม่ยเม่ยขับมา!   ในที่สุดก็มีคนอดรนทนไม่ได้ชิงลงมือก่อน!
  “ออกมากันแล้วสินะ!ข้าเองก็กำลังรอพวกเจ้าอยู่เช่นกัน..” หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับพึมพำออกมา
  หลิงหยุนใช้พลังจิตของตนควบคุมกระบี่เหินยู่เจี้ยนบินต่ำลงมาอีกห้าร้อยเมตรในขณะเดียวกันก็ใช้พลังจิตควบคุมกระบี่กังฉีของตนเข้าสังหารยอดฝีมือทั้งห้าที่อยู่บนพื้นด้านล่าง
  ฟิ้ว..
  เพียงแค่พริบตาเดียวกระบี่กังฉีของหลิงหยุนก็พุ่งลงไปถึงพื้นด้านล่าง แล้วกระบี่เล่มบางดั่งใบหลิวนั้นก็ได้พุ่งฝ่าความมืดเจาะเข้าที่ลำคอของยอดฝีมือทั้งห้าพร้อมๆกันทันที!
  ความเร็วที่เหลือเชื่อของกระบี่กังฉีนั้นทำให้ยอดฝีมือทั้งห้าคนถึงกับยืนตัวแข็ง และได้แต่มองเลือดที่ไหลออกจากลำคอของสหายด้วยความตกตะลึง ดวงตาของพวกมันต่างก็เบิกโพลง และได้ยืนมองรถที่ค่อยๆขับห่างออกไป  จากนั้น..ทั้งหมดก็ล้มลงกับพื้นขาดใจตายในทันที!
  แม้กระทั่งก่อนสิ้นใจพวกมันทั้งห้ายังไม่รู้ว่าตนเองถูกสังหารตายได้อย่างไร
  –เสี่ยวเม่ยเม่ยเจ้าขับตรงไปเรื่อยๆ–
  –เสี่ยวอู๋..เจ้าไปเก็บกวาดให้เรียบร้อย สองในห้ามีโอสถล้ำค่าของวัดเส้าหลินอยู่!-
  –พี่หยุนไม่ต้องห่วง..นอกจากเสื้อผ้าของพวกมันแล้ว ข้าจะไม่ให้มีอะไรเหลือติดตัวเลย!-
  หลังจากที่ทั้งยอดฝีมือทั้งห้าคนล้มลงกับพื้นแล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็กระโดดออกมาจากป่าข้างทางทันที และรีบไปค้นตามเนื้อตัวของร่างไร้วิญญาณทั้งห้า..
  ตี้เสี่ยวอู๋เข้าใจความหมายของคำว่า‘เก็บกวาด’ ในแบบของหลิงหยุนดี หลังจากที่หน่วยนภาบุกเข้าไปบ้านตระกูลหลิงในคืนนั้น..
  การไล่ล่าของหลิงหยุนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น..   “พวกเจ้ามันไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำบังอาจคิดแย่งชิงสมบัติล้ำค่าของข้าไป!”
  หลังจากที่จัดการสังหารยอดฝีมือทั้งห้าคนไปแล้วหลิงหยุนก็ได้บังคับกระบี่เหินยู่เจียนของตนกลับขึ้นไปในตำแหน่งเดิม
  เวลานี้หลิงหยุนได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) แล้ว และจิตหยั่งรู้ก็ได้ขยายขอบเขตไกลถึง 3,600 เมตร พลังจิตของเขาสามารถควบคุมกระบี่เหินเงาธนูให้จู่โจมคู่ต่อสู้ในระยะไกลถึง 1,500 เมตร ในขณะที่หากเป็นกระบี่กังฉี จะสามารถควบคุมได้ในระยะไกลถึงสองกิโลเมตรเลยทีเดียว ที่เป็นเช่นนี้เพราะกระบี่กังฉีนั้นแทบจะเรียกได้ว่ามีสภาพไร้น้ำหนัก พลังจิตจึงสามารถควบคุมได้ไกลกว่า
  เวลานี้..ความสามารถในการสังหารระยะไกลของหลิงหยุนนั้น จึงอยู่ที่ระยะทางสองกิโลเมตร!
  กระบี่กังฉีของหลิงหยุนนั้นแม้แต่เฉียวเปียวซึ่งอยู่ในระดับห้าขั้นพลังเหนือธรรมชาติยังไม่อาจต้านทานได้ นับประสาอะไรกับยอดฝีมือด่านกลางขั้นเซียงเทียนทั้งห้านี้
  ทางด้านตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งอยู่บนพื้นดินด้านล่างนั้นหลังจากที่ค้นได้ทั้งอาวุูธ และโอสถชนิดต่างๆ ก็ได้เรียกเข้าไปเก็บในแหวนพื้นที่ของตน แล้วจึงกระโดดหายเข้าไปในป่าข้างทาง ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาวิ่งตามรถของเสี่ยวเม่ยเม่ยไปต่อ
  เสี่ยวเม่ยเม่ยยังคงขับรถตรงไปเรื่อยๆแต่ขับไปได้เพียงไม่กี่ร้อยเมตร นางก็ต้องชะลอรถก่อนจะหยุดลงในที่สุด
  นั่นเพราะเวลานี้ได้มีกลุ่มคนราวสิบสองคนออกมายืนขวางเส้นทางด้านหน้าอยู่ทั้งหมดน่าอยู่ในด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนแล้วเช่นกัน ดูเหมือนพวกมันเองก็คร้านที่จะสะกดรอยตามต่อไป จึงได้ออกมายืนเรียงแถวหน้ากระดานขวางอยู่เช่นนี้
  หนึ่งในนั้นเดินตรงเข้าไปหาเสี่ยวเม่ยเม่ยพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า “แม่นาง.. หากเจ้าทิ้งรถคันนี้ไว้แล้วไปแต่ตัว พวกข้ารับปากจะไว้ชีวิตเจ้า!”
  เสี่ยวเม่ยเม่ยยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวและคร้านที่จะพูดกับพวกมัน..
  แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่พลาดที่จะชิงลงมือกระบี่กังฉีพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ เสียงฉึกดังขึ้นต่อเนื่องกันหลายครั้ง
  ด้านหลังของยอดฝีมือผู้นั้นสหายของเขาราวเจ็ดแปดคนถูกกระบี่กังฉีทะลวงเข้าที่กลางศรีษะบ้าง หลังศรีษะบ้าง และค่อยๆล้มลงกับพื้นสิ้นใจตายไปทีละคน!
  ยอดฝีมือผู้นั้นเพิ่งจะรู้สึกตัวและรีบเปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกดู และพบว่าด้านหลังของเขานั้น สหายทั้งสิบเอ็ดคนได้สิ้นใจตายหมดแล้ว!
  หนี!
  คำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของยอดฝีมือผู้นั้นเวลานี้แล้วร่างกำยำแข็งแกร่งนั้นก็กระโดดหายเข้าไปในป่าข้างทางอย่างรวดเร็ว  แต่กระบี่กังฉีของหลิงหยุนก็พุ่งตามไปและแทงเข้าทางด้างด้านหลังศรีษะทะลุไปที่กลางหว่างคิ้วอย่างแม่นยำ ยอดฝีมือผู้นั้นสิ้นใจตายทันที แต่ร่างที่ไร้วิญญาณนั้นยังคงพุ่งไปด้านหน้าด้วยแรงส่งเดิมที่มีอยู่ ก่อนจะชนเข้ากับหินก้อนใหญ่และล้มลงกับพื้นในที่สุด