ภาคที่ 5 บทที่ 41 ความลับไม่อาจบอก (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 41 ความลับไม่อาจบอก (2)

ของสิ่งนี้ไม่ได้อยู่บนร่างนกขมิ้นเปลวเพลิง หลังนางถูกจับตัวมาก็ถูกค้นทั่วร่าง แต่ไม่พบของวิเศษใด

เป็นไปได้ว่าสมบัติเหล่านั้นยังคงซุกซ่อนอยู่ในตระกูลหรง !

ซูเฉินตัดสินใจในทันที

เขารีบผละออกจากโต๊ะก่อนไปหาจูเซียนเหยา “ตอนค้นตระกูลหรงเจอสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ ?”

ตอนนี้จัดการตระกูลหรงได้แล้ว ตระกูลจูจึงเข้ารับช่วงต่อกิจการ สมบัติทั้งหลายของตระกูลหรงจึงตกเป็นของพวกเขาเช่นกัน

“หมายถึงสมบัติ ? หรือทรัพยากรเล่า ?” จูเซียนเหยาถาม

“ไม่ใช่ทั้งคู่ ข้าพูดถึงสิ่งที่น่าจะไม่ใช่ของมนุษย์ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการทรยศของตระกูลหรง” ซูเฉินตอบ

เมื่อได้ยินว่าอาจเกี่ยวข้องกับเผ่าปักษา จูเซียนเหยาจึงมีสีหน้าจริงจัง “ให้ข้าเป็นคนไปดู”

ไม่นานจูเซียนเหยาก็กลับมา “ไม่มีใครพบสิ่งใดเป็นพิเศษ”

“ไม่มีคลังสมบัติลับด้วย ?”

“ย่อมไม่มี” จูเซียนเหยาตอบเสียงมั่นใจ

เมื่อมองคนรักที่มีสีหน้าครุ่นคิดแล้ว จูเซียนเหยาจึงถามขึ้น “หรือหรงกูลั่วจะเอาไป ?”

ซูเฉินส่ายหน้า “เป็นไปได้ แต่เราจะปล่อยให้สิ่งใดหลุดรอดไปก็ไม่ได้เช่นกัน ข้ารู้สึกว่าเบื้องหลังการกระทำพวกเขามีอะไรซ่อนอยู่”

จูเซียนเหยาพยักหน้า “ข้าก็เช่นกัน แต่เราค้นทั่วตระกูลหรงแล้ว แม้จะพบสมบัติมากมาย แต่ไม่มีชิ้นใดมาจากเผ่าปักษาเลย”

ซูเฉินได้ยินมีแต่ถอนใจ ในตอนที่คิดว่าหรงกูลั่วคงเอาของไปจริง ก็ได้ยินจูเซียนเหยาเอ่ย “อีกทั้งกิจการทั้งหลายของตระกูลหรงเองก็ถูกค้นจนทั่ว เว้นแต่เหมืองศิลาจันทร์ เราไม่พบอะไรเลย”

“เหมืองศิลาจันทร์ ?” ซูเฉินใจสะดุ้ง “ทำไมไม่ไปค้นที่นั่นล่ะ ?”

“เพราะมันไม่มีอะไรเลย” จูเซียนเหยาตอบ “เหมือนถูกขุดหมดแล้วจึงไม่มีใครใส่ใจ เจ้าเป็นคนพบแต่แรกไม่ใช่หรือ ?”

ซูเฉินเหมือนตกใจมาก ก่อนครุ่นคิดหนัก

จูเซียนเหยาโบกมือผ่านหน้าซูเฉิน “นี่ คิดอะไรอยู่กัน ?”

แต่ซูเฉินสายตาจริงจังนัก “ข้าเป็นคนพบจริง ทั้งยังจำได้ว่าเหมืองศิลาจันทร์เพิ่งขุดหมดเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน”

“อะไรนะ ?” จูเซียนเหยาอึ้งไปเช่นกัน

จูเซียนเหยาเริ่มรู้สึกว่าบังเอิญเกินไปเช่นกัน “มันมีปัญหาหรือ ?”

“ปัญหาใหญ่เลย” ซูเฉินตอบ “จำที่ข้าบอกได้ไหม ? ตระกูลหรงเชิญตระกูลเฉียนมาช่วยจัดการตระกูลจู ตกลงมอบทุกอย่างให้ แต่แน่นอนว่าแท้จริงยังมีอย่างหนึ่งที่เก็บไว้กับพวกตน”

“อะไรกัน ?”

“เหมืองทองดารา !” ซูเฉินตอบ

เหมืองทองดาราเป็นเหมืองของตระกูลจู เป็นของสำคัญยิ่ง เหมือนกับที่เหมืองศิลาจันทร์สำคัญต่อตระกูลหรง

แม้ตระกูลหรงสัญญาจะมอบผลประโยชน์ทุกอย่างจากตระกูลจูให้ตระกูลเฉียน แต่ก็เก็บเหมืองนี่ไว้เอง โดยแลกกับการจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ตระกูลเฉียน

เพราะเป็นเหมืองเพียงแห่งเดียว ทั้งเงินที่จ่ายให้เสริม ในตอนนั้นซูเฉินจึงไม่ใส่ใจมัน แต่เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

จูเซียนเหยาเองก็เข้าใจ จ้องซูเฉินตกตะลึง “หรือพวกนั้นจะหมายตาเหมืองมาโดยตลอด ?”

ซูเฉินกับจูเซียนเหยาเชื่อมาตลอดว่าแค่เหมืองไม่พอจะทำให้สองตระกูลห้ำหั่นกันได้ แต่ดูเหมือนว่าเหมืองนี้จะสำคัญต่อตระกูลหรงมากจนพวกเขายอมประจันหน้ากับตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูร ทั้งยังเชิญอีกตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรเข้าร่วมด้วย

ทั้งคู่รู้สึกใจสะดุ้ง

ด้วยรู้ดีว่าค้นพบแล้วว่าเผ่าปักษาตามหาสิ่งใดอยู่ส่วนหนึ่ง

“ไปดูที่เหมืองกัน !” ซูเฉินกับจูเซียนเหยาเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียงกัน

เหมืองศิลาจันทร์ตั้งอยู่เขตทางใต้ของเมืองนภาลัยราบ ไม่ไกลจากสถานที่ที่ซูเฉินกับพรรคพวกลงจอดเมื่อตอนนั้น

และเพราะที่นี่เป็นเหมืองหลักของตระกูลหรง คนงานนับหมื่นเคยทำงานอยู่ที่นี่ แม้เหมืองจะไม่เหลือทรัพยากรแล้ว แต่ก็ยังอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อปิดบังว่าเหมืองไม่เหลืออะไรแล้ว

หลังตระกูลหรงถูกโค่นลงได้ ที่นี่ก็เงียบสงบ รกร้างผู้คน คนเหมืองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือไว้เพียงหลุมบนภูเขา เป็นเครื่องหมายของเวลาในอดีต

ซูเฉินและพวกพบชายชราคนหนึ่งยืนขวางอยู่ คนผู้นี้ที่แท้มีหน้าที่ดูแลเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ถูกทิ้งไว้ที่นี่

จูเซียนเหยาชี้นิ้วไป นางยืนอยู่หน้าภูเขาขรุขระ “ที่นี่คือเหมืองศิลาจันทร์ หลุมที่ใหญ่ที่สุดตรงนั้นคือหลุมหมายเลขหนึ่ง เคยผลิตแร่ที่ต้องใช้คนงาน 100 คนในคราวเดียว”

ซูเฉินเหลือบมองทางเข้าสีดำสนิท “เข้าไปดูด้านในเถอะ”

ในเหมืองมืดมาก หลังผ่านพ้นการขุดมาหลายปี อุโมงค์ภายในจึงยาวและซับซ้อนมาก ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งมีทางแยกหลายทาง

เห็นได้ชัดว่าการค้นหาของที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นสิ่งใดในสถานที่ที่พวกเขาไม่รู้จักย่อมมีความยากลำบากมาก

โชคดีที่พวกเขาเดินไปเรื่อย ๆ เท่านั้น ดังนั้นทุกคนจึงผ่อนคลายมาก

ทั้งวันผ่านไปไม่มีใครพบสิ่งใด ส่วนมากเป็นการเดินทอดน่องภายในทางอุโมงค์เท่านั้น

ข้ารับใช้ดาบนามหลี่ซีเดินเคาะไปทั่วตามผนัง เสียงดังก้องได้ยินทั่วทางเดินมืด

“เจ้าจะเคาะไปทำไม ?” หลินเซียวถาม

“ก็หาทางเดินลับน่ะซี ท่านเจ้านิกายบอกให้หาไม่ใช่หรือ ?” หลี่ซีตอบ

“เจ้าโง่” ข้ารับใช้ดาบอีกคนนามว่าเหลี่ยวซือเยี่ยหัวเราะ “ที่นี่เป็นเหมือง มีคนทำงาน จะมีเส้นทางลับอะไรอยู่ได้ ?”

หลี่ซียักไหล่ “ในเมื่อไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เคาะผนังไปเรื่อยจะเป็นไรไป ?”

“เคาะกะโหลกเจ้าสักทีดูน่าสนใจกว่าอีกนะ” เหลี่ยวซือเยี่ยตบหัวเข้าที่ท้ายทอยหลี่ซี

“ไสหัวไปเลย !” หลี่ซีตอบโต้ แต่เหลี่ยวซือเยี่ยหลบได้

หลี่ซีไม่หยุดเท่านั้น ยังไล่ตามต่อไป ทั้งสองเริ่มลงมือ โจมตีตั้งรับตรงนั้นทีตรงนี้ที

ข้ารับใช้ดาบติดตามซูเฉินมานาน จึงสนิทสนมไม่น้อย ซูเฉินไม่เคยมองพวกเขาเป็นข้ารับใช้ ดังนั้นเห็นพวกเขาวุ่นวายบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่ว่าอะไรหากไม่มีใครเห็น

เมื่อหลี่ซีออกท่า เหลี่ยวซือเยี่ยจึงหลบ ฝ่ามือปะทะผนังอุโมงค์เป็นเสียงดังก้อง

ซูเฉินขมวดคิ้วทันที “นั่นมันเสียงอะไร ? ได้ยินกันหรือไม่ ?”

ทุกคนชะงักไป หลี่ซีเอ่ยเสียงอึกอัก “เป็นเสียง… ข้าซัดฝ่ามือกระแทกผนัง….”

“ไม่ใช่ มันเหมือนเสียงกรีดร้อง” ซูเฉินว่า

เขาเอียงคอตั้งใจฟัง แต่เหมือนเสียงจะหายไปแล้ว

คิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินจึงรีบก้าวไปข้างหน้า

ทุกคนรีบตามไป

ในระหว่างทางก็พยายามฟังเสียง แต่ไม่มีใครพบสิ่งใดผิดปกติ

จูเซียนเหยามองซูเฉินด้วยความสงสัย “ซูเฉิน ได้ยินเสียงประหลาดจริงหรือ ?”

“หือ ? ตอนนี้ก็ยังได้ยินอยู่เลย เหมือนเป็นเสียงหวีดหวิวดังอยู่ข้างหูตลอดเวลา ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งได้ยินชัด” ซูเฉินตอบเสียงนิ่ง

“แต่ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย เงามรณะเจ้าได้ยินเสียงหรือไม่ ?” จูเซียนเหยาถาม

“ขออภัยด้วยนายหญิง ข้าไม่ได้ยินเช่นกัน” เงามรณะตอบ

“เช่นนั้นก็ไม่ใช่เสียงปกติ อาจจะเป็นเสียงที่ส่งผ่านจิตหรือเป็นเครื่องเตือนภัยบางอย่าง” ซูเฉินพึมพำ “เหมือนเสียงคร่ำครวญของวิญญาณอาฆาต”

ยามได้ยินทุกคนก็เปลี่ยนสีหน้าไป

แถวนี้มีเผ่าวิญญาณด้วยหรือ ?

ทว่าซูเฉินกลับเงียบแล้วเดินหน้าไปต่อ

หลังจากเดินไปยาวนานแล้วเขาก็หยุดฝีเท้าลง

ก่อนจะโบกแขนด้านหลัง สั่งให้คนด้านหลังถอยไป

เขาไม่ได้เตือนให้ระวังอะไร แต่ทุกคนก็ระแวดระวังดีอยู่แล้ว

ซูเฉินยืนนิ่ง เอียงคอฟังว่าเสียงมาจากตรงไหน แม้คนอื่นจะไม่ได้ยินอะไร แต่พลังจิตของเขาเมื่อรวมกับอุปกรณ์ทั้งหลายแล้วก็มีอยู่ 3,000 หน่วย ได้ยินเสียงหวีดหวิวนี้ชัดเจนนัก

จากนั้นหันไปมองผนังข้างกาย

มันว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย

แต่ในตอนนั้น ซูเฉินกำมือแล้วซัดหมัดเข้าใส่

ตู้ม !

ผนังหินถล่มราวกับฝ่ามือของซูเฉินทะลวงผ่านภูผา

ฝ่อออ !!!

เสียงขู่ฝ่อสะท้านเข้าสู่จิตใจทุกคน

ใช่แล้ว เสียงนี้เป็นผลกระทบระดับจิต แต่ครั้งนี้ทุกคนได้ยินชัดเจน

ในขณะเดียวกันนั้น ซูเฉินก็ดึงแขนกลับมา ทุกคนเห็นว่าในมือเขากำลังกำแมลงหน้าตาประหลาดไว้

มันไม่มีตา แต่มีปากขนาดใหญ่พร้อมกับเขี้ยวคม เมื่อถูกรบกวนเช่นนี้ มันจึงอ้าปากกว้างแทบจะกว้างกว่าหัวมันเอง ทำให้ทั้งหัวกลายเป็นปาก น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็กัดซูเฉินไม่ได้ เพราะเขาคว้าคอมันไว้ ขาแหลมทั้ง 18 ข้างสะบัดไปมาราวกับมีดใบเล็กที่พยายามหลบหนี เกิดเป็นสะเก็ดเพลิงออกจากผิวซูเฉิน

แม้จะกัดเขาไม่ได้ แต่ปากกว้างก็ยังส่งเสียงกรีดร้องประหลาด คนรอบข้างรู้สึกเหมือนจิตถูกสะบั้น ไม่อาจฝืนทนได้

“แมลงประหลาด” ซูเฉินบีบมือแรงหน่อยมันก็หยุดเคลื่อนไหว แต่ยิ่งส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้น

ซูเฉินนัยน์ตาเป็นประกาย “ไม่เคยเห็นแมลงประหลาดเช่นนี้มาก่อน น่าจับเอาไปทดลองมาก”

พูดจบก็ส่งคลื่นพลังจิตเข้าใส่เจ้าแมลง

แม้เขาจะไม่เคยเรียนวิชาโจมตีจิตอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่พลังจิตอันสูงส่งก็มากพอที่จะสยบศัตรูได้ เหมือนกับคนที่แข็งแกร่งกว่าใช้กำลังเพียงอย่างเดียวเพื่อเอาชนะศัตรู

แม้แมลงประหลาดจะมีพลังจิตกล้าแข็ง แต่ก็ไม่อาจทนการโจมตีจากเขาได้ มันร้องครั้งสุดท้ายก่อนจะนิ่งไป ตายคาที่ทันที

“โอ๊ะ… หนักมือไปหน่อย” ซูเฉินไม่รู้จะกล่าวอย่างไร

พลังจิต 3,000 หน่วยไม่ใช่สิ่งที่เจ้าแมลงจะทานทนไหว ไม่ว่าเขาจะโจมตีหนักเบาเพียงไรก็ตามที

ซูเฉินจึงเก็บซากมันไว้

“เจ้านั่นก็ยังจะเอาอีกหรือ ?” จูเซียนเหยากลอกตา

สตรีมักเกลียดชังแมลงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“แมลงพวกนี้อาจเป็นแมลงหายาก อาจมีอยู่เพียงตัวเดียวก็ได้ ซึ่งจะทำให้แมลงตัวนี้มีคุณค่ามหาศาลนัก” ซูเฉินตอบเสียงจริงจัง

ส่วนมากแล้ว ซูเฉินมักมีเหตุผลเหมือนกับทำนายอนาคตได้

แต่บางครั้ง ขนาดพระเอกก็ยังถูกตบหน้าได้เหมือนกัน

เพิ่งจะพูดจบไปไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงขู่ก้องทั่วทางเดิน

ครั้งนี้ทุกคนได้ยินอย่างแจ่มแจ้ง

“เกิดอะไรขึ้น ?”

ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสน ซูเฉินพลันเปลี่ยนสีหน้า

เขาตะโกน “แย่แล้ว ! มีฝูงแมลงกำลังบุกมาทางนี้ !”